ภายใน Shanghai Auto Show 2025 ทาง BYD ไม่ได้มีแค่การเปิดตัวรถรุ่นใหม่ และการจัดแสดงรถยนต์แต่ละรุ่นเท่านั้น แต่ยังมีการจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมเฉพาะของ BYD ในหลากหลายมิติ ซึ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของ BYD ถือว่าเป็นสิ่งสร้างความแตกต่างและโดดเด่นเมื่อเทียบกับบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์หลาย ๆ เจ้า มาดูกันว่าภายในงานนี้ทาง BYD ประเทศจีนได้โชว์อะไรให้ผู้ร่วมงานได้ชมกันบ้าง
God’s Eye ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะ
แม้ว่าจะมีการเปิดตัวไปแล้วก่อนหน้างานนี้หลายเดือน แต่เทคโนโลยี God’s Eye หรือระบบ DiPilot ของ BYD ยังคงเป็นระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะที่ผู้คนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องในฐานะตัวแทนระบบ Autopilot จากฝั่งตะวันออก ซึ่งความสามารถในการช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่ความสามารถครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ รวมถึงราคาที่เข้าถึงได้
โดยจากการจัดแสดงรถเปิดตัวใหม่ของ BYD ภายในงาน Shanghai Auto Show 2025 จะเห็นได้ว่ารถทุกคันล้วนได้รับการติดตั้ง God’s Eye เอาไว้ทั้งหมด ซึ่งจะเป็นมาตรฐานใหม่ของรถค่ายนี้ รถแต่ละแบรนด์แต่ละรุ่นจะได้รับการติดตั้ง God’s Eye รุ่นที่แตกต่างกันออกไป
อย่าง DiPilot 600 หรือ God’s Eye A จัดเป็นระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ระดับสูงสุดของ BYD เพราะรองรับการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบ เทคโนโลยีนี้ใช้ LiDAR 3 ตัว ซึ่งเคยมีการทดสอบความสามารถบนสนามแข่งแบบไร้คนขับ และสามารถทำ City NOA (Navigate on Autopilot) และ Highway NOA ระดับ L3 ได้ โดย DiPilot 600 จะใช้กับรถที่เจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความหรูหรา อย่างแบรนด์ Yangwang
หรือ DiPilot 100 (God’s Eye C) ก็มีการจัดแสดงด้วย ซึ่งใช้กล้องมากถึง 12 ตัวรอบคัน เรดาร์คลื่นมิลลิเมตร 5 ตัว (ระยะตรวจจับ 300 ม.) และอัลตราโซนิกเรดาร์ 12 ตัว ซึ่ง DiPilot 100 เป็นระบบช่วยขับขี่พื้นฐานของ BYD
ด้วยเทคโนโลยีอาจเร่งให้โลกยนตกรรมเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคของการควบคุมพาหนะแบบกึ่งอัตโนมัติได้รวดเร็วยิ่งขึ้น แม้ว่า ณ ปัจจุบันเพิ่งมีกฎหมายใหม่ในประเทศจีน ที่ผู้ขับขี่จำเป็นต้องจำพวงมาลัยไว้ตลอดเพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการใช้งาน
DiSus-Z ระบบควบคุมตัวถังใหม่ล่าสุด
DiSus-Z ระบบควบคุมตัวถังใหม่จาก BYD ที่ช่วยควบคุมตัวรถให้สามารถ “กระโดด” “ยกตัว” หรือ “ลดตัว” ได้ในเวลาอันสั้น ช่วยให้ห้องโดยสารนิ่งและขับได้นิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งในขณะเลี้ยว ขณะอยู่บนพื้นต่างระดับ หรือถนนขรุขระ ทั้งยังลดแรงกระแทกภายในห้องโดยสารเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
ซึ่งใช้ ระบบ Active Hydraulic Suspension System และเซนเซอร์ตรวจจับแรง G และข้อมูลถนนแบบเรียลไทม์ เพื่อสั่งปรับช่วงล่างทั้ง 4 ล้อแยกกันได้ ปรับระดับตัวถังอัตโนมัติเมื่อขับความเร็วสูงเพื่อลดแรงต้านลม
Super e-Platform ระบบชาร์จรถไฟฟ้าที่เร็วที่สุดในโลก
ไม่มีคงไม่ได้กับ Super e-Platform ของ BYD ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน Super e-Platform เป็นแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาของรถไฟฟ้าที่ต้องใช้เวลาชาร์จนาน ชนิดที่ว่าช่วยให้การชาร์จแบตเตอรี่รถไม่ต่างจากการเติมน้ำมัน
ด้วยการชาร์จเร็วขั้นสูง (Ultra fast charging) ถึง 1000V ด้วยอัตราการชาร์จ 10C ทำให้สามารถชาร์จพลังงานได้ถึง 400 กิโลเมตรในเวลาเพียง 5 นาที
Super e-Platform ต้องอาศัย Blade Battery 2.0 ที่รองรับการชาร์จเร็วขั้นสูง มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีอัตราการหมุน 30,000 รอบ/นาที และชิปพลังงาน SiC รุ่นใหม่ที่มีแรงดันไฟฟ้าสูงสุดถึง 1500V อย่างไรก็ตาม Super e-Platform ยังต้องมี Megawat Charging Terminal หรือตู้ชาร์จที่สามารถจ่ายไฟในระดับเดียวกันด้วย
ซึ่งในสเกลนี้ทุกอย่างที่ได้เล่ามาของ Super e-Platform จัดว่าเป็นเทคโนโลยีระดับสูงของแต่ละอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยเปลี่ยนประสบการณ์การชาร์จรถไฟฟ้าแบบคนละโลก รุ่นรถปัจจุบันที่มีการใช้ระบบนี้ คือ Han L และ Tang L ที่กำลังเปิดพรีออเดอร์ในจีนอยู่
Blade Battery
Blade Battery 2.0 ยังคงถูกพูดถึงในฐานะแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพตัวหนึ่งของโลก ซึ่งภายในงาน Shanghai Auto Show 2025 ทาง BYD ได้จัดแสดง Blade Battery 2.0 ด้วยเช่นกัน ซึ่งต่างจากรุ่นก่อนหน้าในหลายด้าน ทั้งปริมาตรและปริมาณแบตฯ รองรับเทคโนโลยี Dual Charging Paths คือแบตเตอรี่ 1 ก้อนสามารถแบ่งวงจรภายในออกเป็น 2 เส้นทาง ทำให้สามารถชาร์จเร็วขึ้น 60% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
ทั้งหมดนี้เป็นเทคโนโลยีไฮไลต์จาก BYD ภายในงาน Shanghai Auto Show 2025 และจะนำไปใช้กับรถหลาย ๆ รุ่นที่ออกมาแล้ว และจะออกมาอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจับตามองสำหรับการเติบโตทางเทคโนโลยีของ BYD ว่าจะมีนวัตกรรมใหม่ ๆ เจ๋ง ๆ อะไรให้เราได้ชมกันอีกบ้าง