เปิดประสบการณ์ขับ All-New Nissan Kicks e-POWER

Nissan Kicks เป็นรถยนต์ระบบ e-Power รุ่นแรกที่จำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย ซึ่งจุดเด่นของระบบนี้คือใช้เครื่องยนต์ไปปั่นไฟ แล้วเอาไฟฟ้าที่ได้มาหมุนมอเตอร์ขับเคลื่อนรถยนต์ ทำให้ความรู้สึกในการขับขี่นั้นเหมือนขับรถยนต์ไฟฟ้า แต่ไม่ต้องเสียบชาร์จ ใช้เติมน้ำมันเอา

ทีมงาน beartai ได้รับเกียรติจาก Nissan Motor Thailand เริ่มต้นการเดินทางได้ขับเจ้า All-New Nissan Kicks e-POWER ในรุ่น VL ซึ่งเป็นตัวท็อปสุดของรุ่นออกเดินทางมุ่งไปสู่จังหวัดกาญจนบุรีเพื่อทดสอบทั้งสมรรถนะการขับขี่รวมไปถึงอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

สมรรถนะการขับขี่ของ All-New Nissan Kicks e-POWER

รอบนี้ถือว่านิสสันทำการบ้านมาดี จังหวะการเร่งแซงทำได้ดีมากไม่ต้องมารอรอบกันอีกต่อไป เพราะฟีลลิงเดียวกับรถไฟฟ้า 100% ซึ่งอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในโหมด D ที่ 9.4 วินาที

ช่วงล่างคู่หน้าเป็นแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนคู่หลังแบบทอร์ชันบีม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง การเข้าโค้งที่ความเร็วไว้ใจได้จริงถือว่าเฉียบคม หรืออาจจะได้ตัวช่วยจากระบบช่วยควมคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง ITC (Intelligent Trace Control) จากที่ขับมาห้องโดยสารตอนหน้าอาการโยนตัวน้อยมาก แต่ถ้าเป็นผู้โดยสารด้านหลังก็จะออกอาการอยู่บ้างและช่วงท้ายยังมีดีดเด้งอยู่นิดหน่อยเพราะท้ายยังเบาแต่ก็ไม่ได้ทำให้น่ากลัวแต่อย่างใด ถ้ามีการนั่งบรรทุก 4 คนช่วงล่างอาจจะเฟิร์มและแน่นขึ้น พวงมาลัยพาวเวอร์ควบคุมไฟฟ้าถูกเซตมาให้เบา คล่องตัวเหมาะแก่การขับมุดในเมืองได้เป็นอย่างดี

เทคโนโลยี e-POWER

ระบบ e-power ที่อยู่ใน All-New Nissan Kicks เป็นเครื่องยนต์รหัส HR12DE 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร ซึ่งมีหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และยังมีส่วนประกอบของระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่สำคัญ ๆ เช่น

เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ EM57 ให้กำลังสูงสุด 129 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 1.57 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) มีจำนวน 4 โมดูล เทคโนโลยีนี้ให้อัตราเร่งที่ดี มีการขับที่เงียบและการประหยัดน้ำมัน

One Pedal คือเทคโนโลยีคันเร่งอัจริยะ

ซึ่งสามารถเร่งและเบรกได้ในคันเร่งเดียว ซึ่งจะทำงานร่วมกับ S Mode และ ECO Mode

Drive Mode ของ Nissan Kicks e-POWER ประกอบไปด้วย

NORMAL Mode : คือโหมดขับปกติ เมื่อปล่อยคันเร่งรถจะไหลต่อได้ เหมือนขับรถทั่วไป
S (Smart Mode) : ระบบนี้จะเพิ่ม One Pedal มาซึ่งคล้ายขับรถกอล์ฟหลักการคือเหยียบคันเร่งคือไป ยกคันเร่งคือหยุด
ECO Mode : โหมดประหยัดพลังงาน คันเร่งจะหน่วงขึ้นช้ากว่าเดิมเพื่อเซฟพลังงานไฟฟ้า และมีระบบ One Pedal มาเช่นเดียวกับ Smart Mode
EV Mode : เปลี่ยนให้รถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เหลือภายในแบตเตอรี่ โดยเครื่องยนต์จะไม่ทำงานจนกระทั่งแบตเตอรีอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งสัมผัสได้ถึงความเงียบ

การขับขึ้น-ลงเขา

ปกติที่ผ่านมาถ้าเราใช้รถยนต์สันดาปมาตลอดจะคุ้นเคยกับเกียร์ L (Low) กัน และช่วงลงเขาเราจะปล่อยให้เครื่องยนต์มัน Engine Brake อยู่เสมอ (ลดการใช้เบรกให้น้อยลงเพื่อป้องกันไม่ให้เบรกไหม้) หากใครขึ้น-ลงเขาบ่อย ๆ จะคุ้นเคยกันดี

แต่กลับกันถ้าได้ลองเข้าเกียร์ B ใน Nissan Kicks e-POWER โดยการเข้าเกียร์ B นี้ ถ้าเราอยู่ตำแหน่งเกียร์ D อยู่แล้ว เราผลักขวาลงอีกครั้งหนึ่งมันจะเข้าเกียร์ B ให้ซึ่งหลักการทำงานจะคล้าย ๆ Engine Brake แต่ด้วยรถมันไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์แล้ว มันจึงทำงานแบบเพิ่มแรงหน่วงกว่าเดิมกับชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าและตัวมันจะทำการรีชาร์จกระแสไฟกลับไปใช้ใหม่ได้เร็วกว่าโหมด D

ซึ่งการใช้โหมดนี้ถือว่าเป็นประโยชน์มากในการใช้ขึ้นลง-เขา หากคุณจับจังหวะได้โอกาสในการใช้เบรกจะน้อยมาก ถือว่าเป็นเรื่องดีในวงการรถที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า

หมายเหตุ การใช้เกียร์ B ถ้าปล่อยคันเร่งแล้วมันจะไม่หยุดสนิทซะทีเดียวเหมือนกับ One Pedal และยังสามารถไหลต่อไปได้อีก

ความสะดวกสบายของห้องโดยสาร

เรื่องการโดยสารถือว่าค่อนข้างกว้างขวางสำหรับคู่ตอนหน้า แต่สำหรับตอนหลังถ้านั่งอัด 3 คนจะอึดอัดอยู่บ้างด้วยแท่นกลางที่อาจจะสูงไปนิด แต่เฮดรูมและเลกรูมเหลือ ๆ เพราะหลังคาถูกออกแบบมาค่อนข้างสูง ระบบความบันเทิงมีครบครัน Nissan Connect หน้าจอขนาด 8 นิ้ว พร้อมระบบเชื่อมต่อ Bluetooth และรองรับระบบ Apple CarPlay (สำหรับ iOS) อีกด้วย

ด้านการเก็บเสียงในห้องโดยสารจากที่ลองขับที่ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและเปิดเพลงไปด้วยก็ยังสื่อสารกับเพื่อนที่ร่วมทางนั่งไปด้วยพูดคุยกันรู้เรื่อง เสียงลมไม่ได้เข้ามารำคาญหูมากแต่อย่างใด แต่หลังจากความเร็วที่ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเริ่มมีเสียงลมเข้ามาในห้องโดยสารอยู่ แต่โดยรวมถือว่ารับได้

**ระบบ ICC (Intelligent Cruise Control) *มีเฉพาะในรุ่น VL**

จริง ๆ เจ้าระบบตัวนี้มันก็คือ Cruise Control ที่เราคุ้นเคยกันมายาวนาน แต่มันมีความพิเศษกว่า Cruise Control ธรรมดาคือมันสามารถควบคุมความเร็วที่สั่งการได้อัตโนมัติในสถานการณ์ที่มีรถอยู่ข้างหน้า ระบบสามารถชะลอรถตามความเร็วของรถคันหน้า และรักษาระยะห่างระหว่างรถตามที่เราปรับไว้ได้เองอัตโนมัติ

เมื่อสามารถกลับมาใช้ความเร็วได้ ระบบจะปรับความเร็วขึ้นเองโดยอัตโนมัติกลับไปสู่ระดับความเร็วที่ผู้ขับตั้งไว้ และเมื่อขับตามคันหน้าจนหยุดสนิทแล้วหากเกิน 2 วินาที ระบบจะตัดการทำงานทันทีผู้ขับจะต้องเหยียบคันเร่งส่งต่อ เพื่อกันเราเผลอหลับหรือขับสบายจนเกินไป (บางทีการที่สบายเกินไปมันก็อันตรายนะ) แต่ระบบนี้ถ้ารู้จักใช้มันมีประโยชน์มากโดยเฉพาะช่วงรถติดหนัก ๆ เพื่อลดอาการเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี

สรุปการเดินทางไปกลับ กรุงเทพฯ-กาญจนบุรี รวมระยะทางทั้งสิ้น 439.6 กิโลเมตร

นั่ง 2 ท่าน กระเป๋าสัมภาระ 3 ใบเปิดแอร์ตลอดทาง
วิ่งบนสภาพจราจรในเมืองที่ติดขัดและนอกเมืองที่มีการขึ้น-ลงเขา
ใช้ความเร็ววิ่งเฉลี่ยประมาณ 80-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามสภาพจราจร
บางช่วงมีการใช้ความเร็วสูงเพื่อการทดสอบอัตราเร่งด้วย ความเร็วสูงสุดที่เหยียบได้ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 17.3 กิโลเมตรต่อลิตร ถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน่าพอใจ

Nissan Kicks เหมาะสำหรับใคร?

มันเกิดมาเพื่อคนเมืองโดยเฉพาะในสภาพจราจรที่ติดขัดหรือจะมุดแซงก็ทำได้แบบไม่เคอะเขินเพราะมันควบคุมง่ายมาก ถ้าคุณได้ลองเปิดใจกับระบบ One Padel แล้วเหมือนได้เปิดโลกการขับขี่และจะติดใจมากในสภาพฝนตกรถติดหนัก ๆ

ข้อสังเกต

การควบคุมพวงมาลัยของ Nissan Kicks e-POWER ยังปรับจูนเซตมายังเบาไปนิดในย่านความเร็วสูงอยากให้เพิ่มความหนืดมาอีกนิดนึงมันจะดีมาก ๆ
ช่วงล่างถูกเซตมาดีไม่แข็งแต่ก็ไม่นุ่มมาก แต่ก็ยังมีอาการท้ายเด้งอยู่บ้างเล็กน้อย หากมีการบรรทุกโดยสาร นั่งเต็ม 4 คนช่วงล่างอาจจะเฟิร์มขึ้นแน่นขึ้นมั่นใจขึ้น!!
การออกแบบภายในห้องโดยสารหน้าตาจะคล้าย ๆ กับน้องเล็ก Almera 1.0 Turbo

แต่ข้อสุงเกตทั้งหมดมันก็มีเพียงเล็กน้อยมากหากคุณมองข้ามไปได้ก็จัดเลย โดย All-New Nissan Kicks e-Power จะแบ่งทั้งหมด 4 รุ่นย่อยได้แก่