นับตั้งแต่ MG HS PHEV SUV Plug-in Hybrid เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคม 2563 และได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ไม่แพ้รถยนต์ไฟฟ้าของ MG ที่ออกจำหน่ายมาก่อน ล่าสุด MG Sales Thailand ได้เชิญ beartai ร่วมทดลองขับและพิสูจน์สมรรถนะบนสภาพการจราจรรอบกรุงเทพฯ 1 วันเต็ม
รายละเอียดเทคนิคของ MG HS PHEV
ก่อนที่จะไปลองขับ เรามาทวนรายละเอียดของ MG HS PHEV เริ่มจากขุมพลังที่ในรุ่นนี้เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร GDI Turbo 162 แรงม้า เชื่อมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Hairpin Design พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Coolant 122 แรงม้า แบบเสียบปลั๊กชาร์จ (Plug-in Hybrid) เมื่อรวมกันจะได้พละกำลังสูงสุด 284 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ EDU II เชื่อมกับแบตเตอรี่ Lithium-ion ขนาด 16.6 กิโลวัตต์ สามารถขับใช้โหมดไฟฟ้าสูงสุด 67 กิโลเมตร และผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน IP67 ป้องกันน้ำและฝุ่น ส่วนระบบกันสะเทือนของช่วงล่างแบบ Euro Tuning Suspension ด้านหน้าแบบ MacPherson Strut ส่วนด้านหลังแบบ Multi-link พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ขณะที่ภายนอกของ MG HS PHEV จุดแตกต่างที่เห็นได้ชัดตั้งแต่แรกเห็นคือ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว แบบ Thunder Wing Blade เป็นคนละลายกับ MG HS รุ่นปกติ และตัวอักษร PHEV ที่ฝาประตูท้าย ส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น กระจังหน้าโครเมียม Stellar Magnetic Field ไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบเปิด-ปิด อัตโนมัติ ไฟเลี้ยวแบบ Sequential ไฟตัดหมอกแบบ LED ไฟท้าย LED Space Sequential ที่แสดงผลแบบไล่ระดับ ยังคงมีเหมือนเดิม
เข้ามาดูภายในห้องโดยสารของ MG HS PHEV ได้รับการตกแต่งด้วยโทนสีขาวทูโทน Monaco Blue ที่สงวนเฉพาะสีภายนอกสีขาวเท่านั้น ส่วนสีแดงและสีดำ จะได้สีภายในเป็นดำล้วน ขณะที่วัสดุภายในได้รับตกแต่งแบบ Soft Touch ส่วนเบาะหนังคู่หน้าแบบ Sport Bucket Seat วัสดุหนังกลับ Alcantara เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พร้อมหลังคาแบบ Panoramic Sunroof บนพื้นที่เกือบ 90% ของพื้นที่หลังคา นอกจากนี้ยังมีไฟสร้างบรรยากาศภายใน Interactive Ambient Light ที่สามารถปรับเฉดสีได้มากถึง 64 เฉดสี ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกฝั่ง Dual Zone พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ ระบบกรองอากาศ PM 2.5 ระบบกุญแจรีโมตอัจฉริยะ Smart Key พร้อมปุ่ม Push Start และฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้าเพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน
นอกจากโทนสีภายในที่แตกต่างจากรุ่นปกติแล้ว ใน MG HS PHEV ยังได้เพิ่มอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้หรูหรากว่ารุ่นปกติ ทั้งจอแสดงผลอัจฉริยะ Full Virtual Dashboard ขนาด 12 นิ้ว ที่แสดงผลการขับขี่และสถานะการทำงานของระบบ Plug-in Hybrid จอควบคุมกลางแบบสัมผัสขนาด 10 นิ้ว พร้อมระบบปฎิบัติการ i-SMART ที่สามารถสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทย แสดงสภาพอากาศ และ ฟังเพลงออนไลน์ผ่าน true music ขับเสียงผ่านลำโพงของ BOSE 8.1 Sound System พร้อมซอฟต์แวร์ จากที่ผู้เขียนได้ทดลองผ่านการเชื่อมต่อบลูทูท พบว่าในย่านเสียงใสทำได้ดีมาก ให้ความเคลียร์ชัด แต่เสียงเบสความหนักแน่นยังทำได้ไม่สุดเท่าที่ควร แม้จะพยายามตั้งค่าแล้วก็ตาม ดังนั้นถ้าเป็นคนชอบฟังเพลงทั่ว ๆ ไป ถือว่าเพียงพอแล้ว
ขับจริง MG HS PHEV ในกรุงเทพ
ในเมื่อรถยนต์คันนี้เปิดตัวมาพักใหญ่ และมีกระแสดีแบบนี้ ทาง MG Sales Thailand ได้เชิญสื่อมวลชนร่วมทดลองขับผ่านการขับขี่โหมดไฟฟ้า (EV Mode) เพราะแบตเตอรี่ของ MG HS PHEV ชาร์จ 1 ครั้ง สามารถวิ่งได้ไกลสุด 65 กิโลเมตร ดังนั้นตลอดการทดสอบของทริปนี้จะเน้นที่โหมดนี้เป็นหลักสลับกับโหมด Hybrid เพื่อให้เห็นการทำงานร่วมของ 2 ระบบขับเคลื่อนบนระยะทางทั้งหมด 63 กิโลเมตร เมื่อบรีฟข้อมูลและเส้นทางเสร็จแล้ว ขบวนรถทดสอบเริ่มออกเดินทาง เส้นทางแรกออกจากห้างสรรพสินค้า Crystal Design Center เข้าถนนพระราม 9 ผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วิ่งตรงไปผ่านสะพานซังฮี้ จุดหมายคือร้านกาแฟ Nana Hunter Coffee ถนนราชพฤกษ์ ระยะทาง 29 กิโลเมตร โดยใช้ EV Mode ตลอดเส้นทาง สิ่งที่สัมผัสได้คืออัตราเร่งที่ทำได้ฉับไว ทันเท้า แบบไม่มีรีรอ ขณะที่การทำงานของเกียร์ไม่มีรอยต่อขณะเกียร์ขณะทำงานในโหมดไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมี KERS Mode โหมดช่วยชาร์จไฟเก็บไว้ในแบตเตอรี่ขณะชะลอรถ ที่สามารถปรับได้ 3 ระดับ ผ่านแป้นบวกลบบนพวงมาลัย
เมื่อเดินทางมาถึงจุดพักที่แรก ร้านกาแฟ Nana Hunter Coffee ถนนราชพฤกษ์ ทาง MG Sale Thailand ได้จัดเครื่องดื่มเย็น ๆ ได้เติมพลังและได้ชมสาธิตการดริปกาแฟให้ผู้ร่วมทดสอบได้ชิมกันถึง 2 รสชาติคือ Moon Stone และ Colombia หลังจากแวะจิบกาแฟเสร็จแล้ว ออกเดินทางกันต่อไปที่ร้านบ้านดุสิตธานี บริเวณสถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง ระยะทาง 16 กิโลเมตร โดยใช้โหมด AUTO เพื่อให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า
โดยโหมด AUTO ของ MG HS PHEV จะมีเครื่องยนต์และชุดเกียร์เครื่องยนต์เข้ามาทำงานร่วมกับระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะเกียร์เมื่อความเร็วเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกียร์ชุดมอเตอร์ไฟฟ้าและเกียร์เครื่องยนต์จะทำงานร่วมกัน ซึ่งบางจังหวะจะมีความรู้สึกสะดุดเล็กน้อยแต่อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ขณะที่พละกำลังในโหมด AUTO ทำได้ดี การตอบสนองอัตราเร่งทันใจ ผสานกำลังได้ลื่นไหล อีกทั้งยังสามารถตั้งค่าการชาร์จไฟกลับบนจอสัมผัส i-SMART ได้ โดยมีให้เลือก 3 ระดับ โดยจะทำงานเมื่อยกคันเร่งหรือเหยียบเบรก เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟเก็บไว้ในแบตเตอรี่ หากตั้งค่าให้ชาร์จไฟขณะขับขี่จะใช้เวลา 1 นาที ต่อ 1% แต่ถ้าจอดนิ่ง ๆ จะใช้เวลาชาร์จไฟที่ 2 นาทีต่อ 1%
เมื่อผ่านการจราจรอันหนาแน่นบนถนนสาธรได้ ขบวนรถ MG HS PHEV ก็เดินทางมาถึงร้านบ้านดุสิตธานี เพื่อแวะรับประทานอาหารกลางวัน พร้อมทั้งพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับระบบ Plug-in Hybrid ในเบื้องต้น หลังจากอิ่มมื้อกลางวันเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาเดินทางกลับสู่ห้างสรรพสินค้า Crystal Design Center ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทริปนี้ โดยใช้ EV Mode อีกครั้ง โดยเส้นทางขากลับจะใช้ทางด่วนพิเศษเฉลิมมหานคร แล้วเข้าทางด่วนศรีรัชผ่านด่านพระราม 9 แล้วลัดเลาะออกทางด่วนฉลองรัชเพื่อเข้าถนนเลียบด่วนรามอินทรา
โดยระหว่างที่เดินทางกลับพอจะจับบุคลิกการขับขี่ของ MG HS PHEV ได้ในระดับนึง พบว่ามีความแตกต่างจาก MG HS นิดหน่อย ทั้งพวงมาลัยที่มีน้ำหนักเบากว่าเล็กน้อย แต่การบังคับวงเลี้ยวยังทำได้แม่นยำ ขณะที่ช่วงล่างมีความตึงแต่นุ่มนวลกว่าและให้ความมั่นใจขณะเข้าโค้งในเร็วสูงกว่ารุ่นปกตินิดหน่อย แต่สิ่งที่เป็นข้อสังเกตสำหรับรถยนต์รุ่นนี้คือแป้นเบรก ที่มีระยะเหยียบลึกกว่ารุ่นปกติ กระนั้นหากให้ใครคุ้นชินการใช้แป้นเบรกในรถยนต์ปกติ อาจต้องปรับความคุ้นเคยและเผื่อระยะเบรกไว้ขณะขับขี่
เมื่อกลับมาถึง Crystal Design Center ทาง MG ได้แจ้งผลทดสอบทั้ง 8 คัน ที่เริ่มเก็บข้อมูลตั้งแต่เริ่มการทดสอบจนกลับ ซึ่งมีผลสรุปดังนี้
- เส้นทางทดสอบแบบใช้งานจริงภายในเมือง ความเร็วเฉลี่ย 24.58 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางทดสอบเฉลี่ยรวมจากทุกคันอยู่ที่ 73.15 กิโลเมตร
- อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ของรถที่ใช้ EV Mode และ AUTO Mode สลับแบบการใช้งานทั่วไป ผลอยู่ที่ 49.40 กิโลเมตรต่อลิตร
- อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ยรวมของรถทดสอบทั้ง 8 คัน บางคันมีการขับขี่ทุกโหมด 32 กิโลเมตรต่อลิตร (แบบขับปกติ ไม่กดชาร์จและ Super Sport) อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 44.40 กิโลเมตรต่อลิตร)
- ระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้ด้วย EV Mode เฉลี่ยรวมของทั้ง 8 คัน 60.15 กิโลเมตร (คันที่สามารถวิ่งได้ไกลสุด 68.6 กิโลเมตร)
- ปริมาณใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต่อคัน เฉลี่ยรวมทุกคัน 1 ลิตร 619 ซีซี. / วัน
SUV เสียบปลั๊กชาร์จ ราคาถูกที่สุดในกลุ่ม ได้ความประหยัดน้ำมันและปล่อยมลพิษน้อยลง
จากที่ได้ลองขับ MG HS PHEV มาตลอดทั้งวัน พบว่าในด้านการขับขี่มีส่วนที่แตกต่างจากรุ่นปกติ ทั้งสมรรถนะที่ตอบสนองเร็วและแรงขึ้น การทำงานของระบบ Plug-in Hybrid ที่รีดพละกำลังได้ดี การขับขี่ที่แม่นยำ ช่วงล่างที่เก็บรอยต่อถนนตึงขึ้น แต่นุ่มนวลหากเดินทางไกลจะมีความสบายกว่ารุ่นปกติ ขณะที่ออปชันแม้จะแตกต่างจากรุ่นปกติไม่มาก แต่มีลูกเล่นมีความน่าสนใจและฟังก์ชั่นอื่น ๆ ให้ใช้งานง่ายขึ้น ในค่าตัว 1,359,000 บาท
หากใครที่กำลังชั่งใจอยู่ว่าการเพิ่มเงินอีก 240,000 บาทจากรุ่นปกติ (MG HS ราคา 1,119,000 บาท) ถ้าคุณชื่นชอบการขับรถ แล้วต้องการความสนุกในการขับขี่ MG HS จะตอบโจทย์บุคลิกนี้ได้ดี แต่ถ้าเอาค่าน้ำมันมาเป็นตัวตั้งและอยากเข้าใจการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้า แต่กังวลเวลาเดินทางไกล MG HS PHEV คือตัวเลือกที่เหมาะสม ทั้งนี้การตัดสินใจที่ดีที่สุดในการเลือกรถ คุณต้องไปทดลองขับด้วยตัวเองที่โชว์รูมทั่วประเทศ จะได้ทราบถึงบุคลิกและสมรรถนะว่ามันตรงจริตคุณมากแค่ไหน…
ขอขอบคุณ MG Sales Thailand ที่เชิญ beartai ร่วมทดสอบในครั้งนี้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส