Our score
7.9MINI Cooper SE ร่างไฟฟ้า แต่รักษาฟิลลิ่งโกคาร์ต
จุดเด่น
- ฟิลลิ่งโกคาร์ต มีให้เลือกโหมด 7 โหมด
- จอ OLED ทรงกลมเป็นครั้งแรกในรถยนต์
- ห้องโดยสารใหญ่กว่า MINI รุ่นเดิม
- ระบบ One Paddle ทำได้ดี จนหยุดนิ่ง
- ราคา 1.699 ล้านบาท ต่ำสุดเท่าที่ MINI เคยขายมา
จุดสังเกต
- ตัดออปชันหลายอย่าง เช่น ACC ต้องจ่ายเพิ่ม
- รถเล็ก ช่วงล่างยังดิบอยู่ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะที่นั่งแถวหลัง
- เหมาะกับการใช้งาน 1-2 คน
-
ลูกเล่นเยอะ ขับสนุก แต่ตัดออปชันไปหลายอย่าง แต่บางอย่างก็ไม่ได้ใช้หรอก
7.9
เราเพิ่งจะพรีวิว MINI Cooper SE รถยนต์ไฟฟ้าที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มสำหรับรถ EV โดยเฉพาะ กันไปแล้วหนหนึ่ง ซึ่งรอบนี้เราจะไม่ได้ลงรายละเอียดของสเปกและดีเทลมากนัก แต่จะเน้นไปฟิลลิ่งภายหลังการขับขี่ MINI Cooper SE ในเส้นทางกรุงเทพฯ – สระบุรี ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุด กำลัง 218 แรงม้าและแบตเตอรี่ 54.2 kWh ขับได้ไกลถึงระดับ 400 กม. แล้ว ซึ่งเพียงพอต่อการเดินทางขาไปและขากลับในทริปนี้
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า MINI Cooper SE สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มสำหรับรถ EV ซึ่งจะใช้ชื่อ SE แทนด้วยตระกูลรถยนต์ไฟฟ้านั่นเอง และถึงแม้จะปรับเป็นขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแล้ว ต้องยอมรับความ MINI ยังสามารถรักษาฟิลลิ่งโกคาร์ตของรถขนาดเล็กไว้ได้เต็มเปี่ยม ยังคงเป็นรถที่ขับขี่ได้สนุกแม้ขุมพลังจะเปลี่ยนไป มอเตอร์ไฟฟ้าตอบสนองต่ออัตราเร่ง 0-100 ใน 6.7 วินาทีได้ดี ทำให้การมุดบนถนนทำได้ดั่งใจ พวงมาลัยคมแต่เบา ซึ่งสามารถเพิ่มความหนักขึ้นได้เมื่อปรับเป็นโหมด Go-Kart ใน MINI Experience ทั้ง 7 โหมด
MINI Experience ที่ใช้งานได้และเราประทับใจขอยกให้โหมด Go-Kart ที่จะต้อนรับเราด้วยเสียง “วู้หูว” ปลุกความเร้าใจด้วยมาตรวัดแบบรถแข่ง พร้อมปรับโหมดขับขี่ตามให้เป็นฟิลลิ่งสปอร์ตในโทนสีแดง พวงมาลัยหนักขึ้น แป้นคันเร่งตอบสนองได้ดี รู้สึกเบรกหนึบขึ้นด้วย
อีกโหมดที่ประทับใจคือ Green Mode หรือโหมด Eco ที่ลดกำลังลง เพื่อการประหยัดพลังงาน เรารู้สึกว่าแม้การออกตัวจะช้าลงไป แต่ความไหลลื่นในระหว่างการขับขี่ทำได้ดีขึ้น ใช้งานควบคู่กับระบบ One Paddle (โดยการบิดปุ่มปรับเกียร์ D/B 1 ครั้งจะเป็นการสลับระหว่างเกียร์ D และ One Paddle) ถือว่าทำได้ไม่เลว ทั้งการรีเจนพลังงานตอนถอนคันเร่ง เป็นการหน่วงระดับเดียวจนกระทั่งรถหยุดนิ่ง โดยไม่ต้องแตะแป้นเบรกเลย
เราลองทดสอบการใช้พลังงานของ MINI Cooper SE พบว่าการขับขี่ที่มีผู้โดยสาร 3 คน กินพลังงานไปประมาณ 16 kWh/ 100 km เมื่อขับขี่ในโหมด Core และ Go-Kart ซึ่งเมื่อขับขี่จริงน่าจะได้ระยะประมาณ 340 กม. แต่หากขับในโหมด Green หรือ Eco จะประหยัดขึ้นมาระดับ 14-14.6 kWh/ 100 km สามารถขับขี่ได้ถึงระยะประมาณ 370 กม. เลยทีเดียว โดยตลอดเส้นทางกว่า 200 กม. เราผลัดกันใช้ความเร็วสูงต่ำสลับไปกัน มีทั้งการเหยียบคันเร่งแซง ทดสอบความเร็วสูงสุด (อยู่ที่ประมาณ 172 กม./ชม.) อัตราเร่ง 0-100 ได้ประมาณ 7.1 วินาที รวมถึงขับ 90 นิ่ง ๆ ยาว ๆ
โดยรวมเราว่าเป็นรถ EV ขนาดกะทัดรัด ที่ออกแบบมาให้คนรัก MINI จะต้องหลงรัก เพราะใครที่เป็นแฟน MINI ย่อมยอมรับความดิบและขนาดของตัวรถได้อยู่แล้ว ซึ่งแม้ MINI Cooper SE จะปรับห้องโดยสารให้ดูกว้างขวางขึ้นชัดเจน (แต่ก็ยังรู้สึกคับแคบกว่า Volvo EX30 ในความรู้สึกเรานะ) แต่ความดิบและแข็งยังพอมีอยู่บ้าง แม้จะทำได้ดีกว่า Cooper SE รุ่นเดิม ทั้งช่วงล่างที่นุ่มขึ้น รวมถึงการใช้พลังงานที่เสถียรขึ้นก็ตาม
MINI Cooper SE ยังคงเป็นรถที่ขับสนุก เหมาะกับการใช้งาน 1-2 คน และด้วยราคาที่เปิดมาแค่ 1.699 ล้านบาท (ผลิตจีน) ที่ไม่เคยมีมาก่อนในรถ MINI ทำให้การมาของ MINI Cooper SE ที่ขับได้ถึงระยะ 300 กม.ปลาย ๆ น่าจะตอบโจทย์แฟน ๆ MINI ได้ดี สามารถตั้งค่าการชาร์จได้ว่าอยากชาร์จเต็ม 100% หรือชาร์ตแค่ 80% ให้ถนอมแบตเหมือนสมาร์ตโฟนก็ทำได้ รวมถึงใครที่เล็ง ๆ รถเล็กใช้งานคนเดียว มีออปชันสนุก ๆ ใช้เล่น อัดแน่นอยู่ในจอ OLED ทรงกลม ไม่ว่าจะด้วย MINI Experience หรือผู้ช่วยอย่าง Spike ผ่านแพ็คเกจ MINI Connected รวมถึงการสั่งการด้วยเสียง จะช่วยให้คุณไม่เบื่อกับตัวรถเลย
ส่วนข้อสังเกตที่เรารู้สึกได้คือ ราคา 1.699 ล้านบาทของ MINI Cooper SE ที่ทำราคาได้ต่ำที่สุดเท่าที่ MINI เคยตั้งราคาขายมาได้นั้น เพราะเขาตัดออปชันไปหลายอย่าง ทั้ง MINI Connected Upgrade ที่เปิดระบบช่วยขับขี่ Adaptive Cruise Control และระบบ Lane Departure Warning รวมถึงระบบ Steering and Line Guidance Assist ที่ต้องจ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปีอีกด้วย จึงช่วยตัดราคาที่มากับตัวรถไปได้ระดับหนึ่ง ทั้งนี้แพคเกจ MINI Connected Upgrade สามารถซื้อทีหลังจากซื้อตัวรถได้ หรือหยุดใช้ได้ทุกเวลาที่ต้องการ นอกจากนี้ตัวแพคเกจจะติดไปกับรถ ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการขายให้ผู้อื่นด้วยเช่นกัน
MINI Cooper SE ราคา 1,699,000 บาท พร้อมแพ็คเกจ MSI Standard โดยมี 6 สีให้เลือก ได้แก่ Blazing Blue, Nanuq White, Melting Silver ที่มาพร้อมกับหลังคาสีดำ Jetblack และ British Racing Green, Sunny Side Yellow, Chili Red II ที่ให้ลูกค้าเลือกหลังคาดำ Jetblack หรือสีขาว Glazed White