Our score
8.5ลองขับออฟโรดครั้งแรก Jaecoo 6 EV ที่ขับลุยได้ทุกสภาพพื้น 9 โหมด ออปชันหรูแบบไร้ปุ่มกด
จุดเด่น
- ดีไซน์ตัวรถค่อนข้างทันสมัย ออปชันภายในหรูหรา เบาะร่องน่องก็มา
- โหมดขับขี่ 9 โหมด ลุยได้จริงทุกสภาพพื้น กดไม่ถูกก็ All Road โหมดเดียวไปเลย
- ขับออฟโรดก็ได้ ขับถนนปกติช่วงล่างก็แน่นเฟิร์ม
จุดสังเกต
- ไม่มีปุ่มฟังก์ชันให้กด ย้ายทุกอย่างไปไว้ในจอหมด ต้องใช้ความเคยชิน
-
รถออฟโรด ขับในเมืองก็หล่อ ขับลุยก็เอาอยู่
8.5
นอกจากจะได้ทดสอบสมรรถนะของ Omoda C 5 EV จาก Chery Automobile ที่บริหารจัดการโดยบริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ยังมี Jaecoo 6 EV รถยนต์ไฟฟ้าทรงกล่องสไตล์ออฟโรดพรีเมียม มาพร้อมจุดเด่นที่ขับขี่ในเมืองก็หล่อ ลุยทางออฟโรดก็รอด ด้วยโหมดขับขี่กว่า 9 รูปแบบ ให้เราได้ขับลุยเส้นทางออฟโรดแบบจัดเต็ม บอกเลยว่าเอาอยู่ แม้ยางที่ใส่วันนี้จะไม่ใช่ยางออฟโรดด้วยก็ตาม
Jaecoo 6 EV รถยนต์ไฟฟ้าสไตล์ออฟโรดที่สร้างขึ้นด้วยปรัชญา From classic, beyond classic สื่อถึงการผสมความคลาสสิกเข้าความร่วมสมัย จนได้ออกมาเป็นรถทรงกล่องแบบ One box design รูปทรงหน้าตาดี มีความพรีเมียมหรูหรา เผื่อใครยังไม่รู้ว่า Jaecoo ยังเป็นบริษัทร่วมกิจการค้าระหว่าง Land Rover จึงไม่แปลกที่จะมีกลิ่นอายของแบรนด์นี้ปรากฏอยู่ในรถคันนี้ด้วย
จุดเด่นอีกอย่างนอกจากการออกแบบตัวรถที่มีฐานล้อกว้างกว่า 2,715 mm คือมีสิ่งที่เรียกว่าการดีไซน์แบบ Ultra short ให้ระยะด้านหน้าและด้านหลังจนถึงล้อมีขนาดสั้นลง โดยจากขอบด้านหน้าถึงล้อสั้นเพียง 802 mm และทำมุม 28 องศา ส่วนด้านหลังสั้นเพียง 821 mm ทำมุม 32 องศา ด้วยระยะที่สั้นแบบนี้ กับมุมองศาที่ค่อนข้างกว้าง จึงทำให้ตัวรถขึ้นลงเนินได้ชันขึ้น พร้อมกับการลุยพื้นที่น้ำท่วมได้สูงกว่า 60 cm
ดีไซน์อื่น ๆ ของตัวรถ โดดเด่นตั้งแต่ไฟหน้าและไฟท้ายแนวตรงปรับสูงต่ำอัตโนมัติ ด้านท้ายเปิดข้าง รวมถึงกล่องที่อยู่ด้านหลังตัวรถ ซึ่งปกติจะเป็นตำแหน่งของล้อสำรอง แต่ Jaecoo 6 EV เปลี่ยนเป็นกล่องเก็บของได้อีกช่องหนึ่ง รองรับการจ่ายไฟ V2L ขนาด 3.3 kW ทั้งสองรุ่นย่อย ที่มีช่องเสียบอยู่ด้านท้ายรถด้วย
ภายในห้องโดยสารของ Jaecoo 6 EV ออกแบบเป็นคอนโซลกลางลอยตัว มีมือจับตามสไตล์รถออฟโรด ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือเขาตัดปุ่มสัมผัสออกไปหมดเลย เหลือแค่จอสัมผัสขนาด 15.6 นิ้ว ที่เหลืออยู่มีแค่ปุ่มกดบนพวงมาลัย ที่เหลือใช้ควบคุมผ่านจอเท่านั้น อาจต้องอาศัยความเคยชินในการปรับโน่นปรับนี่กันบ้าง
แต่ได้เบาะ Super comfort แบบปีกหัวพับ ที่มาพร้อมระบบนวด 5 แบบ และเป่าลม 4 ที่นั่ง แต่พิเศษสำหรับที่นั่งแถวหน้า มีที่รองน่องปรับไฟฟ้า ที่นั่งสบายมาก ๆ เอามาขับในเมืองว่าหล่อแล้วยังสบาย นั่งได้ยาวจริง ๆ เพราะช่วงล่างของ Jaecoo 6 EV มีความเฟิร์มกว่า Omoda C 5 EV ใช้ได้ทุกสภาพพื้นถนนจริง ๆ
JAECOO 6 EV เปิดตัวด้วยกัน 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น JAECOO 6 EV Long Range 2WD เป็นรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง ที่มาพร้อมแบตเตอรี่ 65.69 kWh ขับไกล 426 กม. (มาตรฐาน NEDC) ส่วนอีกรุ่น JAECOO 6 EV Long Range 4WD หรือรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ แบตฯ ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย 69.77 kWh ขับไกล 418 กม. ทั้งสองรองรับการชาร์จ AC 6.6 kW และ DC 80 kW
ส่วนที่ต่างกันระหว่างรุ่น JAECOO 6 EV Long Range 2WD และ 4WD ได้แก่
- ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และ 2 ล้อหลัง
- แบตเตอรี่ 69.77 kWh รุ่น 4WD (65.69 รุ่น 2WD)
- โหมดขับขี่ All Road, Slippery, Beach, Muddy และ Bumpy ในรุ่นขับ 4 ล้อ (รุ่นขับหลังได้แค่ Eco, Normal, Sport และ Custom)
- เบาะนวดและที่รองน่องผู้โดยสารแถวหน้า เฉพาะในรุ่น 4WD
- ลำโพง INFINITY 12 ตำแหน่ง (ลำโพง PIONEER 8 ตำแหน่งในรุ่น 2WD)
- ปิดประตูท้ายไฟฟ้า เฉพาะในรุ่น 4WD
หากคุณเป็นคนที่ชอบเดินทางในเส้นทางออฟโรด ลุยป่าฝ่าเขา ต้องอาศัยสมรรถนะของตัวรถค่อนข้างสูง ผมว่า Jaecoo 6 EV ออกแบบมาให้ตอบโจทย์ตรงจุดนี้ด้วยโหมดขับขี่ที่เพิ่มมาในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ได้แก่ โหมด Slippery สำหรับถนนลื่น เช่น บนหญ้าเปียกหรือหิมะ โหมด Beach ใช้ขับขี่บนทรายและกรวดเล็ก โหมด Muddy ไว้ใช้ขับขี่ลุยโคลน และโหมด Bumpy บนพื้นขรุขระ ซึ่งสามารถใช้บนทางเนินชันได้ด้วย ซึ่ง 3 โหมดหลังจะทำงานร่วมกับการปิด ESP อัตโนมัติ แต่ถ้าคุณจำไม่ได้ว่าต้องใช้โหมดอะไร เขาก็มีโหมด All road มาให้รถปรับให้เราอัตโนมัติ ขับลุยเอาอย่างเดียว
ซึ่งวันที่เราทดสอบกันบอกเลยว่ามีทั้งการลุยโคลนเปียก ๆ หลังฝน ทางชันจัด ๆ ก็มีฟีเจอร์ Steep-slow มาช่วยดึงตัวรถในระหว่างลงทางชัน ให้ตัวรถไม่พุ่งไปข้างหน้าตามแรงโน้มถ่วง ซึ่งทางอินสตรักเตอร์เล่าให้ฟังว่าจุดสำคัญของรถไฟฟ้าที่ใช้ขับขี่ออฟโรดไม่ได้อยู่ที่กำลังมอเตอร์ แต่อยู่ที่การควบคุมแรงที่มีให้เหมาะสม เพราะหากมอเตอร์หมุนแรงเกินไป การขับขี่บนเส้นทางออฟโรดจะยิ่งยากขึ้น เช่น เวลาอยู่บนพื้นโคลน หากใช้กำลังมอเตอร์สูงอาจทำให้รถหมุนหรือสไลด์มากกว่าที่จะช่วยเคลื่อนไปข้างหน้า ดังนั้นการทำงานกับตัวรถจึงเป็นการควบคุมกำลังมอเตอร์ให้เหมาะสม ซึ่ง Jaecoo 6 EV ทำได้ดีเกินคาดในสนามออฟโรดนี้
ส่วนคนที่อยากได้ Jaecoo 6 EV แค่ความหล่อ ไม่ได้เอาไปลงสนามหนัก ๆ ก็มีตัวรถในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อที่มีโหมดขับขี่เบื้องต้น ได้แก่ โหมด Eco ประหยัด โหมดขับขี่ทั่วไป Normal โหมด Sport เพื่อการตอบสนองที่ดีขึ้น และโหมด Custom เลือกปรับเองได้
คราวก่อนได้เห็น Jaecoo 6 EV ที่ยังเป็นรถพรีโปรดักชัน แต่วันนี้เราได้ขับรถพวงมาลัยขวาจริง ๆ เป็นครั้งแรก ซึ่งต้องมาลุ้นราคากันอีกว่าจากที่เคยคาดการณ์กันไว้รอบก่อนว่า JAECOO 6 EV Long Range 2WD มีราคา 1,099,000 บาท และรุ่น JAECOO 6 EV Long Range 4WD มีราคา 1,249,000 บาท เมื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วจะตั้งราคาขายไว้ที่เท่าไหร่