Our score
7.2รีวิว MG 3 HYBRID+ ไฮบริดคันเล็กคล่องตัว โหมด Sport พุ่งมาก กล้องยังไม่ชัดเหมือนเดิม
จุดเด่น
- รถขนาดเล็ก คล่องตัว โหมด Sport พุ่งมาก
- มีระบบปรับอากาศที่นั่งแถวหลัง
- โหมด KER ทำได้ดี ไม่แพ้ One Pedal
จุดสังเกต
- กล้องรอบคันยังไม่ค่อยละเอียดนัก
- อัตราสิ้นเปลืองทำได้ไม่เท่าที่เคลมไว้ 26.2 km/L
-
รถขับง่าย คล่องตัว แต่กล้องยังไม่ชัด
7.2
เราเคยพูดถึงเทคโนโลยี HYBRID+ ที่อยู่ใน ALL NEW MG3 HYBRID+ กันไปแล้ว ล่าสุดบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ได้เปิดตัว MG3 Hybrid+ ด้วยราคาพิเศษช่วงเปิดตัว 559,900 บาท (ราคาเต็ม 579,900 บาท) สำหรับรุ่นย่อย D และ 599,900 บาท สำหรับรุ่นย่อย X (ราคาเต็ม 619,900 บาท) และเป็นรุ่นที่เราได้มารีวิวในวันนี้
MG3 HYBRID+ มาพร้อมระบบไฮบริดใหม่หรือ HYBRID+ ให้กำลังจากมอเตอร์ผสานกำลังเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ทำให้มีกำลังรวม 194 แรงม้า (กำลังสูงสุดในเซกเมนต์เดียวกัน) ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้า EDU 3 ระดับ พร้อมด้วยแบตเตอรี่ขนาดเล็ก 1.83 kWh (รองแค่ Nissan Kicks e-POWER) ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนไฮบริดกว่า 8 โหมด ซึ่งเราเคยอธิบายอย่างละเอียดไปแล้วรอบก่อน ระบบขับเคลื่อนนี้หมุนเวียนปรับเปลี่ยนให้อัตโนมัติ โดยที่ผู้ขับไม่ต้องไปปรับอะไรเลย
นอกจากเลือกโหมดขับขี่ที่ต้องการ 3 โหมด ได้แก่ โหมด Eco สำหรับสายประหยัด และ Normal สำหรับการขับขี่ทั่วไป แต่ที่เราอยากแนะนำคือโหมด Sport ที่ได้การออกตัวดีขึ้น อัตราเร่ง ตอบสนองไว มุดได้ง่ายขึ้นเข้ากับขนาดตัวรถที่มีความคล่องตัวสูง ตัวรถดูเหมือนจะเล็ก แต่ค่อนข้างกว้างขวางด้วยฐานล้อกว่า 2,570mm และขนาดตัวรถ 4,113 x 1,797 x 1,502mm (กว้างที่สุดในเซกเมนต์เดียวกัน) ที่นั่งด้านหลังนั่งสบาย มีพื้นที่ Legroom และ Headroom เหลือ ๆ ด้านท้ายมาพร้อมที่ปัดน้ำฝนหลัง
ภายในห้องโดยสารมาพร้อมจอดิจิทัลกลางขนาด 10.25 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย มาพร้อมกล้อง 360 องศารอบคัน (เฉพาะรุ่น X) แต่ต้องบอกว่าความละเอียดของกล้องยังค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด นอกจากนี้ยังมาพร้อมจอสำหรับผู้ขับขี่ขนาด 7 นิ้ว ที่บอกข้อมูลของตัวรถแค่จุดเดียว
สิ่งที่เราชอบคือการให้ปุ่มกดฟังก์ชันมาไว้ตรงคอนโซลกลางและด้านล่าง ใช้ปรับเพิ่มลดเสียง เข้าสู่หน้า Home ปรับระบบปิดกั้นอากาศภายนอกรถ รวมถึงโหมดขับขี่ และเบรกมือ โดยที่การปรับเกียร์ใช้ไดอัลวงกลมในการหมุนเลือกเกียร์ที่ต้องการ ให้ความพรีเมียมขึ้นมาหน่อย นอกจากนี้ยังให้ระบบปรับอากาศสำหรับที่นั่งแถวหลัง พร้อมด้วยระบบกรองฝุ่น PM2.5 แม้จะเป็นรถเล็กก็ตาม พร้อมด้วยช่องเสียบ USB-A 1 ช่อง เผื่อผู้โดยสารแถวหลังชาร์จแบตฯ ได้ด้วย
การใช้งาน
เราว่า MG3 Hybrid+ ค่อนข้างเป็นรถที่ใช้งานง่าย เนื่องจากไม่ต้องปรับตัวมากนักจากรถยนต์สันดาปทั่วไป ตัวรถมาพร้อมโหมดขับขี่ 3 โหมด คือ Eco, Normal ที่เหมาะกับการขับขี่ในเมือง ต้องการความประหยัด ส่วนโหมด Sport ก็ช่วยให้รถตอบสนองได้ดีขึ้น ขับขี่คล่องตัวสมกับขนาดรถ ตอบโจทย์ทั้งการการขับขี่บนทางด่วน หรือเดินทางต่างจังหวัด
เรามีโอกาสทดสอบขับขี่ในเมืองเป็นระยะเวลา 1 วันเต็ม ๆ แม้ว่าจะไม่เทียบเท่ากับการใช้งานตลอดช่วงอายุการใช้งาน แต่ก็พอทราบข้อมูลจากตัวรถเบื้องต้นว่า มีอัตราสิ้นเปลืองพลังงานอยู่ที่ประมาณ 17-20 km/L หากวัดจากปริมาณถังน้ำมันของ MG3 Hybrid+ อยู่ที่ 36 ลิตร จะสามารถขับขี่ได้จริงประมาณ 720 กม. ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับตัวรถที่ทางแบรนด์เคลมไว้ว่าขับขี่ได้ประมาณ 800 กม.
นอกจากนี้ตัวรถยังมีระบบคืนพลังงานหรือ KER ที่สามารถปรับได้ 3 ระดับด้วยกันคือ ต่ำ ปานกลาง และสูง ซึ่งการใช้งานจริงเราว่าระดับกลางถือว่าช่วยผ่อนความเร็วและดึงได้ในระดับที่ไม่ปวดหัว หรือหากใครชินกับการขับขี่รถ EV มาบ้างแล้ว การใช้ KER ระดับสูง ทำให้ขับขี่ได้ไม่ต่างกับการใช้ระบบ One Pedal ในรถ EV เลย ซึ่งเราชอบมาก ๆ MG3 Hybrid+ ทำได้ดีไม่แพ้รถยนต์ไฟฟ้าเลย