คุณผู้ชมคิดว่าทีวี 4K HDR ขนาด 65 นิ้ว ที่ใช้ระบบ webOS TV แถมมี Magic Remote ใช้ได้ไม่ต่างจากเมาส์แบบนี้ จะมีราคาเท่าไรครับ ?
เชื่อไหมครับว่า ทั้งหมดที่แพนพูดถึง อยู่ในทีวี Aconatic webOS TV รหัส 65US200AN ที่ซื้อมาใช้ได้งบไม่ถึง 20,000 บาท! จะน่าสนใจแค่ไหน เดี๋ยววันนี้แพนมา #beartai ให้ฟังครับ
ต้องยอมรับว่า “แบรนด์ไทย ราคาไทย” อย่าง Aconatic อยู่ในตลาดไทยมานานกว่า 30 ปีแล้ว แพนจำได้ว่าเห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลย
พวกสินค้าที่ดังติดตลาดก็จะมีพวก เครื่องอ่านแผ่น | เครื่องขยายเสียง | ชุดโฮมเทียร์เตอร์ และรวมถึงสมาร์ตทีวีที่กำลังมาแรงด้วยครับ ล่าสุด Aconatic เคลมว่าทำยอดขายทีวี LED สูงเป็นอันดับ 1 ในไทยด้วยนะครับ
แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่ตัวเลขยอดขาย แต่เป็นเรื่องที่ Aconatic ผลิตทีวี “3 ซีรีย์ – 3 แพลตฟอร์ม” โดยมีตั้งแต่ แพลตฟอร์ม Android TV อันนี้พี่หนุ่ยเพิ่งจะรีวิวไปแล้ว ไปดูกันได้ครับ แพลตฟอร์มถัดมาคือแพลตฟอร์ม webOS TV ที่เรากำลังจะรีวิวในวันนี้ครับ นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์ม Netflix TV ด้วยครับ
สำคัญทุกรุ่นยังประกอบในไทยด้วยนะครับ ด้วยโรงงานในเครือของ Aconatic อย่าง AE Technology ที่ได้ตรา Thailand Trust Mark และยังมีรางวัล The Prime Minister’s Industry 2018 หรือ PM Award จากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ การันตีว่าเป็นสินค้าคุณภาพจากไทย
และ AE Technology ยังเป็นโรงงานที่ประกอบทีวีหลายแบรนด์ในตลาด ทั้งแบรนด์ Aconatic เอง และอื่น ๆ ซึ่งประกอบมาแล้วกว่าล้านเครื่องแล้วครับ ถือว่าน่าสนใจนะครับ สำหรับแบรนด์ทีวีไทยที่ทำได้ขนาดนี้
พูดถึงทีวีที่ใช้แพลตฟอร์ม webOS TV ใครเคยใช้มา ก็น่าจะเข้าใจดีว่า มีเอกลักษณ์เรื่อง “ใช้งานง่าย” ตั้งแต่หน้า UI ในการตั้งค่าที่ดูเป็นมิตรกับผู้ใช้ ทำให้ตั้งค่าได้ง่าย ๆ ครับ
และอีกหนึ่งจุดที่แพนว่าดีคือ ความเทพของ Magic Remote ที่สั่งงานด้วยเสียงได้ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เช่น เปิดคลิปแบไต๋ หรือ Open Spotify
นอกจากนี้ยังใช้ควบคุมหน้าจอที่สะดวกเหมือนเมาส์ไร้สายเลยครับ (ลองขยับสั่งการหน้าจอให้ดู) มีปุ่มเข้า Netflix และ Prime video ได้อย่างสะดวกง่ายดาย
ซึ่งการมีรีโมตที่ควบคุมด้วยการชี้จุดแบบนี้ จะดีมาก เวลาจะดูหนังซักเรื่อง เราเอารีโมตชี้และกดได้เลย ซึ่ง สะดวกมาก และจะยิ่งสะดวกขึ้นไปอีกเวลาเราต้องพิมพ์ตัวอักษรครับ เคยเป็นกันไหมครับที่เวลาจะพิมพ์หาหนัง หรือหาคลิป YouTube ทีก็ต้องกดเลื่อนรัว ๆ แต่อันนี้ไม่ต้องเลยครับ
แต่ถ้าใครไม่อยากพิมพ์เอง ตัวรีโมตก็รองรับคำสั่งเสียงด้วยนะ กดปุ่มรูปไมค์ค้างไว้แล้ว แล้วพูดได้เลยครับ เช่น เปิดคลิปแบไต๋ มันก็จะง่าย ๆ แบบนี้
และนอกจากนี้บน Magic Remote ยังมีสกอเมาส์ เอาไว้สไลด์ขึ้นลงเหมือนเมาส์ด้วยนะครับ เวลาเราจะเลื่อนหาหนังดู หรือจะสไลด์ดูลิสต์ใน YouTube ก็จะเป็นอะไรที่ง่ายครับ ไม่ต้องมากด ๆ ที่ละครั้งให้เสียเวลาครับ
สำหรับ Aconatic webOS TV ที่วางขายในท้องตลาด จะมีให้เลือก 3 ขนาดหน้าจอครับ เริ่มต้นที่ไซซ์ 50 นิ้ว (รหัส 50US200AN) 55 นิ้ว (รหัส55US200AN) และ 65 นิ้ว (รหัส65US200AN) ที่แพนได้มารีวิวครับ
โดยพาแนลที่เขาใช้จะมีสองแบบครับ ตัว 50 นิ้วจะใช้เป็นจอ VA ธรรมดาครับ ส่วน 55 และ 65 นิ้วจะเป็นจอ ADS หรือ Advanced Super Dimension Switch ที่ดีกว่า ให้ค่า Contrast เข้มแบบจอ VA ในขณะเดียวกันก็ยังให้สีสันสดใสและมีมุมมองที่กว้างเหมือนจอ IPS ครับ
ซึ่งทุกขนาดจอจะมีความละเอียดอยู่ที่ 4K พร้อม HDR 10+ ภาพเนี่ยคมชัดแน่นอนอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่เป็นจอ HDR เวลาเราเปิดหนังหรือคลิปที่รองรับ ระบบก็จะปรับโปรไฟล์ให้อัตโนมัติครับ ยกตัวอย่างผมเปิดคลิป YouTube HDR ภาพก็จะปรับให้เองแบบนี้เลยครับ
ส่วนฟีเจอร์เด่นของรุ่นนี้ก็คือ TruMotion ที่ทำให้ภาพดูลื่นไหลขึ้นด้วยการแทรกเฟรมเข้าไปครับ ซึ่งจะเหมาะกับคนที่ดูกีฬาหรือหนังที่มีการเคลื่อนไหวเร็ว ๆ ครับ
ด้านเสียงก็มาพร้อมกับลำโพงระบบเสียง Dolby Digital Plus ที่ทำให้เสียงสมจริง คุณภาพเสียงถือว่าโอเคเลยนะครับ เวลาดูหนังจะได้ยินเสียงพูดค่อนข้างชัดเลย และลำโพงถือว่าดังพอสมควรเลยครับ ถ้านั่งห่างจอซัก 3-4 เมตรใช้เสียงราว ๆ 40% ถือว่ากำลังดีเลยครับ
พูดถึงระบบภายในกันบ้าง อย่างที่เรารู้กันว่า webOS TV มีคอนเทนต์ค่อนข้างเยอะครับ อย่างที่เราเห็นในจอ ก็จะมี Netflix, Amazon Prime, WWE, YouTube, Spotify, Browser, Media, Song ครับ
ซึ่งการเปิดแอปต่าง ๆ ก็ Aconatic webOS TV ทำได้อย่างลื่นไหลครับ มีจังหวะต้องรอนิดหน่อย ถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วครับ
แอป แต่เราสามารถดาวน์โหลดเพิ่มได้อย่างใครที่ชอบดูหนังซีรีส์จีนก็จะมี IQIYI หรือถ้าเกาหลีก็มี VIU ให้ดาวน์โหลดเลยครับ นอกจากนี้เราสามารถเข้าไปที่ Content Store ครับ (อธิบายคร่าว ๆ ว่ามีอะไรบ้าง)
จากที่แพนเคยใช้มาทั้ง Android TV และ webOS TV ก็ต้องยอมรับว่า webOS TV ยังมีแอปให้โหลดน้อยกว่าพอสมควรครับ
สุดท้ายเรื่องแอปส่วนใครอยากดู Disney Plus Hotstar อันนี้ถ้ามาจากโรงงานเราจะโหลดไม่ได้ครับ ต้องไปที่ตั้งค่าทั้งหมด >> จากนั้นเลือกไปที่ทั่วไป >> แล้วกดที่ตำแหน่งครับ ปกติจะเป็นตั้งค่าโดยอัตโนมัติ ให้เราเปลี่ยนเป็นอินเดีย แล้วเข้าไปโหลดแอป เมื่อเสร็จแล้วให้เราสลับกลับเป็นไทยเหมือนเดิม
ด้านวัสดุตัวเครื่องของ Aconatic webOS TV รหัส 65US200AN ก็ทำจากพลาสติก ส่วนขาตั้งเป็นแบบขาคู่ซึ่งอยู่แยกกันครับ ทำให้โต๊ะวางต้องใหญ่พอกับทีวีครับ ส่วนใครมีโต๊ะเล็กอันนี้จะวางไม่ได้ แต่ก็ถอดขาตั้งแล้วแขวนกับผนังได้นะครับ
ส่วนพอร์ตที่ให้มาก็จะมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม, HDMI สามพอร์ต ซึ่งในช่องที่สองนั้นเป็นแบบ ARC เอาไว้ต่อกับ Sound Bar / USB-A สองพอร์ต / ช่องเสียบเสาอากาศ /ช่องเสียบ AV in / ช่อง Optical / พอร์ต LAN เอาไว้ต่อเน็ตเข้าเครื่องครับ
แต่ถึงอย่างนั้นแพนว่าก็คงจะมีน้อยคนที่ลากสาย LAN เข้าเครื่องเพราะส่วนใหญ่น่าจะต่อ Wifi กันหมดแล้ว นอกจากนี้ยังรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Bluetooth อย่างหูฟังหรือลำโพงด้วย
พูดถึงการต่อไร้สาย Aconatic webOS TV ก็มาพร้อมกับฟีเจอร์ Screen Mirroring หรือการแชร์หน้าจอมือถือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ไปแสดงบนหน้าจอทีวีครับ
ถ้าเป็นมือถือ Android ก็จะง่ายเลย แค่กดฟีเจอร์ Wireless Projection หรือการฉายภาพแบบไร้สาย และก็จับคู่ให้เรียบร้อย โดยต้องอยู่ในวง Wifi เดียวกันด้วยนะครับ จากนั้นก็แชร์จอได้เลย หรือจะแชร์ผ่านแอป Smart View ส่วนมือถือที่เป็น iOS ก็ทำผ่าน Mirror Meister ได้เช่นกันครับ
ข้อสังเกต
ทีนี้มาพูดข้อสังเกตของ Aconatic webOS TV กันบ้างครับ จุดนี้แพนให้เป็นเรื่องพาแนลของจอที่มีสองแบบครับ 50 นิ้วจะเป็น VA แต่ 55 และ 65 นิ้วจะเป็นจอ ADS ที่ดีกว่า เวลาจะซื้อก็ต้องพิจารณาให้ดีครับ
ก่อนจะไปบอกราคา เดี๋ยวแพนสรุปให้ฟังอีกทีนะครับ Aconatic webOS TV เป็นทีวีสัญชาติไทย ประกอบในไทย ใช้ความละเอียดภาพระดับ 4K HDR มาพร้อมกับ webOS TV และ Magic Remote รวมถึงหน้าตาใช้งานง่าย ติดตั้งแอปพลิเคชันได้ และรองรับ ThinQ AI ด้วย
ราคา
โดยทั้งหมดจะมีอยู่ 3 ขนาดหน้าจอครับ ตัวหน้าจอ 50 นิ้วจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 10,990 บาท ส่วนรุ่น 55 นิ้วจะมีราคาอยู่ที่ 13,990 บาท และสุดท้ายตัวใหญ่สุด 65 นิ้ว จะมีราคาอยู่ที่ 18,990 บาท เห็นไหมครับ ราคาไม่ถึง 20,000 บาทจริง ๆ
ส่วนการรับประกันสินค้าก็มีให้สูงสุด 3 ปี รวมถึงบริการหลังการขายแบบ Home Service ที่ทาง Aconatic จะไปซ่อมให้ถึงหน้าบ้านเลยครับ และถ้าต้องเอากลับไปซ่อมที่ศูนย์ ก็จะให้เครื่องสำรองมาใช้ระหว่างซ่อมด้วยครับ
สำหรับใครที่สนใจ หรืออยากสั่งซื้อ ก็สามารถติดต่อไปได้ที่เฟซบุ๊ก Aconatic World ได้เลยครับ