หากพูดถึงเทรนด์การทำงานยุคใหม่ ก็ต้องพูดถึง Hybrid Working หรือการทำงานจากที่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ฟังดูเป็นอะไรที่น่าสนใจใช่ไหมครับ หยิบโน้ตบุ๊กไปนั่งทำงานที่ไหนก็ได้

แต่ใช่ว่าโน้ตบุ๊กทุกเครื่องจะเหมาะ วันนี้แพน-ศรุต ทาเลนต์แบไต๋ที่คุ้นเคยกับการทำงานนอกสถานที่บ่อย ๆ จะมาแชร์ 6 จุดเด่นของ HP Elitebook X360 ว่าทำไมถึงเหมาะกับการเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้แบบ Hybrid Working พร้อมให้ข้อสังเกตครับ

วันนี้แพนจะมาแนะนำให้รู้จักกับ HP Elitebook X360 โน้ตบุ๊กที่ออกแบบมาเพื่อการทำงานแบบ Hybrid Working โดยเฉพาะ ช่วยให้ทำงานได้ราบรื่น คล่องตัว และมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

จุดเด่นที่ 1

เป็นเรื่องของขนาดตัวที่กะทัดรัด และน้ำหนักที่เบาครับ ว่ากันตามสเปกแล้วเครื่องนี้มีน้ำหนักอยู่ที่ 1.29 กก. ถือว่าเบานะครับ ส่วนขนาดก็เท่า ๆ กับ A4 เลย การพกพาก็เลยทำได้สะดวก เหมาะกับการถือใช้ในทุกวันครับ

นอกจากนี้ เรื่องดีไซน์ของ HP Elitebook X360 ก็ยังเรียบหรูจากสีเทาที่ดูสุภาพ และดูพรีเมียมจากวัสดุอะลูมิเนียม อันนี้จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ดูดี เวลาถือโน้ตบุ๊กไปดีลงาน หรือไปพรีเซ็นต์ครับ

และที่หลายคนอาจจะไม่รู้คือ 50% ของคีย์บอร์ดและ 30% ของขอบจอ ทำจากพลาสติกรีไซเคิลที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว ถือว่านำพลาสติกมาหมุนเวียนใช้งานได้อย่างคุ้มค่า และช่วยลดปริมาณการกลายเป็นขยะอย่างสูญเปล่าเลยครับ

จุดเด่นที่ 2

ความครบจบในตัว ปกติแล้วถ้าใช้โน้ตบุ๊กพอร์ตน้อย ๆ เวลาจะต่อทีก็ต้องพกดองเกิลไปเสียบเพิ่ม ถ้าลืมหยิบไป หรือทำหายในช่วงเวลาสำคัญ งานเข้าแน่นอนครับ

ด้วยเหตุนี้ HP Elitebook X360 ก็เลยให้พอร์ตมาครบในตัว มีทั้ง HDMI ไว้ต่อจอหรือโปรเจกเตอร์, USB-A ไว้เสียบแฟลชไดรฟ์หรือพวกเมาส์ไร้สาย, Thunderbolt 4 ไว้โอนข้อมูล เสียบชาร์จแบต และต่อหน้าจอแยก นอกจากนี้ยังมีช่องเสียบหูฟัง และช่อง Nano Lock ไว้ใส่สายล็อกกันขโมยครับ

และพิเศษกว่านั้นคือ เขามีช่องอ่าน Smart Card และช่องใส่ซิมการ์ด เป็นออปชันเสริมสำหรับองค์กรที่ต้องการครับ

จุดเด่นที่ 3

พับจอได้ 360 องศา ใช้งานยืดหยุ่น แพนว่าการทำงานแบบ Hybrid Working เราคงไม่ได้นั่งอยู่กับที่ตลอด อาจต้องเอาโน้ตบุ๊กไปใช้ในหลายสถานการณ์ เลยจำเป็นต้องมีโน้ตบุ๊กที่ใช้งานได้ยืดหยุ่นครับ

HP Elitebook X360 ก็เหมาะเพราะปรับใช้ได้หลายรูปแบบ เช่น ถ้าจะพิมพ์งานทั่วไปก็พับจอแบบนี้ หรือถ้าจะตั้งจอก็เอาไว้ทัช แต่ถ้าอยากได้มุมที่พอดีกับสายตาก็พลิกแล้วตั้งเป็นเต้นต์ได้ หรือถ้าอยากได้ความคล่องตัว ก็พับเป็นแท็บเล็ตแล้วถือใช้ได้เลย

นอกจากนี้ยัง มีสัดส่วนแบบ 16:10 ที่มีพื้นที่บนและล่างมากกว่าจอทั่วไปทำให้เห็นตัวอักษรได้มากกว่า และรองรับปากกาด้วยนะครับ แพนว่าสายครีเอทีฟหรือสายอาร์ตน่าจะชอบในจุดนี้ครับ

ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ที่น่าสนใจก็มี HP Eye Ease ช่วยลดแสงสีฟ้าที่ทำร้ายจอประสาทตา เวลาเราต้องมองจอนาน ๆ ครับ แต่ยังไงพักสายตาก็ดีที่สุดนะครับ

จุดเด่นที่ 4

ติดต่อสื่อสารลื่นไหล อันนี้เรียกว่าเป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ของ Hybrid Working เราจะทำอย่างไรให้คนที่ทำงานจากคนละสถานที่ สามารถติดต่อกันได้ลื่นไหลเหมือนทำงานอยู่ที่เดียวกัน ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความปลอดภัยด้วย ซึ่งทาง HP ก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก

ทำให้ HP Elitebook X360 มีฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อการประชุมโดยเฉพาะ เช่น HP AI Noise Reduction 2.0 ที่ตัดเสียงรบกวนออกไป (เปิดฟีเจอร์) เวลาเรานั่งทำงานในที่ ๆ อาจจะมีเสียงรบกวนเยอะ หรือกล้องเว็บแคมก็มีฟีเจอร์แทร็กกล้องตามหน้าเราแบบนี้เลยครับ เราขยับไปไหนกล้องก็จะตามไป และปิดกล้องเพื่อความปลอดภัยได้ด้วย เรื่องคุณภาพของภาพและเสียงก็เป็นแบบที่ทุกคนได้ยินเลย แพนก็ว่าคมชัดนะครับ

เรื่องนี้สำคัญมากนะครับ เวลาที่เราต้องคุยงานมันจะซีเรียสมาก แล้วมีอะไรมารบกวน จะชวนให้หงุดหงิดเปล่า ๆ ครับ จะให้ดีคือต้องประชุมได้ลื่นไหลเหมือนนั่งคุยอยู่ในห้องเดียวกันเลยครับ

จุดเด่นที่ 5

ประสิทธิภาพเหมาะสม แพนว่าคนส่วนใหญ่ที่ทำงานแบบ Hybrid Working น่าจะไม่ได้ต้องการโน้ตบุ๊กที่แรงระดับเกมมิ่ง แต่ก็ต้องการความพอดีที่ช่วยให้การทำงานลื่นไหลครับ

ซึ่ง HP Elitebook X360 ก็มีให้ในจุดนี้ครับ โดยสเปกของซีพียูจะเป็น Intel Core เจเนอเรชันที่ 12 จุดเด่นคือประหยัดไฟและให้ประสิทธิภาพที่ดี

ส่วนแรมและหน่วยความจุก็มีให้เลือกสูงสุด 16GB และสูงสุด 1TB สเปกเท่านี้แพนว่าก็เพียงพอกับการใช้งานทั่วไปในออฟฟิศแล้วครับ พวก Word Excel PowerPoint หรือพวกเว็บแอปพลิเคชัน อันนี้ใช้ได้สบาย ๆ เลย

จุดเด่นที่ 6

เป็นเรื่อง ความระบบความปลอดภัย การทำงานนอกสถานที่บ่อย ๆ เรื่องระบบป้องกันอันตรายจากโลกไซเบอร์เลยมีความสำคัญมาก ๆ ครับ

โดย HP Elitebook X360 จะมีฟีเจอร์ช่วยป้องกันมาให้หลายตัว เริ่มตั้งแต่การปลดล็อกเครื่อง อันนี้มีเซ็นเซอร์สแกนใบหน้าด้วยครับ ทำให้เราปลดล็อกเครื่องได้อย่างปลอดภัย

ส่วนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็ใส่ซิมต่อเน็ตได้ ทำให้เราไม่ต้องไปเชื่อมต่อ Wi-Fi ให้เกิดความเสี่ยง แพนว่ายังไงก็ปลอดภัยกว่าครับ

ปัจจุบันมีหลายเทคโนโลยีนะครับ ที่ช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์ของเราอีกขั้นจากการทำงานแบบ Hybrid Working เช่น HP Sure Click ที่ป้องกันการคลิกแล้วไปโหลดมัลแวร์ แรนซัมแวร์ หรือไวรัสที่อาจแอบแฝงมากับอีเมล หรือเผลอเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย อันนี้ระบบก็จะบล็อกให้ครับ ซึ่งฟีเจอร์นี้จะมากับโน้ตบุ๊ก Elitebook 800 series ครับแบบเดียวกับที่แพนแนะนำครับ

สำหรับระบบป้องกันในฮาร์ดแวร์ก็มี HP Wolf Security หรือระบบป้องกันภัยถึงระดับเฟิร์มแวร์ ที่ช่วยป้องกันภัยคุกคามจากโลกไซเบอร์ ด้วยความสามารถในการตรวจจับ คัดแยก กักกันอันตรายต่าง ๆ ที่โจมตีเข้ามา รวมถึงซ่อมแซมและกู้คืนด้วยตัวเองได้ จุดนี้ถือว่าช่วยเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลในองค์กรจากการทำงานแบบ Hybrid Working

โดยปกติแล้วหลายองค์กรจะมีแผนกไอทีซัปพอร์ตคอยประจำอยู่ที่ออฟฟิศ แต่พอปรับมาเป็นการทำงานแบบ Hybrid Working การเข้าไปดูแลอาจจะไม่ทั่วถึงครับ

HP ก็เลยมีโซลูชัน HP Active Care ลดภาระของแผนกไอที ลดค่าใช้จ่าย และลดภาระงานด้านดูแลกลุ่มอุปกรณ์ พร้อมจัดการปัญหาที่ไม่คาดคิดได้อย่างรวดเร็ว จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจากเอชพี ผ่านการควบคุมระยะไกลได้ตลอดเวลา อีกทั้งยังช่วยแจ้งปัญหาต่าง ๆ ให้ฝ่าย IT ขององค์กรทราบเพื่อที่จะได้แก้ปัญหา หรือสั่งอุปกรณ์มาทดแทนครับ

นอกจากนี้ HP Active Care มาพร้อมกับ HP TechPulse ระบบ AI ที่ช่วยวิเคราะห์ปัญหา และตรวจสอบความสมบูรณ์ของอุปกรณ์ รวมถึงแจ้งให้อัปเดตเวอร์ชันอยู่เสมอเพื่อให้ระบบมีการป้องกันที่เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ จุดนี้จะช่วยเสริมประสิทธิภาพของแผนกไอทีซัปพอร์ต

โดยในหน้า Dashboard จะมาพร้อมกับการใช้งานที่ง่าย มีเมนูแสดงรายละเอียดต่าง ๆ ในภาพรวมว่ามีอุปกรณ์ไหนเกิดปัญหาบ้าง และยังโฟกัสดูเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งเก่าและใหม่ แบบแยกรายเคสได้ครับ นอกจากนี้ระบบก็จะเอาข้อมูลที่เกิดปัญหามาสร้างเป็นใบงานขึ้นมาแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ฝ่ายไอทีซัปพอร์ตกดปุ่ม Create Case แล้วระบบจะส่งงานให้เจ้าหน้าที่ของ HP รับเรื่องไปดูแลต่อได้ทันที

เรียกได้ว่า HP Active Care จะเป็นตัวช่วยให้เราสามารถทำงานแบบ Hybrid Working ได้อย่างไร้รอยต่อ และช่วยศักยภาพการในการทำงานได้ครับ

ข้อสังเกต

แน่นอนว่าทุกรีวิวของแบไต๋จะให้ข้อสังเกตไว้ ก็คือส่วนของปุ่ม F1-F12 ที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก ทำให้บางครั้งกดพลาดได้ครับ ส่วนอีกเรื่องคือไม่มีปากกาแถมมาให้ครับ ถ้าจะใช้เราต้องซื้อแยก

รีวิวที่ดีต้องมีราคา

โน้ตบุ๊ก HP Elitebook X360 รหัส 830 G9 มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 49,990 บาทครับ สเปกนี้จะได้ซีพียู Intel Core i5 Gen 12 แรม 8GB, SSD 512GB พร้อมกับ Window 11 pro และประกันพื้นฐาน Onsite Servce 3 ปี รวมถึงมี ฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์การทำงานแบบ Hybrid Working ในยุคนี้ครับ

ส่วนราคาของ HP Active Care บริการเสริมจะเริ่มต้นที่ 1790 บาท ต่อการดูแล 3 ปี ซึ่งแต่ละรุ่นก็จะมีราคาและระยะเวลาการดูแลไม่เท่ากันครับ สามารถดูข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ HP.com ได้เลยครับ

แน่นอนว่าแต่ละองค์กรอาจมีต้องการไม่เท่ากัน แนะนำว่าใครที่สนใจ ก็สามารถติดต่อไปที่ช่องทางที่แพนใส่ไว้ในแคปชันนะครับ

โลกการทำงานในอนาคตจะต้องกลายเป็น Hybrid Working อย่างแน่นอน จะดีกว่าไหมครับ ถ้าเราเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม และปรับตัวก่อน เพื่อให้องค์กรสามารถก้าวได้ทัน ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วครับ