หลังจากที่เราถือ iPhone SE Gen 3 มาหลายเดือน ก็ได้เวลาที่เราจะรีวิวประสบการณ์การใช้จริงจัง ว่าสมาร์ตโฟนที่นับเป็นรุ่นล่าสุด และถูกที่สุดจากแอปเปิ้ลคือราคาเริ่มต้น 15,900 บาท จะใช้งานได้ดีพอใจกับเราไหม
ดีไซน์
เรื่องหน้าตา เราคงไม่รีวิวมาก เพราะมันคือดีไซน์ที่มีพื้นฐานมาจาก iPhone 6 ที่ออกมาตั้งแต่ปี 2014 หรือ 8 ปีที่แล้ว แต่ได้รับการปรับปรุงจนเป็นดีไซน์ปัจจุบันที่เริ่มใช้ตั้งแต่ iPhone 8 คือมีฝาหลังเป็นกระจก และปุ่มโฮมเป็นแบบสัมผัสและสั่น แทนที่จะเป็นปุ่มจริงๆ ทำให้หมดปัญหาปุ่มโฮมพัง
เมื่อเรากลับมาใช้ดีไซน์อายุเกือบ 10 ปีในยุคนี้ที่มือถือแทบจะไร้ขอบกันหมดแล้ว ความรู้สึกแรกคือจอเล็กจัง เพราะขนาดจอแค่ 4.7 นิ้ว และมีขอบจอหนาเชียว เทียบกับ iPhone 12 mini ที่จอ 5.4 นิ้ว แม้เครื่องเล็กกว่า แต่ก็ยังให้จอใหญ่กว่า ซึ่งเริ่มใช้แรกๆ คุณจะพิมพ์ผิดบ่อยเลย
ความรู้สึกต่อมาคือเครื่องเล็กจัง เราแทบจะแตะตรงไหนของหน้าจอได้ด้วยมือเดียวแบบไม่ต้องกลัวเครื่องตก ถือถ่ายรูปก็ยกถ่ายแบบไม่กลัวเครื่องหลุดมือ จับเครื่องที่ขอบจอเพื่อไม่ได้จอลั่นได้ ซึ่งก็เป็นความรู้สึกที่หาไม่ค่อยได้ในมือถือดีไซน์ปัจจุบันครับ
หน้าจอ
ส่วนเรื่องหน้าจอ ถ้าคุณผ่านตามือถือที่เป็นจอ OLED อย่าง iPhone รุ่นใหม่ๆ หรือ Android มา จะรู้สึกทันทีว่าจอของ iPhone SE Gen 3 สีจืดกว่า สีจะทึมๆ ไม่ได้สดใสอย่างจอสมัยใหม่ และแน่นอนว่าเป็นแค่จอ 60 Hz เท่านั้นครับ แต่ก็ถือว่าดูเนื้อหาได้สบายตานะครับ ถ้าไม่ได้สลับใช้กับเครื่องดีไซน์ใหม่ๆ เดี๋ยวก็คงชินตาไปเอง
สรุปเรื่องดีไซน์ของ iPhone SE Gen 3 ก็เป็นความสัมพันธ์แบบ รัก-เกลียด เหมือนกันนะครับ คือเราชอบ Touch ID มาก แตะปลดล็อกเครื่อง แตะปลดล็อกแอปธนาคาร เร็วมาก ถ้าเทียบกับ Face ID ของ iPhone 13 ที่แม้จะปลดล็อกได้ตอนใส่หน้ากาก มันก็ช้าอยู่ดี กว่าจะสแกนผ่านหน้ากากผ่าน
เครื่องเล็กก็ทำให้จับถนัดมือมาก เห็นผลสุดๆ ตอนยกไปถ่ายรูป คือถ่ายได้แทบทุกการจับเครื่อง แบบไม่ต้องกลัวเครื่องหลุดจากมือเลย
แต่ด้วยความที่จอเล็ก ก็ทำให้เห็นอะไรไม่ชัด และกดคีย์บอร์ดยากขึ้นด้วยครับ ซึ่ง iPhone SE Gen 3 นี้มีให้เลือก 3 สี สีที่เรารีวิวคือ Starlight เป็นสีขาวอุ่น ๆ ดูสวยดี นอกจากนี้ก็มี Midnight สีเข้มเกือบดำ และสีแดง Product(RED) ครับ
กล้อง
เรื่องต่อไปคือกล้องของ iPhone SE Gen 3 ซึ่งเท่าที่ผ่านตาเรามา มันเป็นสมาร์ตโฟนเจนปัจจุบันรุ่นเดียวที่มีกล้องหลังแค่ 1 ตัว มือถือเจนปัจจุบันรุ่นอื่น ๆ ไม่ว่าจะถูกหรือแพงกว่านี้ มีกล้องมากกว่า 1 ตัวกันหมดแล้ว
แต่เราดูถูกกล้อง 12 ล้านพิกเซล f/1.8 ตัวนี้ไม่ได้นะครับ เพราะด้วยระบบการประมวลผลของชิป A15 ที่มี Smart HDR 4 เหมือน iPhone 13 ก็ทำให้ภาพออกมาดูดีเลย
ซึ่งภาพจาก iPhone SE คือภาพที่ถ่ายออกมาแล้วใช้งานได้เลยครับ มีการแก้ส่วนมืดและส่วนสว่างของภาพให้ดูสมดุลย์กันแล้ว ถ่ายไว ๆ ไม่ต้องคิดเยอะก็สวย ภาพมีรายละเอียดเยอะ เพราะมี Deep Fusion ระบบการประมวลผลที่รวมหลาย ๆ รูปในช่วงเวลานั้นมาซ้อนทับกัน ซึ่งสามารถเลือก “สไตล์ภาพถ่าย” ได้เหมือน iPhone 13 เลย ทำให้เลือกถ่ายภาพให้สีสดใสกว่าปกติได้ด้วย
ส่วนการถ่ายภาพ Portrait หน้าชัดหลังเบลอ ก็ทำได้ดีใช้ได้ สำหรับมือถือที่มีแค่เลนส์เดียว ไม่มีเลนส์ที่ 2 ช่วยวัดระยะของภาพ โดย iPhone SE สามารถตัดขอบตัวแบบกับฉากหลังได้ดีพอสมควร อาจจะมีจุดที่ดูแข็งๆ บ้างถ้าเจอกับผมที่ฟูออกมา แต่ก็ถือว่าเอาไปใช้จริงได้
ผมลองถ่ายเทียบกับเลนส์หลัก iPhone 12 mini ให้ดู จะเห็นว่าไม่ได้แตกต่างกันมากนัก คือถึงแอปเปิ้ลจะกั้กเรื่องกล้อง ให้มาแค่ตัวเดียว แต่ไม่ได้กั้กระบบประมวลผลภาพ
แต่การที่ iPhone SE Gen 3 ไม่มีเลนส์มุมกว้าง ไม่มีเลนส์ซูม ทำให้การใช้งานอึดอัดอยู่หลายอย่าง เช่นอยู่ในที่แคบๆ ก็ไม่มีเลนส์ Ultra-wide มาถ่ายภาพให้เก็บหมด หรือจะซูมภาพ ก็ซูมได้แต่แบบดิจิทัลสูงสุด 5 เท่าเท่านั้น
นอกจากนี้ยังไม่มี Night Mode สำหรับถ่ายภาพกลางคืนให้สว่างกว่าโหมดปกติด้วย ก็ถือเป็นข้อจำกัดของ iPhone ที่ถูกที่สุดครับ
วิดีโอจาก iPhone SE Gen 3 ก็ยังป้องกันการสั่นไหวได้ดี แม้ไม่มี OIS ที่ตัวเลนส์ และยังสามารถเก็บเสียงสเตอริโอได้ ซึ่งสามารถถ่ายได้สูงสุดที่ระดับ 4K 60 fps เหมือนรุ่นพี่อย่าง iPhone 13
แต่จะไม่สามารถถ่ายวิดีโอแบบ HDR เป็น Dolby Vision ได้เหมือน iPhone 12 ขึ้นไปนะครับ และแน่นอนว่าถ่ายวิดีโอมุมกว้างมากไม่ได้ด้วย เพราะมีเลนส์เดียวไง
ส่วนกล้องหน้า ให้คุณภาพภาพประมาณนี้ครับ ถ่าย Portrait ได้ ก็อยู่ในระดับเอาไปใช้ได้ แต่จุดนี้ต้องบอกว่าแอปเปิ้ลกั๊กสเปกเพราะได้กล้องหน้าแค่ 7 ล้านพิกเซล f/2.2 ซึ่งก็ต่ำกว่ามาตรฐานกล้องหน้าของ iPhone รุ่นอื่น ๆ ที่เป็น 12 ล้านพิกเซลกันหมดแล้ว
พอกล้องหน้าละเอียดแค่ 7 ล้านพิกเซลเลยถ่ายวิดีโอจากกล้องหน้าได้แค่ Full HD แบบนี้ครับ ไม่สามารถถ่ายเป็นวิดีโอ 4K ได้เหมือน iPhone รุ่นอื่น ๆ ใครที่เน้นถ้า Selfie กับวิดีโอกล้องหน้า ลองดูคุณภาพนะครับว่ารับได้รึเปล่า
สเปก
ส่วนประสิทธิภาพเครื่อง อันนี้ไม่ต้องลงรายละเอียดเยอะครับ เป็นชิป Apple A15 รุ่นเดียวกับ iPhone 13 เลย
โดยผลการทดสอบ Geekbench 5 ได้คะแนน Multi-core 4511 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนเท่า ๆ กับ iPhone 13 Pro แม้รุ่น Pro จะมีแรม 6 GB ส่วน iPhone SE มีแรมแค่ 4 GB เท่านั้น ซึ่งคะแนนนี้ก็คือมีประสิทธิภาพสูงกว่าชิปของ Android ทั้งตลาด
ส่วนการทดสอบ 3Dmark ชุด Wild-Life Stress Test ก็ทำคะแนนสูงสุดไปได้ 9388 คะแนน และต่ำสุดที่ 4647 โดยประสิทธิภาพเริ่มลดลงตั้งแต่รอบการทดสอบที่ 2 เลยจากความร้อน เทียบกับ iPhone 13 Pro ที่ได้คะแนนสูงสุด 11699 และต่ำสุด 5608 และเป็นคะแนนกราฟิกที่ไม่ได้ต่างจากสมาร์ตโฟน Android ตัวท็อปมากนัก
ซึ่งประสิทธิภาพที่ลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อความร้อนขึ้นสูงนี้ ก็อาจทำให้การเล่นเกมนาน ๆ เจอปัญหาเฟรมเรตตกบ้างครับ แต่ความร้อนที่สัมผัสได้จากเครื่อง จะไม่ได้ร้อนเท่า iPhone 13 Pro ที่ขอบเครื่องจะร้อนมากครับ
ส่วนอื่น ๆ รอบเครื่อง ก็มีลำโพงที่เป็นสเตอริโอบนล่างเหมือนเดิม ซึ่งก็ให้เสียงได้ดังโอเคเลย แต่เสียงจะไม่ได้หนักแน่นเท่าลำโพงของ iPhone 13 Pro
พอร์ตก็แน่นอนว่าไม่มีช่องหูฟัง 3.5 mm และเป็นพอร์ตชาร์จแบบ Lighting พอร์ตเดียวเหมือนเดิม แล้วที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นคือในกล่องบางๆ นี้ไม่มีหัวชาร์จมาให้ครับ ให้สายชาร์จจาก USB-C เป็น Lightning มาเส้นเดียว ซึ่งเรื่องนี้เราบ่นแอปเปิ้ลยาว ๆ ในคลิปทำไมแอปเปิ้ลถึงยังไม่เปลี่ยนไปใช้พอร์ต USB-C แทน Lightning สักที กลับไปดูกันได้
เรายังสามารถชาร์จไร้สายตามมาตรฐาน Qi ได้เร็วสุด 7.5 W ซึ่ง iPhone ที่มีปุ่มโฮมแล้วฝาหลังเป็นกระจกจะสามารถชาร์จไร้สายได้ทุกตัว แต่ไม่มีแม่เหล็กและไม่รองรับการชาร์จไร้สายแบบเร็ว 15 W ของ MagSafe นะ
ส่วนอายุแบตเตอรี่ เราใช้มาหลายเดือนก็อยู่จบวันได้แบบลุ้นๆ เพราะถึงแม้จะใช้ชิป A15 ที่ประหยัดพลังงาน แต่ความจุแบตเตอรี่ในเครื่องที่มีแค่ 2018 mAh ก็ทำให้แบตหมดเร็วกว่า iPhone 13 ที่แบตเตอรี่ในเครื่องเยอะกว่า
ราคา
และ iPhone SE Gen 3 รองรับ 5G เรียบร้อย ปรับปรุงจาก SE Gen 2 ที่รองรับแค่ 4G ครับ iPhone SE Gen 3 ตั้งราคาเริ่มต้นในไทยที่ 15,900 บาทสำหรับรุ่นความจุ 64 GB แพงกว่า SE Gen 2 ที่ขายอยู่ 14,900 บาทอย่างน่าเจ็บใจ
ถ้าให้ผมสรุปจากการใช้งานจริงมาหลายเดือน iPhone SE Gen 3 มันเหมาะสำหรับผู้อยากเริ่มต้นกับ iOS ที่งบไม่เยอะนัก แต่ประสบการณ์ที่ iPhone SE Gen 3 ให้ถือว่าดี ทั้งกล้องที่ถ่ายแล้วสวยเลย ถ่ายวิดีโอก็นิ่ง เครื่องเร็ว ตอบสนองไว ขนาดจับมือเดียวกำลังถนัด และ Touch ID ก็ยังเป็นสิ่งที่ใช้สะดวกกว่า Face ID ในหลายโอกาส
แต่ก็ต้องรับข้อจำกัดของมันคือไม่มีเลนส์มุมกว้างมาก และหน้าจอเล็กให้ได้นะครับ เพราะราคา 15,900 บาทนี้ถ้าไปซื้อมือถือฝั่ง Android คือได้จอ OLED ที่ใหญ่กว่านี้มาก สีจอสวยกว่าด้วย ดูหนัง ดูคลิปฟินกว่าเยอะ แถมได้เลนส์มุมกว้างมากให้ถ่ายที่แคบได้ง่าย ถึงประสิทธิภาพชิปของ Android ในราคานี้จะสู้ Apple A15 ไม่ได้ก็เถอะ
แต่แอปเปิ้ลก็ควรปรับปรุงดีไซน์เครื่องที่อยู่มานานเกือบ 10 ปีนี้ได้แล้วนะ