หลายคนคงทราบกันแล้วว่าเมื่อคืนมีงาน Apple Event ทุก ๆ ปีก็จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ จากแอปเปิ้ล (Apple) มาดูรายละเอียดกันดีกว่าว่าแอปเปิ้ลเปิดตัวผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง
Apple Watch Series 8
- หน้าตาเหมือน Series 7 เดิมที่เคยปรับปรุงให้หน้าจอใหญ่ขึ้น มี 2 ขนาดเหมือนเดิมคือ 41 กับ 45 mm จุดที่ใหม่จริง ๆ มีแค่ 2 เรื่องคือ เซนเซอร์วัดอุณหภูมิใหม่ และ เซนเซอร์ Crash Detection
- เริ่มที่เซนเซอร์วัดอุณหภูมิใหม่ ทำให้ Apple Watch Series 8 เหมาะกับคุณผู้หญิงมากขึ้นไปอีก เพราะตรวจสอบรอบเดือนได้ดีขึ้น จากการวัดอุณหภูมิ ที่วัดตอนกลางคืน ทำให้คำนวณการตกไข่ได้ ซึ่งมีแจ้งเตือนการตกไข่ได้ที่ iPhone ด้วย แน่นอนว่าข้อมูลเหล่านี้เข้ารหัสอย่างดี ไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าถึงได้
- ส่วน Crash Detection สามารถตรวจจับการชนของรถและแจ้งเตือนได้ โดยใช้เซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวตัวใหม่ที่รองรับการกระแทกและมีความไวในการตรวจจับมากกว่าเดิม ตรวจการชนของรถจากด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง และรถคว่ำได้ แล้วติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือ
แบตเตอรี่ 18 ชั่วโมง และมี Low power Mode ทำให้ได้แบตเตอรี่ 36 ชั่วโมง
- Series 4 รุ่นอลูมิเนียมมีตัวเรือน 4 สีคือ midnight, starlight, silver, (red)
- ราคาเริ่มต้น 15,900 บาท
- รุ่นสแตนเลสสตีลมีตัวเรือน 3 สีคือ silver, gold, graphite
- ราคาเริ่มต้น 27,900 บาท
วันวางขายในไทยรออัปเดตอีกนิด น่าจะไม่นาน แต่ยังไม่มีความสามารถวัด body composition แบบที่ Samsung Galaxy Watch ทำได้ตั้งแต่ปีที่แล้ว
Apple Watch SE 2
- รุ่นเล็กสุดที่มีความสามารถพื้นฐานพอสำหรับการใช้งานทั่วไป
- ตรวจ Crash Detection ได้เหมือน Series 8
- เร็วขึ้น 20% จาก SE ตัวแรก และจอใหญ่ขึ้น 30% จาก Series 3
- ต่างจาก Watch Series 8 ตรง
- ไม่มีจอ Always-on ที่ติดตลอด
- หน้าจอเล็กกว่า 20% ในขนาดเดียวกัน คือมี 40 กับ 44 mm
- วัดออกซิเจนในเลือดไม่ได้
- ไม่มีการตรวจอุณหภูมิเพื่อคำนวนร่วมกับรอบเดือน
- ไม่รองรับการชาร์จเร็ว
- ราคาเริ่มต้น 9,900 บาทเท่านั้น มีตัวเรือน 3 สีคือ midnight, starlight, silver
Apple Watch Ultra
- ไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple Watch เจาะกลุ่มผู้ใช้สายผจญภัย Extreme เดินป่า ดำน้ำ
- ดีไซน์ใหม่ให้ดูทนทานขึ้น
- ตัวเรือนทำจากไทเทเนียม ด้านหน้าเป็นกระจกแซฟไฟร์แบบเรียบ
- มีปุ่ม Action สีส้มใหม่ พร้อม Digital Crown ใหญ่ขึ้น ปุ่มนูนขึ้น เพื่อให้กดได้แม้ใส่ถุงมือ
- หน้าปัดขนาด 49 mm ใหญ่และสว่างที่สุด (2000 nit) เท่าที่มีใน Apple Watch
- แบตเตอรี่ 36 ชั่วโมง และจะทำงานได้นานสุด 60 ชั่วโมงเมื่อใช้โหมดพิเศษ ที่จะอัปเดตตามมา
- มีตัวเลือกหน้าปัดแบบ Wayfinder แสดงข้อมูลสำหรับการเดินเทรล แถมมี Night mode ให้หน้าปัดสีแดงไม่แสบตาเวลาใช้
- รองรับ GPS แบบ L1+L5 Dual frequency เพื่อให้จับตำแหน่งได้แม่นขึ้น แม้อยู่ในเขตตึกสูง
- มี backtrack เพื่อย้อนเส้นทางเดินจาก GPS ได้ เผื่อหลงทาง
- กันน้ำระดับ WR100 และผ่านมาตรฐาน EN13319
- ทนน้ำที่ระดับ 100 เมตร
- สามารถใช้ Apple Watch Ultra สำหรับการดำน้ำสกูบาเชิงนันทนาการ (ร่วมกับแอปของบริษัทอื่นที่รองรับจาก App Store) ที่ความลึกถึง 40 เมตรและกีฬาทางน้ำความเร็วสูง
- เมื่อกันน้ำได้ขนาดนี้จึงใช้เป็น Dive Computer ได้ สามารถบอกความลึกใต้น้ำ เตือน Decompress หรือการขึ้นจากน้ำเร็วไป และอื่น ๆ ตามแอปที่ใช้ได้
- มีไซเรนดังระดับ 86 dB สำหรับการเรียกความช่วยเหลือ
- ราคา 31,900 บาท มีแต่รุ่น Cellular อย่างเดียว จะเปิดให้สั่งเร็ว ๆ นี้
AirPods Pro
- ดีไซน์คล้ายรุ่นเดิมมาก ๆ ยังเป็นหูฟังสีขาวที่มีก้านอยู่
- ใช้ชิป H2 ตัวใหม่ทำให้ประมวลผลเสียงได้มากขึ้น
- ทำให้ระบบตัดเสียงรบกวนเก่งขึ้นกว่ารุ่นเดิม 2 เท่า
- ระบบดึงเสียงภายนอกหรือ Transparency ก็เก่งขึ้น เป็นแบบ Adaptive ที่ปรับระดับตามเสียงภายนอก
- ปรับ EQ ให้เหมาะกับหูเราและสภาพแวดล้อมด้วย
- ใน iOS 16 ใช้กล้องเพื่อจูนเสียงจากรูปร่างหัวและหูได้
- ส่วนเรื่องเสียง มาพร้อมดอกลำโพงหรือไดรเวอร์ตัวใหม่แบบ High-excursion และ Amp ขยายเสียงช่วงไดนามิกสูง
- แน่นอนว่ารองรับ Spatial Audio และระบบเสียงติดตามศีรษะด้วย
- ส่วนการสั่งงานใช้การบีบก้าน และลากขึ้นลงเพื่อปรับระดับเสียงเหมือน AirPods 3
- แบตเตอรี่ 6 ชั่วโมง เพิ่ม 33% จากรุ่นที่แล้ว รวมแล้วได้ 30 ชั่วโมง
- ใช้ Findmy ค้นหาตัวเคสหูฟังได้ และที่เคสมีลำโพงเล็ก ๆ เพื่อส่งเสียงได้ด้วย
- แต่ใช้พอร์ตชาร์จเป็น Lightning เหมือนเดิม และรองรับการชาร์จ MagSafe
- แถมมีช่องคล้องสายให้ด้วย
- และไม่มีการพูดถึงเรื่อง Hi-Res Audio ไม่มีการพูดถึง Codec เสียงใหม่
- ราคา 8,990 บาท ขายในไทยเร็ว ๆ นี้
iPhone 14 และ iPhone 14 Plus
- หน้าตาเหมือน iPhone 13 รอยบากก็แบบเดียวกัน
- แต่เครื่องหนาขึ้นจาก 7.65 mm เป็น 7.8 mm เพราะกล้องหลังนูนขึ้น
- มี 5 สีคือ midnight, starlight, blue, purple, (red)
- โทนสีปีนี้ของ iPhone 14 มาแบบจืดๆ มีแรงสีเดียวคือแดง
- ส่วน iPhone 14 Plus คือมีหน้าจอ 6.7 นิ้ว จากรุ่นปกติ 6.1 นิ้ว
- ชิป A15 ที่ถึงจะเบอร์เดียวกับ iPhone 13 แต่ปรับปรุงขึ้น
- ใช้ GPU 5 แกนจากเดิม 4 แกนทำให้เร็วขึ้น 18%
- ปรับปรุงระบบระบายความร้อนใหม่ หวังว่าจะเล่นเกมได้ลื่นขึ้น
- กล้องหลัก 12 ล้านที่เซนเซอร์ใหญ่ขึ้น มีขนาดพิกเซลเป็น 1.9 ไมครอน f/1.5 พร้อมกันสั่นที่เซนเซอร์แบบ iPhone 13 Pro เดิม
- ส่วนกล้องมุมกว้างมากก็เป็น 12 ล้านพิกเซล f/2.4 เหมือนเดิม
- ไฮไลต์ของกล้องใหม่อยู่ที่ระบบการประมวลผลใหม่ที่เรียกว่า Photonic Engine
- คือนำการประมวลผล Deep fusion ที่รวมพิกเซลที่ดีที่สุดจากหลายค่าแสงไปทำงานตั้งแต่ข้อมูลดิบจากเซนเซอร์
- ทำให้ได้รายละเอียดมากขึ้น ประมวลผลแสงในที่มืดได้ดีขึ้น ภาพสว่างขึ้น
- ซึ่งอาศัยการประมวลผลกว่า 4 ล้านล้านรายการต่อภาพ
- นอกจากนี้แฟลชยังปรับปรุงให้ถ่ายรูปสวยขึ้นด้วย
- ส่วนกล้องหน้า 12 ล้าน f/1.9 ถ่ายแสงน้อยได้ดีขึ้น พร้อม autofocus เป็นครั้งแรก!
- ถ่ายวิดีโอมี Action Mode ที่ป้องกันภาพสั่นไหวขั้นสุด เหมือนใส่กิมบอลถ่าย
- ส่วน Cinematic Mode ถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอ สามารถถ่ายได้ถึง 4K 30 fps แล้ว
- ฟีเจอร์ใหม่คือ Crash Detection เหมือน Apple Watch เพราะมีเซนเซอร์ใหม่
- เชื่อมต่อดาวเทียมได้สำหรับการติดต่อฉุกเฉิน เรียกว่า Emergency SOS via satellite
- ต้องอยู่ใต้ท้องฟ้าที่ไม่มีอะไรบัง โดยการปรับปรุงเสาอากาศใหม่ทำให้ติดต่อกับดาวเทียมได้
- การเชื่อมต่อได้ทำได้ช่วงสั้น ๆ ทำให้ต้องส่งข้อความที่บีบอัด และใช้การติดต่อแบบมีหน้าคำถามและผู้ใช้เลือกคำตอบเพื่อให้ส่งข้อมูลที่ครบถ้วน เร็วที่สุด
- สามารถแชร์ตำแหน่งเราผ่าน find my ผ่านดาวเทียมได้
- ใช้ฟรี 2 ปี เริ่มในอเมริกาและแคนาดา ไทยม่ายเกี่ยว
iPhone 14 เริ่มต้น 128 GB ที่ 32,900 บาท (แพงขึ้น 3000 บาท) จอง 9 ก.ย. เริ่มวางจำหน่าย 16 ก.ย.
iPhone 14 Plus เริ่มต้น 128 GB ที่ 37,900 บาท เริ่มวางจำหน่าย 7 ต.ค. แน่นอนว่าเป็น Lightning เหมือนเดิม ข่าวลือไม่เคยผิด
iPhone 14 Pro และ Pro Max
- มีความสามารถใหม่ทั้งหมดของ iPhone 14 เช่น Photonic Engine ทำให้ถ่ายรูปกลางคืนดีขึ้น กล้อง Action Mode, Cinematic Mode 4K, กล้องหน้า Auto focus และการเชื่อมต่อดาวเทียม
- แต่ของว้าวสุดในงานอยู่ตรงนี้ Dynamic Island เปลี่ยนรูกล้องตรงกลางให้แสดงข้อมูลได้ลื่นไหล
- เปลี่ยนรูปร่างในการแสดงข้อมูลต่าง ๆ เช่นโนติ face ID เล่นเพลงก็แสดงในช่องนี้ได้ หรือแบตของ AirPods ก็ทำได้
- ซึ่งเรื่องนี้แทบไม่มีข้อมูลหลุดออกมาเลย ทำให้เห็นของจริงแล้วว้าวมากว่าแอปเปิ้ลคิดเรื่องนี้ได้
- ที่นอกจากเปลี่ยนบากเป็นแคปซูลแล้ว ยังมีลูกเล่นอีก
- หน้าจอที่ดีที่สุดของ iPhone ให้ความสว่าง 1600 nit ระดับเดียวกับจอ XDR Display เร่งสูงสุด 2000 nit เมื่ออยู่กลางแดด
- พร้อม Always-On Display หรือหน้าจอติดตลอดเวลาที่ Android ทำได้มาหลายปีแล้ว ในที่สุดไอโฟนก็ทำได้
- แน่นอนว่ามาทีหลังก็ต้องทำได้สวยกว่า โดย AOD เป็นแบบที่หรี่แสงจอ ทำให้ยังแสดงรูป Wallpaper ได้ด้วย
- โดยจอสามารถสามารถทำงานที่ 1 Hz และใช้ Co-Processor ทำงานแทนหน่วยประมวลผลหลัก ทำให้ประหยัดแบต
- ชิปใหม่ A16 Bionic
- ทรานซิสเตอร์ 16,000 ล้านตัว ทำที่ 4 nm เป็น CPU 6 แกน ซึ่ง 2 แกนประสิทธิภาพสูง และ 4 แกนประหยัดพลังงาน
- ชิปที่เร็วที่สุดในมือถือ เร็วกว่าคู่แข่ง 40%
- มี Display Engine เพื่อประมวลผล Dynamic Island และ AOD
- กล้องหลักตัวใหม่ 48 ล้านพิกเซล f/1.78 จากรุ่นเดิม 12 ล้านพิกเซล f/1.5
- เซนเซอร์ 48 ล้านพิกเซล จะจับกลุ่มแบบ Quad Pixel 2×2 ทำให้ถ่ายได้รูป 12 ล้านเหมือนเดิม
- OIS รุ่นที่ 2 พร้อมถ่ายที่แสงน้อยได้ดีขึ้น 2 เท่า
- ซูม 2 เท่าได้ จากการครอปภาพ 48 ล้านพิกเซลเซนเซอร์ใหม่ ทำให้ภาพชัด (และเป็นเทคนิคที่ Android ใช้มาหลายปี) ส่วนซูม 3 เท่าเป็นจากเลนส์เหมือนเดิม
- ProRAW ถ่ายที่ 48 ล้านได้
- กล้องมุมกว้างมากตัวใหม่ 12 ล้านพิกเซล f/2.2 ถ่ายแสงน้อยได้ดีขึ้น 3 เท่า และมาโครดีขึ้นด้วย
- แต่กล้องตัวเก่ารูรับแสงกว้างกว่าคือ f/1.8
- แฟลชตัวใหม่ ทำให้สว่างขึ้น และครอบคลุมทุกเลนส์
- มี 4 สีคือ Space Black, Silver, Gold, Deep purple
ราคาเริ่มต้นที่ความจุ 128 GB
- iPhone 14 Pro เริ่มต้น 41,900 บาท จอง 9 ก.ย. เริ่มวางจำหน่าย 16 ก.ย.
- iPhone 14 Pro Max เริ่มต้น 44,900 บาท
- แพงกว่า iPhone 13 Pro เดิม 3000 บาท!
- ความจุสูงสุดที่ 1 TB
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส