พัฒนาการของอินเทอร์เน็ตตั้งแต่อดีตยุค 2G ที่ใช้เฉพาะการส่งข้อความ / เสียง จนกลายเป็นยุค 3G ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ แต่ก็ไม่เร็วอะไรนัก ซึ่งพอมาเป็นปัจจุบันที่การใช้งานอินเทอร์เน็ตยุค 4G ก็เรียกได้ว่ามีึความรวดเร็ว และเสถียรสูงมาก ๆ จนกลายเป็นเทคโนโลยีที่มนุษย์ไม่สามารถขาดได้แล้ว แต่ว่าทาง Huawei ยังไม่หยุดเพียงแค่นี้ ซึ่งงานนี้ทาง Huawei ก็ได้มีการจัดงาน Huawei MBB Forum 2017 ใน Theme “Mobile Reshapes The World” เมื่อโลกถูกเปลี่ยนด้วยมือถือ จะมีอะไรพัฒนาขึ้นบ้าง ดูน่าสนใจทีเดียวครับ

โดย Huawei ก็ได้เปิดเผยเทคโนโลยีล่าสุดที่กำลังถูกพัฒนาขึ้นในยุค 5G ที่ไม่เพียงแค่ในด้านของความเร็วอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น เสถียรขึ้นกว่าเดิม แต่ยังมีในส่วนของการรวบรวมเอาเทคโนโลยีการเชื่อมต่อทั้งหมดเข้ามาไว้ด้วยกันบน Bandwidth ใหม่ที่มีความกว้างมากกว่าเดิมแบบเทียบกับของเก่าไม่ได้โดยทีมพัฒนาเทคโนโลยีหัวเว่ย Wireless X Labs พร้อมจับมือกับบริษัททางด้าน Telecom ยักษ์ใหญ่ทั่วโลกที่เข้ามาร่วมลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งเสริม 5G ให้ก้าวไปสู่ยุคถัดไปที่

เทคโนโลยี 5G จะสามารถครอบคลุมที่ความสูงถึง 300 เมตร ความหน่วงจะอยู่ที่ไม่เกิน 20ms และมี Bandwidth ที่ใหญ่มาก ๆ ระดับ 20Gbps เลยทีเดียว

ซึ่งเทคโนโลยีตัวนี้จะเริ่มมีการใช้งานอย่างจริงจังภายในปี 2020 และทาง Huawei ได้กล่าวว่าเทคโนโลยีตัวนี้จะคงอยู่ไปได้ถึง 10 ปีเต็ม โดยจะมี 3 ปัจจัยหลักสำคัญของเทคโนโลยีนื้คือ

Efficient Management by Network Intelligent

ระบบการจัดการ Network ที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมดโดยจะนำเอาเทคโนโลยี A.I. มาช่วยในการจัดการ Internet ว่า เวลาใครอยู่ใกล้เสาไหน ระบบก็จะตัดและส่งการเชื่อมต่อให้กับเสาถัดไปทันที ตัดปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบไม่เสถียรไปเลย

Powerful Capability by 5G Era SingleRAN

พลังในการส่งของสัญญาณอินเทอร์เน็ต 5G ที่กว้างมาก ๆ ซึ่งความเร็วในปัจจุบันที่สามารถทดสอบได้คือ 20Gbps บน Latency ที่ต่ำกว่า 20ms ส่งผลให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตยุคใหม่จะตัดปัญหาว่า เน็ตช้า เน็ตกากไปเลย โดยเฉพาะเทคโนโลยีอย่าง FDD Massive MIMO ที่จะช่วยให้การเชื่อมต่อเครือข่ายเป็นจำนวนมากในที่แคบ ๆ เป็นไปได้อย่างลื่นไหล แม้แต่ในมหกรรมกีฬาต่าง ๆ ที่มีผู้คนจำนวนมากอยู่ในที่แคบ ๆ ก็จะสามารถจัดการเครือข่ายได้อย่างสบาย ๆ

Agile Architecture by Mobile Cloud

เมื่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในยุคถัดไปจะมีราคาที่ถูกลงกว่าเดิม เร็วขึ้นกว่าเดิม และเสถียรกว่าเดิม จึงเริ่มมีการนำเอาเทคโนโลยีอย่าง Mobile Cloud มาใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ โดยนำเอา Big Data มาร่วมกับ A.I. ในการจัดการข้อมูลและควบคุมดูแลไปจนถึง และส่งไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น IoT ที่ควบคุมดูแลวัวเพื่อเพิ่มผลผลิต หรือ Drone ที่สามารถตรวจจับใบหน้าได้ อุปกรณ์สำหรับช่วยบอกวัตถุหรือบุคคลด้านหน้าสำหรับคนตาบอด เป็นต้น ทำให้การใช้ชีวิตของคนยุคถัดไปดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน

ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้เขาไม่ได้ทำมาเป็นเพียงทฤษฎีเพียงอย่างเดียว แต่เขาได้มีตัวต้นแบบของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมาทดสอบให้ดูในงานนี้กันด้วย เชื่อว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะมา Disruption เทคโนโลยีเก่า ๆ อย่างแน่นอน

เรื่องโดน ๆ ของ Drone ยุค 5G

อีกหนึ่งการพัฒนาของเทคโนโลยี 5G ที่จะมาส่งผลนั้นคือ โดรน หรือยานพาหนะไร้คนขับที่เรารู้จักกันดีว่า ทำได้แค่เพียงถ่ายภาพวีดิโอโดยใช้การบังคับด้วย Remote Control หรือการบังคับสั่งการผ่านมือถือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งในอนาคตที่ 5G เข้ามา ทาง Huawei ก็ได้มีบูธแสดงเทคโนโลยีโดรนในอนาคตที่จะมีส่วนสำคัญในการเชื่อมต่อเข้ากับ 5G เป็นอย่างมาก ทำให้เกิดเทคโนโลยีที่เอามาควบคุม Drone ในรูปแบบต่าง ๆ ในรูปแบบของ A.I. Drone อย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรกในปี 2020 ทีี่จะถึงนี้

โดรนตรวจสอบบุคคล (Surveillance Drone) ที่มาพร้อมระบบควบคุมอัตโนมัติกับแท่น Wireless Charger และสุดท้ายคือโดรนขนส่งบุคคลหรือ (Taxi Drone) อีก 1 อนาคตวงการขนส่งมวลชนที่จะกลายมาเป็นรูปแบบ 3D แทนการเคลื่อนที่ในแนวระนาบเหมือนเช่นทุกครั้ง

รถยนตร์บังคับ กลายเป็นจริงแล้วในยุค 5G

อีก 1 เทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในยุค 5G ใหม่ ซึ่งเกิดจากความหน่วงเวลาที่ลดลงมาก ๆ จนคนสามารถบังคับรถยนตร์ผ่านระบบ internet ได้ ซึ่งงานนี้ไม่เพียงแค่ทำให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ แต่จะทำให้เกิด Productivity ที่สูงกว่าเดิมมาก ๆ เช่นคนขับรถขนส่งสินค้าก็ไม่ต้องติดไปกับรถด้วย ทำให้การขนส่งทำได้รวดเร็วกว่าเดิม หรืออย่างคนขับ Taxi ก็ไม่ต้องนั่งอยู่ในแท็กซี่ สามารถขับรถในที่ ๆ ทางบริษัทจัดเตรียมเอาไว้ ก็ทำให้การควบคุมดูแลผู้ขับขี่ก็ง่ายขึ้นเช่นกัน

เทคโนโลยีการตรวจจับวัตถุและบุคคลเพื่อคนตาบอด

อีก 1 นวัตกรรมที่เกิดขึ้นได้เมื่อมี Internet 5G ที่ใช้ในการรับ – ส่งข้อมูลขนาดใหญ่กลับไปยัง Server กลางได้แทนที่จะต้องพกเครื่อง PC ขนาดใหญ่ในการประมวลผล และมีระบบ A.I. ที่ชาญฉลาดในการตรวจจับหน้าตา – วัตถุต่าง ๆ บนกล้องความละเอียดสูง ทำให้เกิดเป็นอุปกรณ์พิเศษที่ช่วยในการส่งคำสั่งเสียงกลับมายังผู้ใช้งานว่า จะมีสิ่งของ – บุคคล อยู่ข้างหน้า ซึ่งสามารถตรวจจับได้ละเอียดว่า สิ่งถือได้ว่าเทคโนโลยีนี้จะมาช่วยเหลือผู้พิการทางด้านสายตาได้ดีจนเสมือนกับเขาได้ดวงตากลับมาเลยก็ว่าได้

เทคโนโลยี AR และ VR ที่ราคาถูกลงกว่าเดิมและดียิ่งกว่าที่เคยมีมา

การพัฒนาในส่วนของเทคโนโลยี VR และ AR ที่เรารู้กันดีว่าจะต้องมี Cost ที่สูงในการเป็นเจ้าของ เช่น HTC Vive ที่จะต้องมี PC หรือ Gaming Notebook ที่สเปคสูงมาก ๆ ทำให้ต้นทุนในการใช้งานนั้นสูง และไม่มีความสะดวกในการเล่นตามสถานที่ข้างนอก แต่ถ้าใช้อินเทอร์เน็ต 5G นั้นจะมีความสามารถในการรับ – ส่งข้อมูลที่สูงมาก ๆ และรวดเร็วจนสามารถส่งข้อมูลระดับ Gbps ไป – กลับแว่นตาผ่านทางตัวรับ – ส่งได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ทำให้เกิดอาการหน่วงเพราะความเร็วในการส่งข้อมูล Response Rate สูงถึง 20ms เลยทีเดียว

โดยในงานมีทดสอบโดยการให้เรารับลูกบอลของจริงระหว่างใส่แว่น VR โดยมีตัว Tracker ติดอยู่ที่บอล ซึ่งบอกได้เลยว่าภาพใน VR นี่ส่งมาช่วงเวลาแทบจะใกล้เคียงของจริงแบบสุด ๆ ถ้าใครเก่ง ๆ ก็สามารถรับบอลได้แบบสบาย ๆ เลย

เทคโนโลยี 5G นี้จะเข้ามามีบทบาทในทุกภาคส่วนตั้งแต่การทำงาน อุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงส่วนของความบันเทิงอย่างเทคโนโลยี AR VR ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะกลายเป็นจริงอย่างแน่นอนภายในปี 2020 หรืออีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้แล้ว แล้วคุณเตรียมตัวหรือยัง?