เรียกได้ว่าเป็นอีก 1 ความเข็ดขยาดของคนปัจจุบันที่ต้องคอยกินยาตามหมอสั่ง ซึ่งหลาย ๆ ครั้งก็มีปริมาณที่มากมายมหาศาล กินเท่าไหร่ก็ไม่หมด ยิ่งเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ ยิ่งลำบาก วันนี้เขามีเทคโนโลยีตัวใหม่ที่จะทำให้การทานยา ง่ายขึ้นเยอะ!
โครงการ 3D Printing ยา
ที่มาที่ไปเกิดจาก Profressor Abdul Basit และ Prof. Simon Gaisford ที่จุดประกายเทคโนโลยีด้าน 3D Printing ด้านเภสัชกรรม ที่มีความยืดหยุ่นแตกต่างจากการผลิตยายุคปัจจุบัน ที่มีขนาดตายตัว
แต่การทำ 3D Printing นั้นจะสามารถสร้างตัวยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยนั้น ๆ เลย ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพดีขึ้น
โดยต้องใช้การพัฒนาตำรับเฉพาะเพื่อปริ้นต์ออกมา โดยควบคุมความไวในการผลิตได้ และสามารถปรับรูปร่างได้ตามใจ
มีขั้นตอนคือ
- ออกแบบเม็ดยา
- มีเส้นยา 2 เส้นที่จะนำเอาตัวยามาทำการปริ๊นต์ด้วยเทคนิกพิเศษ
- สั่งพิมพ์ด้วยหัวพิมพ์ที่มีความร้อน ทำให้ขึ้นรูปร่างได้ตามที่ออกแบบไว้
- สามารถรวมเอายาหลากหลายชนิดเข้าไว้ด้วยกันได้
- หลังจากพิมพ์ออกมาแล้ว ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพของเม็ดยาว่าตรงกับปริมาณยาที่กำหนดไว้ ศึกษา ทดสอบการละลายของเม็ดยาว่าเป็นไปตามความต้องการหรือไม่
โดยคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในปี พ.ศ. 2564 ทำให้ทุกภาคส่วนต้องเตรียมความพร้อมตรงนี้ และการพิมพ์ยา 3D Printing ก็เป็นอีก 1 วิธีที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีความสุขกับการทานยามากขึ้นอย่างแน่นอน