Sony A9G คือทีวี OLED ตัวท็อปของปีนี้ เป็น #ทีวีตัวจบ และหนุ่ย พงศ์สุขจะเล่าให้ฟังว่าตัวจบของโซนี่มีเทคโนโลยีอะไรเด่นบ้าง และมีจุดสังเกตอะไรที่น่าคิดก่อนซื้อรุ่นนี้ครับ #beartai
Sony A9G OLED
ทีวี Sony Bravia นั้นมีเทคโนโลยีเฉพาะตัวหลายอย่าง และ Sony A9G Master Series คือตัวท็อปประจำปี 2019 ทึ่รวมดาวเทคโนโลยีภาพและเสียงตัวเด็ดๆ รวมอยู่ในเครื่องเดียว! เป็นตัวจบประจำปีนี้เลย โดยความหมายของ Master Series นอกจากจะเป็นทีวีสำหรับผู้บริโภคที่มีเทคโนโลยีสูงสุดของโซนี่แล้ว ยังเป็นทีวีที่ได้รับการปรับแต่ง จูนสี ทีละจออย่างดีมาจากโรงงานให้สมศักดิ์ศรีความเป็นตัว Top ของแบรนด์ Sony ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ผลิตทีวีมานาน และในปี 2019 ตัวท็อปของฝั่งทีวี OLED คือ Sony A9G ตัวนี้ ซึ่งรหัส G ก็หมายถึงทีวีปี 2019 นะ ส่วนถ้าเจอรหัส F ก็เป็นทีวีรุ่นปี 2018 นั้นเอง
หน้าจอ OLED
เรื่องแรกเลยเราต้องพูดถึงเรื่องเทคโนโลยีหน้าจอ OLED ของ Sony A9G กันก่อน รุ่นที่รีวิวนี้เป็นจอขนาด 65 นิ้ว ซึ่งธรรมชาติของจอ OLED ก็ให้สีสันสดใส สีดำมืดสนิท ทำให้ Contrast ของภาพสูง แสดงผลได้สวยงาม แถมยังรองรับมาตรฐาน HDR10 และ Dolby Vision อีกด้วย
Chipset ประมวลผล
Sony A9G มาพร้อมชิปประมวลผล X1 Ultimate ซึ่งเป็นรุ่นสูงสุดของโซนี่ตอนนี้ ทำให้มีการประมวลผลภาพหลายอย่างเพื่อปรับปรุงคุณภาพภาพให้ดีขึ้น เช่น Pixel Contrast Booster เพื่อช่วยปรับ Contrast ของแต่ละพิกเซลให้ชัดขึ้นไปอีก หรือกระบวนการ Upscale ภาพที่ซับซ้อน จนสามารถให้ภาพ Full HD ยังดูคมชัดบนจอ 4K ตัวนี้ และสำหรับคนที่รักในภาพเคลื่อนไหวนุ่มทั้งหลายก็ยังมีฟังก์ชั่น Motionflow ให้ปรับได้ ซึ่งในโหมดภาพ standard ของทีวีจะมีการปรับภาพให้เคลื่อนไหวนุ่มมาเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ชอบก็สามารถปิดได้ใน Advenced Settings ครับ
Netflix แนะนำ
จุดเด่นหนึ่งที่น่าสนใจคือ ทีวี Sony A9G เป็นหนึ่งในทีวีที่ Netflix แนะนำ ได้ตรา Netflix Recommended TV 2019 ด้วย จึงการันตีว่าจะใช้งานกับ Netflix ได้เต็มประสิทธิภาพ แสดงภาพได้สูงสุดในระดับ Dolby Vision และให้เสียงทรงพลังเมื่อต่อลำโพงนอกที่รองรับ Dolby Atmos และสิ่งที่เด็ดที่สุดคือโหมด Netflix Calibrated Mode ที่ทีวีจะจูนภาพอัตโนมัติตามสูตรภาพที่ Netflix คิดมาให้แล้วในเนื้อหาแต่ละเรื่อง ทำให้เราเห็นภาพตามที่ผู้กำกับอยากได้จริง ๆ ไม่ต้องมาสลับโหมดภาพด้วยตัวเอง ซึ่งจะไม่ได้อย่างที่ผู้กำกับต้องการอย่างแน่นอน
เรื่องเสียง
ทีวี OLED ตัวนี้มาพร้อมเอกสิทธิ์เทคโนโลยีเสียงเฉพาะของ Sony เรียกว่า Acoustic Surface Audio+ ที่ใช้การสั่นของหน้าจอเพื่อให้เกิดเสียงออกมา ทำให้เสียงเหมือนออกมาจากภาพจริง ๆ ไม่ใช่ออกมาจากตำแหน่งของดอกลำโพงเหมือนทีวีทั่วไป ซึ่งใน Sony A9G นี้มีตัว actuators เพื่อสั่นจอให้เกิดเสียงอยู่ 2 ตัว และมี SubWoofer อีก 2 ตัวเพื่อให้เสียงทุ้มต่ำซึ่งคุณภาพเสียงจาก Sony A9G ก็บอกได้ว่าดีกว่าลำโพงทีวีทั่วไป ให้คือเสียงสดใส เสียงพูดชัดเจน มีเบสพอประมาณ เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป
แต่สำหรับคนที่อยากได้มิติของเสียงมากกว่านี้ ต้องการเสียง Surround รอบทิศทาง หรือต้องการเสียงที่ละเอียดมาก ๆ เบสบึ้ม ๆ ก็แนะนำให้ใช้ Soundbar หรือชุด home Theater จะตรงจุดกว่า
ดีไซน์, รูปลักษณ์
ดีไซน์ของ Sony A9G นั้นเปลี่ยนไปเยอะจาก A9F รุ่นปีที่แล้ว ซึ่งจากเดิมที่เป็นดีไซน์แบบมีขายันด้านหลัง ก็กลายเป็นใช้ขาตั้งแบบวางเครื่องตั้งฉากกับพื้นโต๊ะเหมือนตระกูล A8G แทน ซึ่งก็มีข้อดีทำให้กินพื้นที่วางเครื่องน้อยลง แถมยังได้ดีไซน์ที่เรียบหรูเหมือนเดิมเพราะตัวขาตั้งนั้นบางมากจนแทบจะมองไม่เห็นเมื่อนั่งดูทีวีจากโซฟา ขอบเครื่องก็บางเพราะไม่ต้องใส่ดอกลำโพงแล้ว ทำให้เวลาดูทีวีก็จะมีแต่ภาพจากทีวีเท่านั้นที่เด่นออกมา ไม่รู้สึกว่ามีกรอบจอหรือขาตั้งมากวน
ส่วนด้านหลังก็มีพลาสติกปิดช่องต่อต่างๆ พร้อมซ่อนสาย ให้ดูสวยงาม ไม่รก ซึ่งเมื่อเปิดออกมาก็จะเห็นช่องต่อครบถ้วน ทั้ง HDMI 4 ช่อง ซึ่งมีช่องหนึ่งที่เป็น eARC หรือ Enhanced Audio Return Channel ช่องต่อรุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาจาก ARC เดิม ทำให้ส่งข้อมูลเสียงได้มากขึ้น สามารถส่งสัญญาณ Dolby Atmos ไปยัง Soundbar ได้ ซึ่งช่องต่อ ARC แบบเดิมทำไม่ได้
พอร์ตเชื่อมต่อ
นอกจากนี้ก็มี USB 3 ช่อง โดยเป็น USB 3.0 จำนวน 1 ช่อง ช่องต่อสายอากาศทีวีดิจิทัล, ช่องเสียบสายแลน, ช่องสัญญาณเสียง Optical, ช่องต่อหูฟัง, ช่อง Video In และด้านบนนี้จะช่องรับสัญญาณเสียงเข้าอีกชุดหนึ่งเขียนว่า Center Speaker คือรับสัญญาณเสียงจากชุด Home theater มาเข้าทีวีให้ทีวีกลายเป็นลำโพงกลางไปเลย
ระบบปฎิบัติการ
Sony Bravia ใช้ระบบปฏิบัติการ Android TV มาหลายปีแล้วนะครับ ซึ่งใน Sony A9G ก็เป็น Android TV 8.0 ที่มาพร้อมความสามารถสุดเจ๋งคือ สามารถสั่งงานด้วยเสียงได้ละเอียดยิ่งขึ้นเช่นจะสั่งให้เพิ่ม/ลดเสียงในระดับที่ต้องการ หรือแม้แต่สั่งเปิดคลิปบน Channel ที่เราต้องการก็ได้เช่น “Hey Google, play video from beartai” ก็เล่นวิดีโอที่มาจาก Channel ได้ เป็นต้น
พอเป็น Android TV 8 หน้าโฮมก็เปลี่ยนใหม่ให้เข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้นด้วยการดีไซน์แบบบาร์ บาร์ด้านบนเป็นรายการแอปที่ใช้บ่อย ก็เลือกเอาไอคอนที่ใช้ประจำมาวางได้ แอปพวก Netflix, iflix, HOOQ, BUGABOO inter, Mono Max, Spotify นี่มีหมด จะซื้อหนังใหม่ชนแผ่นก็มี Google Play Movie ให้เลือกซื้อ พูดง่ายๆ คือแอปความบันเทิงที่ใช้ได้ในไทยมีให้เลือกชมเยอะมาก
โดยทีวีมีไมโครโฟน 2 ตัวติดมาเลยที่หน้าเครื่อง บริเวณโลโก้ Sony ด้านหน้านี้ ทำให้สามารถรับคำสั่งเสียงได้ตลอดเวลา สั่ง Hey Google กันได้ทั่วห้อง ซึ่งด้านหน้าตรงนี้จะมีไฟสีส้มๆ ติดเพื่อบอกว่าไมโครโฟนกำลังทำงานอยู่ แต่ใครที่ไม่ชอบให้มีไมค์มาฟังเสียงตลอดก็สามารถปิดฟังก์ชั่นนี้ได้ และใครที่อยากพูดกระซิบๆ ไม่อยากตะโกนใส่หน้าทีวี ก็ยังส่งเสียงผ่านรีโมทได้เหมือนเดิมนะ
และทีเด็ดของ Android TV อีกอย่างคือ Chromecast ในตัว เราสามารถยิงภาพจากแอปที่รองรับ เช่น ดูหนังหรือทีวีสดผ่านอินเทอร์เน็ตจาก AIS Play หรือดูละครไทยจาก LINE TV หรืออีกตัวที่คนไม่ค่อยรู้คือ Google Photos นี่ก็แชร์ภาพหรือวิดีโอจากที่เราถ่ายมาจากมือถือของเราขึ้นจอแบบไร้สายผ่าน Chromecast ได้ง่ายๆ นะ
แถมในอนาคตอันใกล้ Sony A9G นั้นจะสามารถรองรับทั้ง AirPlay 2 เพื่อส่งภาพจาก iPhone และ Mac ขึ้นจอแบบไร้สายได้ และมี iTunes Store เพื่อซื้อหนังใหม่ชนแผ่นได้อีกด้วย
Remote Control
ตัวรีโมตของ Sony A9G ก็เป็นดีไซน์ใหม่ เป็นดีไซน์เมทัลลิคแล้ว ปุ่มในรีโมทก็ลดลงเหลือแต่ปุ่มที่ต้องใช้จริงๆ แถมยังผอมลง จับง่ายขึ้นด้วย อีกทั้งรีโมตยังเชื่อมต่อกับทีวีด้วยระบบ Bluetooth ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมาชี้ไปที่ทีวีเพื่อกดรีโมตอีกต่อไป
ข้อสังเกต
- ข้อสังเกตเดิมของดีไซน์ทีวีที่ตัวจอวางติดกับพื้นโต๊ะไปเลย ทำให้คนที่ต้องการใช้ Soundbar เพิ่มเติมต้องวางแผนมากหน่อย เพราะถ้าวางไปตรงๆ ด้านหน้า ลำโพงก็จะบังทีวี ถ้าโต๊ะวางทีวีมีที่วาง 2 ชั้นก็สามารถวาง Soundbar ด้านล่างได้ หรือไม่ก็ต้องแขวงทีวีไว้กับผนังแทน เพื่อให้วาง Soundbar ได้นั่นเอง
ราคา
ปิดท้ายด้วยราคาของ Sony A9G Master Series ขนาด 65 นิ้ว เปิดตัวมาที่ราคา 129,990 บาท และรุ่นขนาด 55 นิ้วก็มีราคาเปิดตัวที่ 99,990 บาท ซึ่งถูกกว่าราคาเปิดตัวของ A9F ในปีที่แล้ว ถือได้ว่ารุ่นนี้เป็นทีวีตัวจบจริง ๆ ของโซนี่ บนจอ OLED ที่จะหารุ่นสูงกว่านี้ภายในปี 2019 ไม่มีอีกแล้ว เจอกันอีกทีปี 2020 เลย!