เมื่อปีก่อนแบไต๋เราได้รีวิว Vivo NEX สมาร์ตโฟนระดับสูงสุดของวีโว่ และเป็นมือถือรุ่นแรกของโลกที่มีกล้อง Pop-up แต่ก็น่าเสียดายที่ NEX รุ่นแรกตัวนี้ไม่ได้วางขายในไทยอย่างเป็นทางการ ปีนี้ Vivo กลับมาใหม่ด้วย Vivo NEX3 เรือธงรุ่นล่าสุดที่วางขายในไทยแน่นอน กับความท้าทายในการออกแบบใหม่ๆ

ดีไซน์

ดีไซน์ของ Vivo NEX3 นั้นสะดุดตาและแตกต่างจากสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นๆ ในยุคที่มือถือแข่งกันทำจอให้ใหญ่ปกคลุมพื้นที่ด้านหน้ามากครับ ด้วยหน้าจอแบบ Waterfall Fullview Display ถามว่ามันเป็น Waterfall หรือน้ำตกตรงไหน ก็ตรงขอบด้านข้างของจอนี้ครับที่โค้งลงไปหนักมากแบบเดียวกันหน้าผาที่มีน้ำตกลงไปเลย จึงทำให้หน้าจอนี้ให้พื้นที่แสดงผลสูงถึง 99.6% ของพื้นที่ด้านหน้า เพราะเอากล้องหน้าไปซ่อนไว้ในตัวเครื่องด้วย ก็จะเหลือแค่ขอบบางๆ ด้านล่างและด้านบนที่เอาไว้ใส่ลำโพงแนบหูบางๆ เท่านั้นเอง และเซนเซอร์อ่านลายนิ้วมือก็อยู่ในหน้าจอตัวนี้ครับ ทำงานได้รวดเร็วมากจริงๆ เราไม่เคยรำคาญกับการสแกนนิ้วเลย ซึ่งเจ้าขอบจอ Waterfall นี้มีลูกเล่นพิเศษเป็นไฟ Ambient Light ที่เมื่อเวลาสายเรียกเข้า หรือมีโนติเข้ามา ก็จะมีไฟมาเต้นๆ อยู่ที่ขอบจอนี้ และที่เก๋สุดคือเวลาเปิดเพลงแล้วปิดจอ ก็จะมีไฟเต้นตามเพลงสวยๆ ประมาณ 2 นาที ก่อนที่จะเข้าโหมดพักจริงๆ เพื่อประหยัดแบตเตอรี่

ส่วนดีไซน์ฝาหลังนั้นก็ซ่อนรายละเอียดไว้เยอะครับ ฝาหลังสีดำนี้มีชื่อสีว่า Glowing Night ก็ถ้าดูดีๆ จะมี Texture ซ่อนอยู่ด้วย ตัวกล้องก็มีดีไซน์เป็นวงกลมเรียกว่า Lunar Ring Camera System ที่มีลายเส้นขีดๆ เรียงกันเป็นวงกลม และถ้าส่องดูดีๆ จะเห็นคำว่า 64 M หรือกล้อง 64 ล้านพิกเซลซ่อนเอาไว้ด้วย โอ้ย มีลูกเล่นในงานออกแบบจริงๆ

หน้าจอ POLED

หน้าจอ POLED (Plastic OLED) แบบ Full HD+ ของ Vivo NEX3 นั้นมีขนาดใหญ่ถึง 6.89 นิ้วนะครับ ถือว่าเป็นมือถือที่จอใหญ่มาก แต่ขนาดตัวเครื่องก็ไม่ได้ใหญ่มากนักเพราะขอบจอเครื่องบางสุดๆ และหน้าจอมีการพับลงไปทั้ง 2 ข้างแบบ Waterfall แถมสัดส่วนหน้าจอก็เป็น 19:9 ก็ทำให้ยังจับเครื่องได้ถนัดมืออยู่ดี แต่เชื่อผมเถอะว่าถือ Vivo NEX3 ไปใช้งานที่ไหนก็จะมีแต่คนทัก เพราะหน้าจอมันสวยเด่นแตกต่างจากรุ่นอื่นจริงๆ ภาพในจอก็สดใสแถมมีขอบจอเรืองแสงอีก

ปุ่ม Touch Sense

แค่หน้าจอก็แตกต่างขนาดนี้แล้ว ตัวเครื่องของ Vivo NEX3 ก็ไม่ใช่ย่อยครับ มีการใช้แนวทางการออกแบบใหม่ๆ ที่กล้าหาญไม่น้อย นี่น่าจะเป็นมือถือรุ่นแรกๆ ของโลกที่เครื่องไม่มีปุ่มจริงๆ ให้กดเลย แต่เป็นปุ่มสัมผัส Touch Sense ทั้งหมดครับ ทำให้ตัวเครื่องให้ความรู้สึก Solid มากๆ ไม่มีปุ่มให้กดยุบเลยสักปุ่ม ซึ่งฝาหลังนี้ทำด้วยกระจก Gorilla Glass 6 แข็งแรง ทนทานแน่นอน  เราก็สามารถปลดล็อกเครื่องได้โดยกดเข้าไปที่รอยบากตรงขอบเครื่องด้านขวา ส่วนถ้าจะเร่งเสียงก็กดเข้าไปที่ด้านบนของรอยบากนี้ และถ้าจะลดเสียงก็กดด้านล่างของรอยบาก หรือถ้าไม่อยากกดก็สามารถปัดขอบเครื่องให้บาร์ระดับเสียงออกมาลากปรับได้ เวลากดเข้าไปเครื่องจะสั่นเลียนแบบการกดจริงให้เรารู้ว่ากดแล้วนะ ซึ่งมอเตอร์การสั่นตัวนี้ต้องบอกว่า Vivo NEX3 ใช้ของดีเลย มันเป็นมอเตอร์ Haptic ที่สั่นกระชับ ไม่ได้สั่นย้วยๆ เหมือนมอเตอร์ราคาถูก ก็ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ น่าใช้ครับ

ส่วนถ้าจะบันทึกหน้าจอก็กดปุ่มล็อกจอกับปุ่มลดระดับเสียงตามปกตินี้แหละครับ แต่ก็มีทางลัดในการแคปหน้าจอที่ง่ายกว่านั้นคือใช้ 3 นิ้วลากขึ้นไปบนหน้าจอแบบนี้

การชาร์จ

ส่วนด้านล่างเครื่องก็เป็นพอร์ต USB-C สำหรับเสียบชาร์จ ซึ่งในชุดจะมาพร้อมหัวชาร์จความเร็วสูง 22.5 Watt ชาร์จแบตความจุ 4500 mAh น่าจะไม่นาน แต่เราบอกไม่ได้เพราะเราไม่ได้หัวชาร์จมาด้วย ส่วนอายุการใช้งานแบตเตอรี่นั้นใช้งานได้เกินวันสบายๆ

และเท่าที่เราเทสต์มา ช่องนี้เสียบชาร์จได้อย่างเดียว เสียบหูฟังแบบ USB-C หรือเสียบฮับ ต่อภาพออกจอผ่าน HDMI นั้นทำไม่ได้เลย ซึ่งก็อาจจะมีการอัปเดตซอฟต์แวร์แก้ไขในอนาคตครับ นอกจากนี้ก็ยังมีช่องลำโพงอยู่ด้านล่างของเครื่องแค่ฝั่งเดียวนะครับ ไม่ใช่ลำโพงสเตอริโอ

หูฟัง 3.5 mm

แต่ทีเด็ดของ Vivo NEX3 นั้นอยู่ที่ช่องหูฟังแบบ 3.5 mm ที่อยู่ด้านบน ซึ่งเรือธงของ Vivo ไม่เคยทำให้ผิดหวังในการเป็นมือถือ Hi-Fi โดยใช้ชิป DAC พิเศษของ Asahi Kasei ในรหัส AK4377A เพื่อแปลงสัญญาณจากเสียงดิจิตอลให้เป็นสัญญาณอนาล็อกส่งผ่านออกมาที่หูฟัง ซึ่งถ้าฟังเพลงโดยเสียบหูฟังจากช่อง 3.5 mm นี้แล้วเปิดโหมด Hi-Fi จะได้ยินความแตกต่างของเสียงเพลงทันที เพลงธรรมดาที่เคยฟังอยู่ทุกวันจะกลายเป็นมีมิติ มีมวลมากขึ้น เบสมาเป็นลูกๆ แบบกระชับ แบบที่หาไม่ได้จากเอฟเฟกเสียงทั่วไป เพราะนี่คือฮาร์ดแวร์ที่คืนคุณภาพให้เสียงเพลงกลับมา แต่ข้อจำกัดของการฟังเพลงเพราะแบบนี้ก็อยู่ตรงที่ต้องฟังผ่านช่อง 3.5 mm นี่เท่านั้นนะ ถ้าฟังผ่าน Bluetooth ระบบ Hi-Fi ก็จะไม่ทำงาน

กล้อง 3 ตัว

มาเจาะลึกกันที่เรื่องกล้องของ Vivo NEX3 กันบ้างดีกว่าครับ กล้องหลังนั้นประกอบไปด้วยเลนส์ 3 ตัว เลนส์ตัวใหญ่นี้คือเลนส์หลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล f/1.8 แต่การถ่ายปกติจะรวม 4 พิกเซลเป็น 1 จึงถ่ายได้ภาพความละเอียด 16 ล้านพิกเซล แต่ก็มีโหมดที่ทำให้ถ่าย 64 ล้านพิกเซลได้ด้วย ส่วนเลนส์อีกตัวทางด้านล่างนี้คือเลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล f/2.2 และเลนส์ด้านบนคือเลนส์ที่สนับสนุนการซูมครับ ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล f/2.48  ซึ่งกล้องหลังชุดนี้ก็ให้ภาพที่สวยงามในแทบทุกสถานการณ์ ยกมาถ่ายแบบไม่ต้องปรับแต่งอะไร ก็ให้ภาพที่สวยงาม โดยเฉพาะการถ่าย Portrait ที่ออกมาสวยงามดูดี ซึ่งเราได้ชวนน้องนาวลิ้มจาก CM cafe มาทดสอบประสิทธิภาพของกล้องตัวนี้ให้ดู ก็ได้ภาพที่สีสันสดใส เก็บรายละเอียดต่างๆ ของใบหน้า เส้นผม หรือผิวได้ดี ส่วนการถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยก็ทำได้สวยงามดี พร้อม Night Mode ที่ช่วยให้ถ่ายกลางคืนได้สว่างขึ้น

ในส่วนของการถ่ายวิดีโอ 4K ก็สามารถป้องกันภาพสั่นไหวได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งก็ดูเนียนตา ไม่สั่นไหวจนมากเกินไป แต่ก็ยังสู้กับสมาร์ตโฟนที่เน้นเรื่องระบบป้องกันภาพสั่นไหวจริงๆ ไม่ได้กล้องหน้าแบบ Pop-up ของ Vivo NEX3 นั้นมีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/2.09 พร้อมไฟแฟลช ก็น่าจะเป็นกล้องที่คุณสาวๆ ชอบได้ เพราะถ่าย Selfies ได้คมชัดดูดีมากๆ ซึ่งก็สามารถเลือกระดับการแต่งสวยได้ถูกใจความชอบของแต่ละคน

สเปกเครื่อง

มาพูดถึงสเปกเครื่องกันบ้าง Vivo NEX3 ใช้ CPU ตัวท็อปของท็อปคือ Snapdragon 855 + พร้อมแรม 8 GB และความจุในเครื่อง 128 GB ซึ่งเป็นหน่วยความจำแบบ UFS 3.0 ด้วย ซึ่งเราก็ทดสอบโดยการเล่นเกมที่ภาพสวยที่สุดอย่าง Shadowdgun Legends ก็ให้ภาพได้ลื่นไหลดีในโหมดคุณภาพภาพแบบ Auto ครับ ระหว่างเล่นเกมก็มีเอฟเฟกสั่นตามเหตุการณ์จากตัว Haptic ให้ได้อินมากขึ้น และตัวเครื่องก็ยังมีระบบระบายความร้อน Vapor Chamber ด้วย ทำให้ประสิทธิภาพเครื่องไม่ตก แม้เล่นเกมไปนานๆ

คะแนน

  • การทดสอบ Geekbench 5 รุ่นล่าสุดที่เพิ่งออก ได้คะแนนแบบ Multicore ไป 2687 คะแนน ก็เป็นคะแนนระดับท็อปของของ Android ตอนนี้
  • 3Dmark ชุด Slingshot Extreme ได้ไปมากกว่า 6,000 คะแนน
  • Antutu 7.2 ได้ไป 380,000 คะแนน และเทสต์ความเร็วในการอ่านต่อเนื่องผ่าน Androbench ได้เกือบ 1.5 GB/s

ข้อสังเกต

Vivo NEX3 นั้นอยู่ที่การออกแบบขอบเครื่องแบบ Waterfall นี่แหละครับ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีโอกาสที่มือจะไปโดนขอบจอจนลั่นได้เหมือนกัน ซึ่งทาง Vivo ก็น่าจะปรับปรุง Funtouch OS 9.1 ที่ครอบทับ Android 9 ตัวนี้เพื่อลดความผิดพลาดในการแตะโดนขอบได้อีกในอนาคต

ราคา

สำหรับรีวิวที่ดีต้องมีราคา แต่#beartaiได้เครื่องนี้มารีวิวก่อนราคาจะออก เอาเป็นว่าจะใส่ราคาไว้ที่แคปชั่นของคลิป เข้ามาคอมเมนต์กันว่า Vivo NEX3 ออกแบบล้ำๆ แบบนี้ กล้องชัดแบบนี้ ประสิทธิภาพแรงขนาดนี้ พร้อมชิปเสียงอย่างเทพ กับราคาที่คุณได้รู้ไปแล้ว มันคุ้มรึเปล่า