OPPO Find X2 5G และ OPPO Find X2 Pro 5G มาอยู่ในมือผมแล้วครับ ผมจะรีวิวให้ดูว่ามันมีเทคโนโลยีขนาดไหน ทำไมออปโป้ถึงกล้าตั้งราคา Find X2 Pro 5G ถึง 40,990 บาท แล้วมันคุ้มไหม มาสรุปกัน!
OPPO Find เป็นมือถือซีรีส์สูงสุดของ OPPO ซึ่งจะอัดเทคโนโลยีล้ำสุดของปีไว้ในตระกูลนี้ครับ และจุดเด่นที่สุดของ OPPO Find X2 Series 5G ทั้ง 2 รุ่นนี้คือหน้าจอที่เรียกว่า Ultra Vision Screen ครับ โดยพื้นฐานเป็นจอ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 3168 x 1440 pixel หรือระดับ QHD+ ให้ความสว่างแบบ Peak Brightness สูงถึง 1200 nit และให้ Contrast 5 ล้าน : 1 แต่จุดที่ทำให้จอนี้แตกต่างจากสมาร์ตโฟนทั่วไปคือการรองรับสีสันแบบ 10 Bit จึงสามารถแสดงผลได้ 1,073 ล้านสี พร้อมรองรับ HDR10+ ซึ่งมากกว่าจอ 8 Bit ทั่วไปที่ให้สีได้ 16.7 ล้านสี ซึ่งจอตัวนี้ก็ได้การรับรองระดับ A+ จาก DisplayMate ผู้เชี่ยวชาญด้านจออีกด้วยครับ
เรื่องจอ
จอของ OPPO Find X2 Series 5G เป็นจอแสดงผล 120 ภาพต่อวินาทีหรือ 120 Hz นะครับ ทำให้แสดงผลภาพได้นุ่มนวลกว่าจอธรรมดาที่แสดงผลเพียง 60 Hz ซึ่งเวลาเลื่อนฟีดเฟซบุ๊ก หรือสลับแอป ก็จะเห็นความนุ่มชัดเจน ซึ่งเทรนด์จอนุ่มนี่ก็เป็นเทรนด์สมาร์ตโฟนแห่งปี 2020 ครับ แถมยังมีโหมด Natural Tone Display เพื่อปรับสีสันของจอให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมภายนอกด้วย ใช้งานจอได้สบายตาตลอด
และความพิเศษอีกอย่างของ Ultra Vision Screen คือชิป O1 Ultra Vision Engine ภายใน ซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ว่า OPPO เคยเป็นผู้ผลิตเครื่องเล่น Blu-ray ชื่อดังที่คอ Home Theater ต้องรู้จัก แม้ว่าตลาด Blu-ray จะชะลอตัวจน OPPO Digital เลิกผลิตเครื่องเล่นไป แต่องค์ความรู้ด้านการปรับปรุงคุณภาพวิดีโอก็ยังอยู่ครับ
O1 Ultra Vision Engine นั้นทำ 2 หน้าที่หลักๆ คือ Motion Clear หรือการเพิ่มเฟรมภาพวิดีโอธรรมดาให้นุ่มนวลขึ้น เหมือนถ่ายมาแบบ High Frame Rate และอีกหน้าที่หนึ่งคือปรับปรุงคุณภาพของวิดีโอให้มีการไล่โทนดีขึ้น สีสันลุ่มลึกขึ้นเหมือนวิดีโอแบบ HDR ครับ สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับ O1 Ultra Vision Engine คือมันไม่ได้ปรับวิดีโอให้นุ่มเวอร์ หรือสีสดเกินจนผิดธรรมชาติ ทำให้เราเปิดใช้ความสามารถนี้อย่างสบายใจครับ OPPO Find X2 Series 5G ใช้ดู Netflix ฟินมาก หรือดูช่องแบไต๋ก็ได้วิดีโอที่นุ่มยังกับเราถ่าย 4K 60 fps มา นี่แค่ซื้อ OPPO Find X2 มาดูสตรีมมิงก็คุ้มแล้ว จริงๆ นะ
ดีไซน์
เริ่มจากหน้าจอที่เป็นขอบโค้งทั้ง 2 ด้านและมีกล้องเจาะรูอยู่ตรงมุมบนซ้ายตรงนี้ก็ให้ภาพที่เต็มตาดี สแกนหน้าได้รวดเร็ว เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือก็อยู่บนหน้าจอ ซึ่งทำงานได้รวดเร็วดีมาก รอบเครื่องของทั้ง 2 รุ่นก็จะมีปุ่มเร่ง-ลดเสียงอยู่ทางซ้าย ปุ่มล็อกเครื่องอยู่ทางขวา มีพอร์ต USB-C ด้านล่างพอร์ตเดียว ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 mm นะครับ ถาดซิมก็ใส่ได้ 2 ซิม รองรับ 5G ทั้งคู่ แต่ใส่ MicroSD เพิ่มความจุไม่ได้ครับ และลำโพงเป็นลำโพงคู่สเตอริโอบน-ล่าง ซึ่งให้เสียงได้ดีเลย เสียงดัง ชัดเจน แยกซ้าย-ขวาได้ชัด เบสมีมาเยอะกว่ามือถือทั่วไป แถมระบบสั่นของเครื่องก็ทำงานดีด้วย สั่นแรง สั่นกระชับ
ส่วนฝาหลังก็มีการโค้งรับกับฝามือ ซึ่งสีที่เราได้มานี้จะเป็น Black ทั้งคู่นะครับ แล้วก็ทำจากเซรามิกจริง ๆ ด้วย แต่จะมีดีไซน์ต่างกันนิดหน่อย เครื่อง 2-Tone ทางนี้คือ OPPO Find X2 5G ครับ ส่วนเครื่องที่เป็นสีเดียวตัวนี้เป็น OPPO Find X2 Pro 5G ซึ่งถ้าดูดี ๆ ภายในสีดำจะมีลวดลายละเอียด ๆ อยู่แถมไม่ใช่ลวดลายที่ฝังอยู่ด้านในนะครับ เอานิ้วลูบก็จะสัมผัสถึงรายละเอียดตรงนี้ได้
นอกจากนี้ตัวโปรก็จะมีสีพิเศษเป็นฝาหลังหนังสีส้ม ที่จะออกตามมาในเดือนเมษายนนี้ครับ ส่วนรุ่น Find X2 5G ธรรมดาก็จะมีอีกสีเป็นสีน้ำเงิน Ocean ที่ทำจากแก้วให้เลือกซื้อ และจุดสะดุดตาที่สุดคือกล้อง ที่ทั้ง 2 รุ่นวางตำแหน่งกล้อง 3 ตัวไว้มุมบนซ้าย ซึ่งรุ่นธรรมดากับรุ่น Pro นี้มีรายละเอียดกล้องไม่เหมือนกันเลยนะครับ เดี๋ยวจะลงรายละเอียดในตอนรีวิวกล้องอีกที แต่จุดที่สัมผัสได้เลยคือความนูนของกล้องที่รุ่น Pro จะนูนออกมาจากตัวเครื่องชัดเจน ทำให้เวลาวางเครื่องบนโต๊ะจะรู้สึกโยกเยกเพราะกล้องดันพื้นโต๊ะอยู่ ถ้าใครไม่ชอบ ก็คงต้องใส่เคสครับ ปัญหานี้จะหายไป
ทดสอบประสิทธิภาพ
จุดที่ OPPO Find X2 5G และ Find X2 Pro 5G เหมือนกันอีกคือความแรงของเครื่องครับ เพราะ OPPO Find x2 Series 5G ทั้ง 2 รุ่นนั้นใช้ซีพียูตัวท็อป Snapdragon 865 5G ทั้งคู่ มีแรมแบบ LPDDR5 ที่ 12 GB เท่ากัน แถมรองรับ 5G ทั้งคู่ด้วย
- Geekbench 5 ได้คะแนนออกมาเท่า ๆ กันที่ 3,300 คะแนน
- 3Dmark ชุด Sling-shot Extreme ก็ได้คะแนนประมาณ 7,000 คะแนน
- Androbench ก็ได้ความเร็วในการอ่านข้อมูลทะลุโลกที่ 1.6 GB/s และเขียนข้อมูลได้ราวๆ 700 MB/s
ซึ่งประสิทธิภาพเครื่องระดับนี้ก็เอาไปเล่นเกมได้ลื่น ๆ เลย อย่างเราทดสอบกับเกมภาพสวย Black Desert Online ก็ชิว ๆ ครับ เล่นได้ลื่นตลอด แถมด้วย Touch Sampling Rate 240 Hz ก็ทำให้การควบคุมในเกมได้ดั่งใจครับ
กล้อง
กล้องหน้า เพราะทั้ง 2 รุ่นจะมีกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล f/2.4 เจาะเป็นช่องบนหน้าจอเหมือนกัน ซึ่งคุณภาพภาพจากกล้องหน้าถือว่าดีมาก ถ่ายทอดสีผิวได้เป็นธรรมชาติ เพียงแต่ว่ากล้องจะเปิดใช้ AI beautification เป็นมาตรฐานทั้งการถ่ายรูปในโหมดปกติและโหมด Portrait ที่ทำหน้าชัดหลังเบลอ ซึ่งใครที่ไม่ชอบหน้าเนียน ก็อย่าลืมไปปิดฟังก์ชันนี้ก่อนนะครับ
- กล้องหลัง 2 รุ่นนี้มีกล้องที่ไม่เหมือนกันเลย เริ่มจาก OPPO Find X2 Pro 5G รุ่นพี่กันก่อนเลย กล้องตัวบนสุด เป็นเลนส์สี่เหลี่ยมแบบนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นเลนส์ Telephoto แบบ Periscope ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล f/3.0 ซูม 5 เท่าครับ
- กล้องกลางเป็นกล้อง Wide Angle 48 ล้านพิกเซล f/2.2 ให้มุมภาพกว้างมาก โดยปกติจะรวม 4 พิกเซลเป็นหนึ่ง ทำให้ได้ภาพ 12 ล้านพิกเซลครับ
- กล้องตัวสุดท้ายเป็นพระเอกของเรากับกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล f/1.7 ที่ถ่ายปกติจะรวม 4 พิกเซลเป็น 1 ทำให้ได้ภาพความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ที่สำคัญคือเซนเซอร์ตัวนี้มีขนาดใหญ่ถึง 1/1.4 นิ้วในรหัส Sony IMX689 ซึ่งมีเทคโนโลยีทำให้โฟกัสเร็ว All Pixel Omni-Directional PDAF ทำให้จับความชัดได้อย่างแม่นยำ ถ่ายรูปแบบ RAW ได้ความลึกของสี 12 bit พร้อม Dual Native ISO หรือวงจรไฟฟ้าแยกพิเศษ 2 เส้นเพื่อให้ถ่าย ISO สูงแล้วมี Noise น้อยลงครับ โอ้ย เซนเซอร์อะไร รายละเอียดเยอะจริง นี่เอาเฉพาะจุดเด่น ๆ มาเล่านะเนี่ย
ภาพที่ได้จาก OPPO Find X2 Pro นั้นแทบจะสวยทันทีที่กดครับ เพราะกล้องมีการปรับปรุงคุณภาพอัตโนมัติจนน่าพอใจ ซึ่งถ้าต้องการให้ภาพถ่ายสีสดขึ้นอีก ก็สามารถเปิดโหมด AI Dazzle Color เพื่อทำให้ภาพสดใสขึ้นได้อีก ซึ่งข้อดีของโหมดนี้คือไม่ได้ไปเร่งสีผิวคนให้สดขึ้นมาด้วย ทำให้ภาพยังดูเป็นธรรมชาติ
ส่วนการถ่ายภาพในโหมด Portrait ทำหน้าชัดหลังเบลอก็ถ่ายทอดสีหน้า สีผิวได้สวยงามครับ เพียงแต่ว่าการตัดหลังเบลอในช่วงผม อาจมีหลุดบ้างครับ นอกจากนี้เมื่อเอากล้องเข้าใกล้วัตถุมาก ๆ กล้องจะปรับเข้าสู่โหมด Marco ซึ่งใช้เลนส์ Ultra Wide ถ่ายอัตโนมัติ ซึ่งสามารถถ่ายวัตถุได้ใกล้สุดในระยะแค่ 3 cm เท่านั้น
การถ่ายภาพกลางคืนก็ทำได้ดีครับ โหมด Ultra Night Mode 3.0 พร้อมเทคโนโลยี Dual Native ISO ช่วยถ่ายภาพกลางคืนให้ได้แสงสียามค่ำคืนที่สวยงาม มี Noise น้อยลงจริง ๆ
การซูมก็เป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ การถ่ายภาพตั้งแต่ช่วงมุมกว้างมากจนถึงซูม 10 เท่าที่เป็น Hybrid Zoom ก็ยังให้ภาพที่ชัดเจนจนหวังผลได้ทุกระยะ เพียงแต่ว่าถ้าซูมต่อไปหลังระยะ 10 เท่าจนถึง 60 เท่าจะกลายเป็นซูมดิจิตอล ซึ่งต้องเข้าใจว่ามันจะไม่คมชัดนะครับ แต่ก็ดูรู้เรื่องอย่างภาพดวงจันทร์ที่เราถ่ายมานี้
การถ่ายวิดีโอ
สามารถถ่ายได้ถึงระดับ 4K 60 fps ซึ่งแม้จะถ่ายในระดับนี้ก็ยังมีระบบ OIS ป้องกันภาพสั่นไหวที่ทำงานหวังผลได้อยู่ แถมยังซูมไปมาระหว่างเลนส์ตอนถ่ายได้ด้วย แล้วยังมีโหมด Ultra Steady Pro ที่แม้จะวิ่งถ่าย ภาพก็ยังนิ่งยังกับถือ Gimbal ถ่ายครับ ส่วนใครที่อยากถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอ ก็ทำได้เช่นกัน
OPPO Find X2 5G รุ่นธรรมดา ประกอบด้วยเลนส์อะไรบ้าง ก็มี 3 เลนส์เหมือนกัน แต่เรียงกล้องไม่เหมือนกัน สเปกก็ไม่เหมือนกันเลยครับ
- ตัวบนสุดเป็นเลนส์ซูม 2 เท่า 13 ล้านพิกเซล f/2.4 ซึ่งสามารถทำ Hybrid Zoom ได้ที่ 5 เท่า
- ตัวกลางเป็นเลนส์หลัก 48 ล้านพิกเซล f/1.7 แต่ขนาดเซ็นเซอร์ ½ นิ้ว เล็กกว่าเลนส์หลักรุ่นโปร
- ตัวล่างสุดเป็นเลนส์มุมกว้างมาก 12 ล้านพิกเซล f/2.2 ครับ ซึ่งสามารถถ่ายมาโครได้ที่ระยะ 3 cm เหมือนกัน
ข้อแตกต่าง แรกที่เห็นชัดเจนคือกล้องมุมกว้างมากครับ ที่ OPPO Find X2 5G นั้นไม่ได้ติดตั้งกล้องมุมกว้างเท่ารุ่น Pro เมื่อเอามาถ่ายภาพเทียบกันก็จะเห็นว่ารุ่นธรรมดาให้มุมภาพแคบกว่า แต่คุณภาพภาพของเลนส์มุมกว้างมากก็ยังโอเคอยู่ครับ
จุดสังเกต ที่เห็นชัดเจนอีกอย่างคือกล้องหลักของ OPPO Find X2 5G จะไม่ละลายหลังมากเท่ารุ่น Pro เพราะขนาดเซ็นเซอร์เล็กกว่า ซึ่งสังเกตจากภาพถ่ายอาหารระยะใกล้นี้จะเห็นชัดว่าอาหารชิ้นที่อยู่ลึกเข้าไปจะดูเบลอน้อยกว่ารุ่นโปร และถ้าเทียบรูปในสถานการณ์อื่น ๆ จะเห็นว่าส่วนใหญ่ภาพจาก OPPO Find X2 ให้ Contrast สูงกว่า Find X2 Pro ด้วย ซึ่งอันนี้ก็ต้องแล้วแต่คนชอบครับ แต่โดยรวมแล้วถึงเป็นรุ่นรอง ก็ยังให้ภาพถ่ายที่ดีมากอยู่ดี
จุดแตกต่างที่ชัดเจนมากที่สุดของกล้องคือ OPPO Find X2 นั้นมีเลนส์ซูมแค่ 2 เท่า และทำ Hybrid Zoom ได้ 5 เท่านะครับ ซึ่งซูมไกลแพ้รุ่นโปรที่ติดเลนส์ซูม 5 เท่าพร้อมทำ Hybrid Zoom 10 เท่าแน่นอน เวลาซูมไปเยอะ ๆ ความคมของภาพมันต่างกันครับ
วิดีโอ
ทำได้ดีไม่แพ้กัน ถ่าย 4K 60 fps ก็ยังมีระบบป้องกันภาพสั่นไหวที่ดี มีโหมด Ultra Steady Pro ป้องกันภาพสั่นไหวขั้นเทพเหมือนกัน ถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอก็ได้เหมือนกัน
สรุป
เรื่องกล้องไปให้สุดต้อง OPPO Find X2 Pro 5G เพราะออปโป้อัดทุกเทคโนโลยีในมือมาแล้ว แต่ใครจะดูรุ่นรอง OPPO Find X2 5G กล้องก็ไม่ได้แย่ครับ ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดีเหมือนกัน
แล้ว OPPO Find X2 Series 5G มีข้อสังเกตอะไรบ้าง อย่างแรกคือการกันน้ำครับ ถ้าเป็นรุ่น OPPO Find X2 5G ตัวน้องจะกันน้ำได้ระดับ IP54 หรือกันน้ำกระเซ็นเท่านั้น ใครที่ต้องการความมั่นใจมากกว่านี้ก็ต้องดูรุ่น OPPO Find X5 Pro 5G จะกันน้ำได้ระดับ IP68 หรือลงน้ำลึกไม่เกิน 1 เมตรครับ
แบตเตอรี่
และอีกเรื่องคืออายุแบตเตอรี่ที่ใช้จบวันได้แบบลุ้น ๆ ไม่ได้อึดมากระดับวางใจว่าจะใช้จบวันได้แบบเหลือๆ ส่วนหนึ่งเพราะจอเทพ ละเอียดแบบ QHD+ พร้อม 120 Hz ที่ทำให้กินแบตเตอรี่มากขึ้น แถมทั้ง 2 รุ่นนี้ไม่มีระบบชาร์จไร้สายครับ ชาร์จผ่านสาย USB-C อย่างเดียว แต่ขึ้นชื่อว่า OPPO ก็ต้องมาพร้อมระบบชาร์จเร็ว โดย OPPO Find X2 Series 5G ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมหัวชาร์จ SuperVOOC 2.0 ที่ชาร์จไฟ 65 Watt ชาร์จไฟจาก 0% ให้เต็ม 100% ภายใน 38 นาทีเท่านั้นเอง
รีวิวที่ดีก็ต้องมีราคา
- OPPO Find X2 5G ที่มาพร้อมความจุ 256 GB ตั้งราคาเปิดตัวไว้ 33,900 บาท
- OPPO Find X2 Pro 5G กล้องเทพที่มาพร้อมความจุ 512 GB ตั้งราคาเปิดตัวที่ 40,990 บาท
ซึ่งถ้าใครซื้อผูกโปรโมชันกับค่ายมือถือก็จะได้ส่วนลดสูงสุด 15,000 บาทด้วยนะครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส