ใครได้จับ Vivo V20 Pro 5G เครื่องนี้ก็ต้องชอบค่ะ เพราะว่ามันเป็นมือถือรองรับ 5G ที่บางทึ่สุดในโลก สัมผัสด้านหน้ากับด้านหลังเป็นแผ่นเรียบที่ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมมาก จนต้องยอมรับว่าปีนี้ Vivo ทำสมาร์ตโฟนออกมาได้ฟิลลิ่งพรีเมียมหลายรุ่นเลย และ Vivo V20 Pro 5G ก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ!
ดีไซน์
งานออกแบบฝาหลัง สีที่เราได้มารีวิวนี้มีชื่อเก๋ ๆ ว่า Moonlight Sonata สีขาวนวล เหมือนแสงของดวงจันทร์เวลาตกกระทบ ซึ่งวัสดุของฝาหลังนี้เป็น AG Matte Glass หรือกระจกพ่นทรายให้ผิวสัมผัสลื่นมือ หรูหรา ซึ่งก็เป็นสีขาวที่สวยมาก นอกจากนี้ Vivo V20 Pro 5G ยังมีให้เลือกอีก 2 สีคือ Midnight Jazz สีดำไล่เฉดสวย ๆ และ Sunset Melody สีส้ม-ม่วง-ฟ้า ไล่เฉดเหมือนชายหาดตอนพระอาทิตย์ตก
Vivo V20 Pro 5G มีดีไซน์ที่ไม่ค่อยเห็นในมือถือยุคหลัง ๆ คือฝาหลังและหน้าจอนั้นแบนเรียบไปทั้งด้านหน้าและด้านหลังเลย ไม่มีฝาหลังโค้ง หรือจอหน้าขอบโค้ง ซึ่งพอเรียบทั้งหน้าและหลังเวลาจับก็รู้สึกถึงความบางชัดเจน โดยรุ่นนี้หนาแค่ 7.39 มม. เท่านั้นเอง ถือเป็นมือถือ 5G ที่บางที่สุดในโลกตอนนี้ และหนักเพียง 170 กรัม จับถือสบายมือมากค่ะ
ดีไซน์ตัวกล้องนั้นเป็นแบบ 2 ชั้นซ้อนกันบางๆ คือมีแฟลชตรงนี้ยกขึ้นมาเป็นชั้นที่ 1 แล้วกล้อง 3 ตัวก็ยกซ้อนขึ้นไปเป็นชั้นที่ 2 รวมแล้วกล้องไม่ได้ปูดจากฝาหลังมากมาย ซึ่งการออกแบบกล้องแบบนี้ก็เป็นภาษาในการออกแบบเดียวกับ Vivo X50 Pro 5G ที่พี่หนุ่ยเคยรีวิวไป แต่กล้องของ Vivo V20 Pro 5G นั้นไม่ใช่กล้องระบบ Gimbal เหมือนรุ่นพี่ แต่ก็เป็นกล้อง 64 ล้านพิกเซลที่ถ่ายสวยเลย
หน้าจอของ Vivo V20 Pro 5G นั้นมีขนาด 6.44 นิ้วนะคะ เป็นจอแบบ AMOLED ความละเอียด Full HD+ เป็นจอที่สวยสดใสมาก สามารถเล่น HDR บน Youtube ได้สบายๆ ส่วน Netflix รองรับความละเอียด Full HD แต่ไม่รองรับ HDR ของ Netflix
นอกจากนี้บนหน้าจอยังมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ทำงานได้รวดเร็ว ส่วนด้านบนจะเป็นที่อยู่ของกล้องหน้า 2 ตัว ซึ่งทำให้กินพื้นที่หน้าจอมากกว่ามือถือรุ่นปัจจุบันที่ใช้หน้าจอเจาะรู แต่เชื่อเถอะว่าคุ้มแล้วที่ยอมเสียพื้นที่ให้กล้องคู่นี้ไปค่ะ
ส่วนลำโพง เราเปิดฟังเพลงผ่าน Spotify แล้วให้เสียงดังและแน่นใช้ได้เลยนะคะ เพียงแต่ว่าไม่ใช่ลำโพงสเตอริโอค่ะ เสียงออกลำโพงด้านล่างนี้อย่างเดียว
พอร์ตการเชื่อมต่อ
มาดูรอบเครื่องกันบ้างนะคะ Vivo V20 Pro 5G ใช้ USB-C เป็นพอร์ตชาร์จ ซึ่งมาพร้อมหัวชาร์จเร็ว Vivo FlashCharge 33 วัตต์ สามารถชาร์จ 30 นาทีได้แบต 65% ซึ่งแบตเตอรี่ 4,000 mAh ของเครื่องก็สามารถใช้งานได้ทั้งวัน ใช้กันจนลืม Powerbank ไปได้เลย แต่เครื่องนี้ไม่มีช่องหูฟัง 3.5 mm แล้วนะคะ ต้องเสียบหูฟังผ่านช่อง USB-C เท่านั้น ซึ่งในกล่องจะมีหัวแปลง 3.5 mm มาให้พร้อมหูฟังให้พร้อมใช้ทันที
กล้องหน้าคู่
เลนส์หลักมีความละเอียด 44 ล้านพิกเซล f/2.0 ซึ่งมาพร้อม Eye Auto-Focus คือโฟกัสดวงตาระหว่างการถ่ายภาพได้ ซึ่งสามารถถ่ายได้ใกล้สุด 15 cm ส่วนอีกเลนส์หนึ่งเป็นเลนส์มุมกว้าง 8 ล้านพิกเซล f/2.28 แต่เลนส์มุมกว้างนี้จะเป็นแบบ Fixed Focus นะคะ
คุณภาพภาพจากกล้องนั้นถือว่าดีมากนะคะ ให้ภาพคมชัดด้วยระบบ Eye Auto-Focus ที่กล้องจะพยายามโฟกัสดวงตาที่เป็นหน้าต่างของหัวใจให้ชัดอยู่เสมอ ซึ่งระบบจะเลือกเองว่าจะโฟกัสตาซ้ายหรือตาขวา โดยการถ่ายภาพในโหมด Photo ด้วยกล้องหน้าตัวหลักนั้นให้รายละเอียดได้ดี สีผิวถ่ายทอดออกมาดูดีตามสุขภาพคนถูกถ่าย ซึ่งในโหมดนี้ยังมี Portrait light effect ที่ปรับแสงใน Selfie ให้เหมือนถ่ายในสตูดิโอ หรือจะถ่ายให้ฉากหลังเป็นขาว-ดำ แต่หน้าคนยังเป็นสีอยู่ก็ได้
ถ้าเปลี่ยนไปถ่ายโหมด Portrait ก็จะสามารถเลือกระบบความเบลอหลังซึ่งก็ดูเนียนตาดี มีการปรับแต่งหน้าสวยมาให้แล้วในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้ารู้สึกว่าแต่งให้เยอะไปก็สามารถปรับลดได้ นอกจากนี้ยังมีโหมด Make Up ที่ช่วยแต่งหน้าให้จบในกล้อง แม้วันไหนไม่ได้แต่งหน้า ก็สามารถเขียนตา เขียนคิว ทาลิปในกล้องตัวนี้ได้ง่ายๆ นอกจากนี้ยังมี Style แต่งภาพสวยๆ ให้ถ่ายภาพออกมาเหมือนอยู่ในยุค 80s หรือถ่ายเหมือนภาพชิก ๆ จากญี่ปุ่น
ส่วนการถ่ายเซลฟี ด้วยกล้องหน้ามุมกว้างเก็บภาพได้ 105° ก็ให้ภาพกว้างกว่าเลนส์หลักอย่างชัดเจน สามารถถ่าย Group Selfie หรือถ่ายเก็บบรรยากาศสถานที่ที่ถ่ายได้ง่ายๆ ซึ่งตัวซอฟต์แวร์มีการแก้ไขความบิดเบือนของภาพจากเลนส์มุมกว้างให้ดูสวยงามขึ้นด้วย เพียงแต่ว่าในที่แสงน้อย ภาพจากเลนส์มุมกว้างจะไม่สดใสคมชัดเท่ากล้องหน้าตัวหลักนะคะ
การถ่ายเซลฟียามค่ำคืนก็ทำได้สวยงามด้วย AI low-light portrait ที่แม้แสงน้อยมากๆ ก็สามารถประมวลผลเพื่อชดเชยแสงกลับมาได้ดี แฟลชสำหรับกล้องหน้าที่ใช้หน้าจอส่องสว่างชดเชยแสงเข้ามาก็ช่วยให้ใบหน้าสว่างขึ้นมาได้โดยสามารถเก็บแสงในฉากหลังได้อย่างดีด้วย
การถ่ายวิดีโอกล้องหน้า
การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้านั้นสามารถถ่าย 4K 60 fps ได้โดยใช้เลนส์หลัก ส่วนเลนส์มุมกว้างนั้นสามารถถ่ายได้สูงสุดเพียง 1080p 30 fps เท่านั้น ซึ่งวิดีโอจากกล้องหน้าตัวหลักนั้นถือว่าดีมาก การถ่าย 4K ให้ภาพที่คมชัดสวยงามจริง ๆ มีการป้องกันการสั่นไหวที่ดีพอที่จะให้วิดีโอที่นิ่งได้ แต่ถ้าต้องการให้กันสั่นมากกว่านี้สำหรับการเดินถ่ายก็เปิดโหมด Steadiface เข้ามาช่วยเสริมได้อีก เพียงแต่โหมดนี้จะมีการครอปภาพเข้าไปเพิ่ม ทำให้มุมภาพแคบลง ซึ่งถ้าต้องการมุมภาพ Video Selfie ที่กว้างขึ้นก็ต้องใช้กล้องหน้ามุมกว้างแล้วเปิดโหมด Steadiface แต่คุณภาพภาพก็จะสู้กล้องหน้าตัวหลักไม่ได้นะ
นอกจากนี้กล้องหน้าตัวนี้ยังถ่าย Slo-mo Selfie ได้ด้วยเฟรมเรทสูงสุด 240 fps หรือภาพช้าลง 8 เท่า ที่ความละเอียด 720p และช้าลง 4 เท่าที่เฟรมเรท 120 fps ที่ความละเอียด 1080p ค่ะ ก็ได้วิดีโอออกมาเก๋ ๆ แบบนี้
กล้องหลัง
ประกอบไปด้วยเลนส์ 3 ตัว เลนส์หลักคือเลนส์ตัวใหญ่ตัวบนนี้ มีความละเอียด 64 ล้านพิกเซล f/1.89 แล้วก็กล้องมุมกว้าง 120 องศาที่สามารถเอาไปถ่ายมาโครได้ด้วย ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.2 สุดท้ายคือกล้อง Mono เอาไว้สนับสนุนการถ่ายภาพค่ะ ไปดูภาพจริงกันเลย
กล้องหลักของ Vivo V20 Pro 5G นั้นให้สีสันสดใส ให้ภาพออกมาดีมากในทุกสภาพแสงนะคะ คือถ้าต้องการภาพแบบด่วน ๆ ก็สามารถกดแชะเดียวแล้วสวยได้เลย การถ่ายในที่แสงน้อยก็ยังเก็บรายละเอียดภาพออกมาได้ชัดเจน และถ้าถ่ายในที่แสงน้อยมากๆ ก็สามารถใช้ Night Mode เพิ่มความสว่างของภาพได้อีก แถมเลือกฟิลเตอร์สำหรับการถ่ายภาพกลางคืนให้สวยแปลกตาได้
ส่วนกล้องมุมกว้างก็ให้มุมภาพได้กว้างสะใจค่ะ เก็บวิว หรือเก็บภาพในห้องแคบ ๆ ได้สบาย ตัวกล้องมีการแก้ไขความบิดเบือนของภาพมาให้เรียบร้อย ทำให้ขอบภาพไม่ได้ดูโค้งป่อง แต่ก็ยังมีลักษณะพิเศษที่ยืดภาพบริเวณขอบออกมา ก็เอาไปใช้ถ่ายแขนขาให้ดูยาวขึ้นได้ แถมกล้องมุมกว้างยังมีความสามารถในการถ่ายมาโครที่ระยะ 2.5 cm ทำให้ได้ภาพถ่ายระยะใกล้ที่ชัดเจนโดยไม่ต้องมีเลนส์มาโครแยก เพียงแต่ว่ากล้องมุมกว้างนี้จะแพ้ทางในที่แสงน้อยหน่อยคะ พอแสงเริ่มน้อย จะเริ่มเห็นวุ้นในภาพ แต่ก็สามารถใช้ Night Mode ช่วยให้กล้องมุมกว้างถ่ายกลางคืนได้ดีขึ้น
โหมด Portrait ของ Vivo V20 Pro 5G ถ่ายออกมาได้สวยงามค่ะ ค่าพื้นฐานจะมีการแต่งหน้าให้สวยดูดีอยู่แล้ว ซึ่งผู้ใช้ก็สามารถเข้าไปเลือกรายละเอียดในการปรับใบหน้าได้อีก หรือถ้าไม่ชอบก็ปิดไปเลยก็ได้ รวมถึงมีฟิลเตอร์สวย ๆ หลายอย่างให้เลือก ส่วนการทำฉากหลังเบลอก็ตัดขอบได้เนียนสวยงามดีค่ะ
การซูมภาพเป็นเรื่องที่ Vivo V20 Pro 5G ไม่เน้นมากนะคะ เพราะอาศัยแค่เลนส์หลัก 64 ล้านพิกเซลเพื่อซูมภาพเท่านั้น ไม่มีเลนส์ซูมเฉพาะทางมาให้ ซึ่งการซูมในระดับ 2 เท่าก็ยังให้ผลงานออกมาดูดีค่ะ และสามารถซูมดิจิตอลได้ถึง 10 เท่า ซึ่งการซูมระดับนี้ภาพจะแตกแล้ว
อีกโหมดที่สนุกคือ Double Exposure ที่เราสามารถใช้กล้องหน้าและกล้องหลังถ่ายภาพพร้อมกัน เพื่อมาซ้อนกันในภาพเดียวได้ หรือจะใช้กล้องหลังถ่ายทีละภาพ แล้วค่อยมาถ่ายซ้อนด้วยตัวเองก็ได้ ใช้ง่าย ใช้สนุกค่ะ
การถ่ายวิดีโอกล้องหลัง
เราสามารถถ่ายได้สูงสุด 4K 60 fps โดยใช้กล้องหลักค่ะ แต่ระบบป้องกันภาพสั่นไหวจะไม่ทำงาน ถ้าต้องเดินถ่ายเราแนะนำให้ถ่ายที่ความละเอียด 4K 30 fps หรือ 1080p 60 fps ดีกว่าซึ่งภาพจะครอปเข้ามาบ้างเพื่อกันสั่น แต่ก็ได้วิดีโอที่นิ่งมากพอสำหรับใช้งานทั่วไป แต่ถ้าต้องการให้วิดีโอนิ่งกว่านี้ก็สามารถเปิดโหมด Ultra Stable ที่จะมีการครอปภาพมากขึ้น แต่วิดีโอก็จะนิ่งมากขึ้นอีกค่ะ นอกจากนี้เราสามารถเปิดโหมด Motion Autofocus แล้วแตะ ๆ เพื่อให้กล้องโฟกัสแทร็กตามวัตถุได้เลย เหมาะมากสำหรับการถ่ายวิดีโอสัตว์เลี้ยงหรือเด็ก ๆ ที่เคลื่อนไหวเร็ว ๆ ค่ะ ทำให้โฟกัสจดจ่อได้นิ่งขึ้น
นอกจากนี้เรายังสามารถถ่าย Dual View Video ที่ใช้งานกล้องหน้าและกล้องหลัง โดยถ่ายของที่อยู่ตรงหน้ากับผู้ถ่ายได้พร้อมกัน เหมาะมากสำหรับยุคสมัย Vlog ที่ไม่ต้องตัดต่อให้หน้าเราไปอยู่กับสิ่งที่ถ่ายเองแล้ว เพราะเราถ่ายจบมาในตัวเลย และยังมีโหมด Art Portrait Video ที่สามารถถ่ายวิดีโอหน้าชัดหลังเบลอ หรือวิดีโอฉากหลังขาว-ดำได้เลย
ฟังก์ชันการแต่งภาพที่น่าสนใจ
Vivo V20 Pro 5G นะคะ นี่คือ AI Image Matting ที่ซอฟต์แวร์จะวิเคราะห์ภาพเพื่อแยกคนในภาพและฉากหลัง จะตัดคนแยกออกจากฉากหลัง ขยายขนาดตัว ปรับได้สารพัด หรือจะเปลี่ยนฉากหลังก็ได้ จะเปลี่ยนเฉพาะท้องฟ้าก็ทำได้ นอกจากนี้ยังมีคำสั่ง HD Restoration เพื่อปรับปรุงภาพเก่าให้ชัดขึ้นได้ในตัว โดยไม่ต้องโหลดแอปเพิ่ม
สเปก
Vivo V20 Pro นั้นถือว่าจัดเต็มคุ้มราคามากค่ะ ด้วยชิป Snapdragon 765G 5G ตัวเดียวกับ Vivo X50 Pro 5G พร้อมแรม 8 GB และหน่วยความจำภายใน 128 GB
การทดสอบประสิทธิภาพ
ซึ่งเราทดสอบกับแอป Geekbench 5 ก็ได้คะแนน Multicore ที่ 1900 คะแนน ส่วน 3Dmark ชุด Slingshot Extreme ได้ไป 3273 คะแนน ซึ่งเรานำไปเล่นเกม 3 มิติภาพสวยอย่าง implosion never lose hope ก็ให้ภาพที่ลื่นไหลดีมาก ส่วนการใช้งานทั่วไป การสลับแอปต่าง ๆ ก็ทำได้อย่างลื่นไหล เพราะ VIVO มีการปรับจูนการทำงานต่าง ๆ ผ่าน Funtouch OS 11 ระบบปฏิบัติการที่ครอบทับ Android 10 มากมาย จนได้ประสิทธิภาพที่ดี
นาวเทสต์ 5G ให้ดูกันสด ๆ ค่ะ เครื่องนี้ใส่ซิม True 5G อยู่ กดเทสต์แถวสตูแบไต๋ที่ RCA ก็ได้ความเร็วมาราวๆ 300 mbps ซึ่งก็คือ Vivo V20 Pro 5G ใช้ 5G ในไทยได้เลย โดยไม่ต้องอัปเดตอะไรเพิ่มนะคะ
ข้อสังเกต
เราให้ข้อสังเกตว่าตัวกล้องหลัก ถ้าถ่ายวัตถุในระยะใกล้จะให้ภาพเบลอบริเวณขอบภาพนะคะ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของมือถือสมัยนี้ที่ใช้เซนเซอร์รับภาพขนาดใหญ่ แต่ Vivo ก็แก้ปัญหานี้โดยให้ซอฟต์แวร์สลับมาใช้เลนส์มุมกว้างถ่ายแบบมาโครอัตโนมัติเมื่อกล้องเข้าใกล้วัตถุ ทำให้ภาพคมชัดอยู่
นอกจากนี้ค่ามาตรฐานของเครื่องที่ Browser คอยส่งข่าวมาให้ และ V-Appstore ก็จะส่งโปรโมตแอปมาเรื่อยๆ ซึ่งถ้าไม่ชอบ ก็ต้องตามไปปิดการแจ้งเตือนเหล่านี้เองคะ
รีวิวที่ดีก็ต้องมีราคา
Vivo V20 Pro 5G สมาร์ตโฟนสุดบาง กล้องหน้าเทพ แถมใช้ 5G ในไทยได้เลย เปิดตัวมาด้วยราคาแค่ 14,999 บาทเท่านั้น คุ้มกว่านี้ไม่มีแล้ว
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส