เมื่อคืนวันอังคารที่ 14 ที่ผ่านมาแอปเปิ้ลได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ จะมีอะไรบ้างแบไต๋ขอสรุปให้ไปอ่านกันเลย งานรอบนี้ออกนอกกรอบ ๆ ออฟฟิศของแอปเปิ้ลไปถ่ายในสถานที่เด่น ๆ ของ California ก็ไม่ผิดคาดอะไรสำหรับการเปิดตัว iPhone 13 ที่ก่อนหน้านี้เราก็ลุ้นกันว่าแอปเปิ้ลจะข้ามเลขไป 14 เลยไหม แต่สรุปสุดท้ายก็ไม่ได้ข้าม
แต่เราขอสรุปตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่า iPhone 13 เป็นไอโฟนที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง เหมือนแอปเปิ้ลวางแผนพัฒนาไอโฟนรุ่นนี้เมื่อสัก 3 ปีที่แล้ว แล้วก็ทำตามแผนมาเรื่อยๆ ไม่ได้ปรับปรุงให้เข้ายุคสมัยอะไร
iPhone 13
- ดีไซน์แบบ iPhone 12 พร้อมหน้าจอเป็น Ceramic Shield และกันน้ำ IP68 ไม่เปลี่ยนแปลง
- ส่วนกล้องหลัง 2 ตัว ดีไซน์วางทแยงแบบภาพหลุด ไม่ได้อธิบายเชิงเทคนิคว่าให้ทำงานได้ดีขึ้นยังไง ก็คาดว่าเป็นแค่การออกแบบให้ต่างจากรุ่นที่แล้ว (คาดว่าเพราะใส่ระบบ Sensor-shift optical image stabilization ลงไป)
- มี 5 สีใหม่คือ ชมพู, น้ำเงิน,ดำ Midnight, Starlight, (RED)
- อีกจุดที่ปรับปรุงตามข่าวลือคือรอยบากที่สั้นลง 20%
- แต่ไม่มี Touch ID เหมือนเดิม ซึ่งเราอยู่กับ Covid มาเป็นปี ๆ แล้ว แต่แอปเปิ้ลก็ยังใช้แนวทางให้ Apple Watch ช่วยปลดล็อกให้เหมือนเดิม
- ซึ่งใครที่เคยใช้ก็จะรู้ว่ามันสู้ Touch ID ไม่ได้ เพราะ Apple Watch ช่วยปลดล็อกแอปธนาคารหรือใช้จ่ายเงินไม่ได้
- เราจึงมองว่าแอปเปิ้ลไม่ได้ปรับแผนงานพัฒนาไอโฟนให้เข้ากับยุคสมัยเลย ซึ่งมองไปข้างหน้า แม้จะอีกเป็นปีเราก็ยังคงต้องใส่หน้ากากต่อไป แต่เราก็ยังไม่มี Touch ID
- ปีนี้ออกมา 2 รุ่นเหมือนเดิมคือ iPhone 13 Mini หน้าจอ 5.4 นิ้ว และ iPhone 13 หน้าจอ 6.1 นิ้ว อันนี้ไม่เป็นไปตามข่าวลือ เพราะยังทำรุ่น Mini อยู่
- โดยเป็นจอ OLED เรียกว่า Super Retina XDR สว่างขึ้น 28% จาก 625 nit เป็น 800 nit คอนเทนต์ HDR สูงสุด 1200 nit แต่ไม่มีจอนุ่มหรือ ProMotion
- ชิปประมวลผลก็เป็น A15 Bionic ใช้เทคโนโลยีการผลิต 5 nm มีทรานซิสเตอร์ 15,000 ล้านตัว
- มี 6 แกนสมอง เป็น 2 แกนแบบแรงและ 4 แกนประสิทธิภาพ เร็วขึ้น 50%
- พร้อม GPU 4 แกน เร็วขึ้น 30% เมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว
- และมี Neural Engine 16 แกน ประมวลผล 15.8 ล้านล้านครั้งต่อวินาที ทำให้ใช้แอปที่มีการประมวลผล AI ได้ดีขึ้น เช่นแอปโค้ชเทนนิส วิเคราะห์ท่าทางการตีและตำแหน่งลูกได้
- กล้องหลักปรับปรุงเซนเซอร์ใหม่ แต่ยังเป็น 12 ล้านพิกเซล f/1.6 เท่าเดิม
- มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ Sensor Shift ที่มีใน iPhone 12 Pro เดิม แต่คราวนี้เอาลงมาให้ iPhone 13 ใช้แล้ว ทำให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น
- กล้อง Ultra wide 12 ล้านพิกเซล f/2.4 เท่าเดิม
- กล้องมีความสามารถใหม่ Photographic Style คือเป็นฟิลเตอร์ภาพถ่ายแบบใหม่ ที่ปรับการประมวลผลตั้งแต่การถ่าย Multiframe เลย แอปเปิ้ลใช้คำว่า “ให้คุณสร้างสไตล์ในแบบของตัวเองให้กับรูปภาพ ซึ่งต่างจากฟิลเตอร์ตรงที่สไตล์จะเลือกปรับแต่งเฉพาะตรงบริเวณที่ควรปรับเท่านั้น โดยจะยังคงรักษาโทนสีผิวไว้เช่นเดิม”
- ซึ่งดูตัวอย่างแล้วก็ยังแยกไม่ออกว่าต่างจากฟิลเตอร์ปกติยังไง คงต้องลองใช้อีกที (เนื่องจากแอปเปิ้ลเพิ่มประสิทธิภาพของ Neural engine จึงมีการประมวลผลแยกวัตถุหรือบุคคลออกมาจากภาพ ทำให้การใส่ฟิลเตอร์ ใส่ไปในแค่ตัววัตถุหรือบุคคลเลย (เหมือนเราเอาไปแต่งใน Photoshop)
- ชูจุดเด่นคือการถ่ายวิดีโอ Cinematic Mode ใช้ Rack focus ได้
- คือเลือกจุดโฟกัสให้แล้วกล้องแทร็กโฟกัสเข้าไปที่วัตถุต่างๆ ซึ่งมาโฟกัสหลังจากถ่ายเสร็จได้
- สรุปเป็นโหมดการเบลอฉากหลังด้วย AI ซึ่งวิดีโอตัวอย่างก็ออกมาเนียนอยู่
- แต่ถ่ายได้แค่ 1080p 30 fps เท่านั้น โถ่… โปรโมทมาอย่างดี ถ่าย 4K ในโหมดนี้ก็ไม่ได้ (แต่เป็น Dolby Vision นะ)
- ส่วนการถ่ายวิดีโอ Dolby Vision HDR นั้นสามารถถ่ายได้สูงสุด 4K 60fps แล้ว จาก iPhone 12 ที่ถ่ายได้แค่ 4K 30 fps
- แบตเตอรี่ iPhone 13 mini แบตทนขึ้น 1.5 ชั่วโมง ส่วน iPhone 13 ทนขึ้น 2.5 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม
- แน่นอนว่าในกล่องไม่มีหัวชาร์จให้เหมือนเดิม
- พอร์ตชาร์จก็เป็น Lightning เหมือนเดิม แต่คิดว่าปีหน้าแอปเปิ้ลน่าจะต้านทานไม่อยู่แล้ว ต้องเปลี่ยนเป็น USB-C แล้ว
- ความจุเริ่มต้นเพิ่มมาเป็น 128 GB แล้ว
- เริ่มสั่งซื้อล่วงหน้า 1 ต.ค. ขายจริง 8 ต.ค.
- iPhone 13 Mini
- 128 GB – 25,900 บาท
- 256 GB – 29,900 บาท
- 512 GB – 37,900 บาท
- iPhone 13
- 128 GB – 29,900 บาท
- 256 GB – 33,900 บาท
- 512 GB – 41,900 บาท
- iPhone 13 Mini
- ราคาไทยออกมาถือว่าถูกลง เพราะ iPhone 12 ความจุ 64 GB เดิม ก็ขาย 29,900 บาทแล้ว ส่วน 256 GB ขาย 35,900 บาท
- ทิ้งท้าย โฆษณาของแอปเปิ้ลเอา iPhone 13 ไปแปะมอเตอร์ไซค์ แต่แอปเปิ้ลเพิ่งเตือนว่าการใช้แบบนี้จะทำให้กล้องพัง…
iPhone 13 Pro
- หน้าตาเหมือน iPhone 12 Pro เดิม กระจก Ceramic Shield กันน้ำ IP68 แต่ชุดกล้องหลังใหญ่ขึ้นมาก และรอยบากด้านหน้าเล็กลง 20%
- ตัวเครื่องเป็นสแตนเลส มีสีให้เลือก 4 สีคือ เงิน, ทอง, กราไฟต์ และสีใหม่คือ Sierra Blue ที่สีอ่อนกว่า Pacific Blue เดิม
- iPhone 13 Pro ใช้หน้าจอ 6.1 นิ้ว ส่วน 13 Pro Max ใช้จอ 6.7 นิ้วเหมือนเดิม
- ใช้ชิป A15 Bionic แต่ต่างจาก iPhone 13 ตรงมี GPU 5 แกน แทนที่จะเป็น 4 แกน ซึ่งแอปเปิ้ลก็เคลมว่าแรงที่สุดในมือถือ
- หน้าจอ Super Retina XDR ความสว่าง 1000 nit สว่างขึ้น 25% และคอนเท้น HDR ได้ 1200 nit
- และสิ่งที่รอคอยมานานคือหน้าจอนุ่ม ProMotion ที่ปรับแบบ Adaptive 10 – 120 Hz (ซึ่ง Android ก็เป็นจอ Adaptive มานานมากแล้ว)
- ซึ่งปีนี้เอาใส่รุ่นโปรก่อน ปีหน้า iPhone 14 ธรรมดาก็คงมีบ้าง
- ส่วน Android ตอนนี้ ราคาแค่หมื่นต้นก็เป็นจอ 90 Hz หมดแล้ว
- กล้อง 3 ตัว ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลทั้งหมด
- เลนส์หลัก 1x รูรับแสง f/1.5 สว่างกว่า iPhone 12 Pro เดิมที่ f/1.6
- เลนส์มุมกว้าง f/1.8 สว่างกว่า iPhone 12 Pro เดิมมากที่ใช้ f/2.4
- เลนส์ซูม 3 เท่า เพิ่มขึ้นจากซูม 2 เท่าใน iPhone 12 Pro และ 2.5 เท่าใน 12 Pro Max
- แต่รูรับแสงแคบลงเหลือ f/2.8 จากรุ่นเดิมที่ f/2.0 (12 Pro) และ f/2.2 (12 Pro Max)
- สามารถถ่ายมาโครได้โดยใช้เลนส์ Ultra Wide ในระยะใกล้สุด 2 cm ก็น่าจะถ่ายภาพใกล้ได้สนุกขึ้น ซึ่ง iPhone 13 รุ่นปกติน่าจะถ่ายใกล้แบบนี้ไม่ได้
- ทุกกล้องใช้ Night Mode ได้ จากเดิมที่ใช้ได้แค่บางเลนส์ และมี Photographic Style เหมือน iPhone 13
- การถ่ายวิดีโอได้ฟีเจอร์ Cinematic Mode เหมือน iPhone 13 และถ่ายได้แค่ 1080p 30 fps ในโหมดนี้เหมือนกัน
- ส่วน Dolby Vision ในโหมดวิดีโอธรรมดา ถ่ายได้ 4K 60 fps เหมือนเดิม
- ส่วนงานวิดีโอระดับโปร รองรับการถ่ายเป็นไฟล์ ProRes ซึ่งในชิป A15 มีส่วน Hardware เพื่อจัดการไฟล์นี้ ทำให้สามารถบันทึก 4K 30 fps แบบ ProRes ได้ (ไฟล์จะหนักมาก สำหรับใช้ในการตัดต่อระดับมืออาชีพอย่างเดียว)
- แบตทนขึ้น 1.5 ชั่วโมงเมื่อเทียบกับ 12 Pro และ 2.5 ชั่วโมงเมื่อเทียบ Pro Max
- สั่งจองล่วงหน้า 1 ต.ค. และเริ่มขาย 8 ต.ค. เหมือน iPhone 13
- ราคา iPhone 13 Pro
- 128 GB – 38,900 บาท
- 256 GB – 42,900 บาท
- 512 GB – 50,900 บาท
- 1 TB – 58,900 บาท
- ราคา iPhone 13 Pro Max
- 128 GB – 42,900 บาท
- 256 GB – 46,900 บาท
- 512 GB – 54,900 บาท
- 1 TB – 62,900 บาท
- ถือว่าขายแพงกว่าเดิม 2000 บาท เพราะ iPhone 12 Pro ราคาเริ่มต้นที่ 36,900 บาท
- ส่วนรุ่น Pro Max แพงกว่าเดิม 3000 บาท เพราะ iPhone 12 Pro Max เริ่มต้นที่ 39,900 บาท
- ราคา iPhone 13 Pro
- สรุป iPhone 13 Pro แพงมาก!
- ส่วน iPhone ที่มีขายในปัจจุบันคือ iPhone SE, iPhone 11, iPhone 12 และ iPhone 13, 13 Pro ซึ่งลดราคาสูงสุด 4,000 บาท (https://www.beartai.com/news/mobilenews/779981)
- ส่วนที่คนฟังเพลงผิดหวังหน่อยคือไม่พูดเลยว่า iPhone รุ่นใหม่จะมีเทคโนโลยีใหม่ในการฟังเพลง Hi-Res Lossless จาก Apple Music ยังไงบ้าง คนที่อยากฟัง Hi-Res Lossless ก็ต้องต่อ DAC เหมือนเดิมนะ
All new iPad Mini (Gen 6)
- ในที่สุด iPad Mini ก็กลับมาน่าใช้แล้ว ด้วยดีไซน์ขอบตัดเหมือน iPad Pro และ iPad Air 4
- หน้าจอ 8.3 นิ้ว ใหญ่กว่ารุ่นเดิมที่เป็นจอ 7.9 นิ้ว โดยเป็นจอ True tone สว่าง 500 Nit
- ขนาดเครื่องเล็กกว่าเดิมนิดหน่อย และเบากว่าเดิมหน่อยหนึ่ง
- มี 4 สีให้เลือกคือ เทา, ชมพู, สตาร์ไลต์ และม่วง
- มี Touch ID ที่ปุ่มล็อกจอเหมือน iPad Air 4
- ใช้ USB-C โอนข้อมูลเร็วกว่าเดิม 10 เท่า
- ใช้ A15 Bionic เหมือน iPhone 13 CPU เร็วขึ้น 40% GPU เร็วขึ้น 80%, Neural Engine เร็วขึ้น 2 เท่า
- พร้อม GPU 5 แกน เท่า iPhone 13 Pro
- กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล f/1.8 พร้อม Focus pixel มีแฟลช True tone พร้อม Smart HDR
- กล้องหน้า 12 ล้านพิกเซล Ultra Wide พร้อมรองรับ Center Stage
- ลำโพงสเตอริโอ
- ใช้ Apple Pencil Gen 2
- วันวางขายยังไม่ระบุ แต่มีราคาไทยคือ
- 64 GB – 17,900 บาท (5G – 23,400 บาท)
- 256 GB – 23,400 บาท (5G – 28,900 บาท
- รุ่น 5G เพิ่ม 5,500 บาท แพงมาก!
iPad Gen 9
- หน้าตาเหมือน iPad Gen 8 เป๊ะ หน้าจอขนาด 10.2 นิ้วเท่าเดิม ซึ่งคุณภาพจอธรรมดาที่สุดในบรรดา iPad ที่ขายตอนนี้ทั้งหมด แต่มี True-tone แล้ว
- ใช้ชิป Apple A13 เหมือน iPhone 11 ทำให้เร็วกว่ารุ่นเดิม 20%
- กล้องหน้าแบบ Super Wide 12 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์ Center Stage จาก iPad Pro
- Center Stage คือกล้องที่สามารถซูม-แพนภาพเองได้ เช่นตั้ง iPad ไว้นิ่ง ๆ บนโต๊ะ แล้วเราเดินไปเดินมาเล่าเรื่องอยู่หน้ากระดาน กล้องก็จะเจาะซูมตามหน้าเราเอง
- กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล f/2.4 เท่าเดิม แต่ถ่ายภาพสวยขึ้นเพราะชิป A13 เก่งขึ้น
- ใช้ Apple Pencil Gen 1 เพราะใช้พอร์ตเป็น Lightning
- ยังไม่มีกำหนดขายในไทย แต่มีราคาไทยแล้ว
- 64 GB – 11,400 บาท
- 256 GB – 16,900 บาท
ส่วนรุ่น 4G บวกอีก 5,000 บาท (ไม่รองรับ 5G)
- iPad ทั้ง 2 รุ่นคือ Gen 9 กับ Mini Gen 6 ผลิตจากอลูมิเนียมรีไซเคิล 100%
Apple Watch Series 7
- ปรับดีไซน์อีกครั้งโดยหน้าจอใหญ่ขึ้นอีก 20% เมื่อเทียบกับ Series 6 และใหญ่ขึ้น 50% เมื่อเทียบกับ Series 3 ขอบบางลง ขอบมน
- จอสว่างขึ้น 70% มองง่ายขึ้น
- เมื่อจอใหญ่ขึ้น ก็ทำให้มี keyboard ตัวเต็มให้พิมพ์ หรือลากได้
- พร้อมหน้าปัดใหม่ที่ดีไซน์มาใช้ขอบให้เต็มมากขึ้น
- มีการปรับแก้ UI ใหม่ให้ปุ่มใหญ่ขึ้น ตอบรับกับจอที่ใหญ่ขึ้น เพื่อให้กดได้สะดวกมากขึ้น
- แอปเปิ้ลเคลมว่าเป็น Apple Watch ที่ทนทานที่สุดตั้งแต่เคยสร้าง หน้าจอเป็นคริสตัลหนาขึ้น 50% กันฝุ่น IP6X ทนน้ำ WR50 (น่าจะเทียบกับ 5 ATM หรือทนแรงดันน้ำลึกระดับ 50 เมตร)
- แบตเตอรี่ 18 ชั่วโมง ชาร์จเร็วขึ้น 33% ชาร์จจาก 0 – 80 % ใน 45 นาที (ต้องชาร์จกับอแดปเตอร์ USB-C ความแรง 20 Watt ซึ่งแอปเปิ้ลไม่ได้แถมมา ใน iPhone ก็ไม่แถม สรุปต้องหาซื้อเอง) และชาร์จ 8 นาที ก็แทร็กการนอนได้ 8 ชั่วโมง
- ตัวเรือนอลูมีเนียมมี 5 สีคือ เขียว, น้ำเงิน, (RED), สตาร์ไลต์, มิดไนต์
- นอกจากนี้ยังมีตัวเรือนไทเทเนียม และสแตนเลสสตีลให้เลือก พร้อมรุ่น Hermès ที่มีสายดีไซน์ใหม่
- แต่ไม่มีเซนเซอร์วัดสุขภาพใหม่ ๆ ยังวัด ECG หรือออกซิเจนในเลือดได้เหมือนเดิม แต่ยังไม่สามารถวัด Body Composition พวกมวลกล้ามเนื้อ มวลไขมันได้ (Samsung Galaxy Watch4 วัดได้แล้ว)
- สรุปตอนนี้แอปเปิ้ลขาย Apple Watch 3 รุ่นคือ S7, S6 และเจ้าคุณปู่ S3
- ตั้งราคาขายเริ่มต้นไว้ $399 หรือประมาณ 13,200 บาท เริ่มขายฤดูใบไม้ร่วง ส่วนในไทยก็รอดูต่อไป
- ท้ายช่วง Apple Watch Series 7 แอปเปิ้ลก็โปรโมต Apple Fitness+ บอกว่าตอนนี้มี 1200 workout แบบ 4K พร้อมเพิ่มการออกกำลังกายแบบ Pilates เข้าไป แต่รู้ไปก็เท่านั้น เพราะให้บริการใน 21 ประเทศ แต่ไม่มีในไทย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส