Vivo จับมือกับ Zeiss บริษัทผลิตเลนส์ชื่อดังจากเยอรมัน เพื่อร่วมกันพัฒนาสมาร์ตโฟนมาตั้งแต่ Vivo X60 Series 5G เผลอแป๊บเดียวก็มาถึงคิวของ Vivo X70 Series 5G สมาร์ตโฟนรุ่นที่ 2 แล้วที่พัฒนาร่วมกับ Zeiss และเป็นรุ่นที่ 3 แล้วที่มี Gimbal อยู่ในตัว วันนี้ผมมีทั้ง Vivo X70 5G และ Vivo X70 Pro 5G มาโชว์ พร้อมแบไต๋รีวิวเจาะลึกว่าใช้งานจริงแล้วเป็นยังไง
ดีไซน์
ดูที่ดีไซน์เครื่องกันก่อนครับ ตัว Vivo X70 5G นี้เราได้มาเป็นสี Aurora Dawn ที่สะท้อนแสงเหมือนออโรร่าช่วงเช้าครับ ก็สวยงามแปลกตา ส่วน Vivo X70 Pro 5G นี้เป็นสีดำ Cosmic Black แบบที่มีประกายระยิบระยับเมื่อสะท้อนกับแสง ก็ดูสวยงามดีคู่ และทั้ง 2 รุ่นนี้ก็เลือก 2 สีนี้ได้ทั้งหมดครับ และที่เหมือนกันอีกอย่างคือวัสดุของฝาหลังนี้เรียกว่า fluorite AG เป็นกระจกพ่นทรายที่ให้สัมผัสแบบด้าน ลายนิ้วมือไม่ติดง่าย ๆ ครับ ซึ่งถ้าลูบ ๆ ตรงโลโก้ Vivo นี้ก็จะให้สัมผัสหนึบ ๆ แบบเวลาลูบกระจก ก็ให้ความพรีเมี่ยมไปอีกแบบครับ
ดีไซน์กล้องหลัง
ดีไซน์กล้องหลังของ Vivo X70 Series 5G นี้เรียกว่า Cloud Valley ซึ่งแตกต่างจากดีไซน์ Dual-Tone Step เดิมที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ Vivo X50 Pro โดยวางเลนส์เรียงในแนวดิ่งแล้วมีแฟลช 3 ดวงอยู่ข้าง ๆ ซึ่งมีโลโก้ของ Zeiss T* Coating ช่างภาพจะเข้าใจความขลังของลัญลักษณ์นี้ ซึ่งตัวอักษร T* สีแดง หมายความว่าเลนส์นี้ได้รับการเคลือบผิวด้วยเทคโนโลยีของ Zeiss เพื่อลดแสงสะท้อนภายในเลนส์อย่างดีที่สุด ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมามีปัญหาแสง Flare น้อยลง ให้คุณภาพภาพสูงขึ้น
ซึ่งตรงข้างแฟลชก็จะเห็นตัวอักษรอีกชุดหนึ่งเขียนว่า Zeiss Vario-Tessar ซึ่งเป็นชื่อของเลนส์ซูมจาก Zeiss และอีกฟากหนึ่งของแฟลชก็มีตัวเลขระบุช่วงของเลนส์อยู่ ซึ่งตัวเลขใน Vivo X70 5G หมายความว่าเป็นเลนส์ช่วง 16-50 mm f/1.89 – 2.2 ส่วนตัวเลขที่เขียนใน Vivo X70 Pro 5G หมายความว่าเป็นเลนส์ช่วง 16 – 125 mm f/1.75-3.4 ครับ
ซึ่งชุดกล้องหลังนี้ยื่นออกมาจากตัวเครื่องพอประมาณ ทำให้เวลาวางเครื่องกับพื้นแล้วจะมีอาการโยกเยกอยู่บ้าง เราจึงแนะนำให้ใส่เคสจะทำให้วางเครื่องได้มั่นคงขึ้นครับ ซึ่งในกล่องก็มีเคสแถมมาให้แล้ว
ชุดกล้องหลังของ Vivo X70 5G กับ Vivo X70 Pro 5G มีความแตกต่างกันอยู่ 2 จุด จุดแรกคือเลนส์หลักที่รุ่นน้อง Vivo X70 5G มีความละเอียด 40 ล้านพิกเซล f/1.89 ให้มุมภาพ 25 mm ส่วน Vivo X70 Pro 5G จะมีความละเอียด 50 ล้านพิกเซล f/1.75 ให้มุมภาพ 23 mm ทำให้กล้องหลักของ Vivo X70 Pro 5G เป็นกล้องที่ดีกว่า แต่ทั้ง 2 รุ่นใช้เซนเซอร์ตัวเดียวกันคือ Sony IMX766V และมีระบบ Gimbal Stabilization 3.0 ด้วยกันทั้งคู่ ลองดูเลนส์หลักให้ดี ๆ นะครับ เวลาที่เราเปิดแอปถ่ายรูปขึ้นมา แล้วลองเคลื่อนมือถือ เลนส์กล้องจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อชดเชยการสั่นไหวของมือ ทำให้ภาพนิ่งขึ้น ถ่ายวิดีโอนุ่มขึ้น
ส่วนอีกจุดหนึ่งที่ต่างกันคือเลนส์ซูม 5 เท่า แบบ periscope ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/3.4 ตัวนี้จะมีใน Vivo X70 Pro 5G เท่านั้น ทำให้มือถือรุ่นนี้มี 4 กล้องหลัง ส่วน Vivo X70 5G จะมีกล้องหลัง 3 ตัว
ส่วนเลนส์ที่เหมือนกันทั้ง 2 รุ่นคือเลนส์มุมกว้าง 0.6 เท่า f/2.2 และเลนส์ซูม 2 เท่า f/1.75 ซึ่งทั้ง 2 เลนส์นี้มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
ภาพถ่ายบุคคลจาก Vivo X70 Pro นั้นดูดีเป็นเอกลักษณ์มากครับด้วยการร่วมงานกับ Zeiss ทำให้มีโหมดถ่ายภาพฉากหลังเบลอที่ถอดแบบลักษณะเฉพาะตัวของเลนส์ Zeiss มาคือ
- Biotar โบเก้แบบเกลียว
- Sonnar ฉากหลังเบลอเยอะๆ โบเก้นุ่มเป็นครีม
- Planar โบเก้จานกลมคลาสสิก
- Distagon โบเก้นุ่มนวล ชวนฝัน
ซึ่งในสมาร์ตโฟนทั้ง 2 รุ่นยังมีเลนส์ซูม 2 เท่า ให้ภาพเทียบเท่าเลนส์ 50 mm ซึ่งเป็นระยะที่เหมาะสมสำหรับการถ่าย Portrait ครึ่งตัว ก็ทำให้ได้ภาพสวยงามดูดีแบบนี้ครับ
การถ่ายภาพทั่วไปก็มีทั้งระบบ HDR และ AI เพื่อช่วยวิเคราะห์การถ่ายภาพที่เหมาะสม ไม่ว่าจะถ่ายรูปแมว รูปอาหาร รูปต้นไม้ รูปอาคาร ก็ถ่ายได้สวยงาม พร้อมโหมดมาโครอัตโนมัติที่สลับไปใช้เลนส์มุมกว้างมากมาถ่ายแทน เวลาถ่ายวัตถุใกล้ ๆ ทำให้ได้ภาพที่คมชัด
แม้ AI จะเข้ามาช่วยปรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อยแบบอัตโนมัติได้ แต่ถ้าต้องการภาพที่สว่างขึ้นไปอีก ก็สามารถเลือก Night Mode ได้ โดยเมื่อเลือกโหมดนี้ Real-Time Extreme Night Vision จะทำงานอัตโนมัติเพื่อให้เราเห็นภาพก่อนถ่ายสว่างใกล้เคียงกับภาพที่จะถ่ายได้ ทำให้จัดเฟรมได้ง่ายขึ้น ซึ่งภาพถ่ายกลางคืนจาก Vivo X70 Series นั้นสวยงามมากครับ ให้ภาพสว่างเป็นธรรมชาติ เลนส์ Zeiss ที่เคลือบผิวเลนส์แบบ T* ก็ลดแสงสะท้อนต่างๆ ทำให้ภาพใสเคลียร์ นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในช่วงหน้าฝน ที่ฟ้าปิดทุกวัน ผมคงได้ถ่ายดาวสวย ๆ ให้ดูแล้วแหละครับ
แต่เพราะเลนส์หลักของมือถือทั้ง 2 รุ่นนี้ต่างกัน Vivo X70 5G จะถ่ายกลางคืนได้มืดกว่านิดหน่อย และถ่ายได้มุมภาพแคบกว่า Vivo X70 Pro 5G อยู่หน่อยหนึ่งครับ
การซูมของ Vivo X70 Pro ที่มีเลนส์ Periscope 5 เท่า ให้ผลงานการซูม 5 เท่า ที่ดีมาก ภาพออกมาชัดเจน ส่วนการซูมดิจิตอลที่ 10 เท่าก็ยังให้ผลงานที่ดีอยู่ และเราสามารถซูมได้สูงสุด 60 เท่า ซึ่งภาพจะแตกชัดเจน แต่ก็ยังมีรายละเอียดให้เห็นอยู่ครับ แต่เลนส์ Periscope และเลนส์ซูม 2 เท่าจะไม่ทำงานเมื่อถ่ายในที่แสงน้อยมาก ๆ นะครับ จะใช้เลนส์หลักมาซูมแทน
ส่วนการซูมของ Vivo X70 รุ่นน้อง ที่มีเลนส์ซูมสูงสุด 2 เท่า ก็สามารถซูมดิจิตอลได้สูงสุด 20 เท่าครับ อำนาจการซูมต่างจากรุ่นพี่อยู่เยอะเลย
ส่วนการถ่ายวิดีโอยามค่ำคืนที่แสงน้อยมาก ๆ ก็สามารถเปิดโหมด Super Night Video เพื่อให้กล้องรับแสงเพิ่มขึ้นได้อีก ซึ่งทำให้เฟรมภาพลดลงนิดหน่อย แต่ก็ทำให้วิดีโอสว่างขึ้น เหมาะสำหรับการใช้ถ่ายในที่มืดมาก ๆ ถ้าไม่มืดมาก ถ่ายวิดีโอแบบ 30 fps ปกติก็ให้ภาพสวยงามแล้ว
กลับมาที่กล้องหน้ากันต่อครับเป็นจุดเล็กๆ อยู่ตรงนี้ ซึ่ง Vivo X70 Series 5G ทั้ง 2 รุ่นเป็นตัวเดียวกันคือความละเอียด 32 ล้านพิกเซล f/2.45 แบบ Fixed Focus
ซึ่งก็ให้ภาพ Selfie แบบ Portrait หน้าชัดหลังเบลอได้สวยงาม สีผิวดี ละลายฉากหลังได้เนียนแบบนี้เลย แต่โหมด Portrait นี้ไม่สามารถเลือกการละลายฉากหลังแบบเลนส์ Zeiss ได้เหมือนกล้องหลัง น่าเสียดายตรงนี้
วิดีโอจากกล้องหน้าสามารถถ่ายได้ความละเอียดสูงสุด 1080p 30fps ค่ะ แถมสามารถเปิดโหมดหน้าชัดหลังเบลอแบบนี้ได้ด้วย ถ่ายสวยแบบนี้ ต้องถ่ายวนไปค่ะ
หน้าจอ
จบเรื่องกล้องที่เรารีวิวละเอียดอย่างลึก มาดูเรื่องหน้าจอกันต่อครับ Vivo X70 Series 5G ทั้ง 2 รุ่นเป็นจอ AMOLED ขนาด 6.56 นิ้ว พร้อม Refresh Rate 120Hz และรองรับ HDR10+ และมีเซนเซอร์อ่านลายนิ้วมือบนหน้าจอเหมือนกันครับ แต่ที่ต่างกันนิดหน่อยคือกระจกหน้าจอของรุ่น Pro จะโค้งนิดๆ ให้สัมผัสถนัดมือและดูหรูหรากว่ากระจกหน้าจอรุ่นธรรมดาที่เป็นกระจกเรียบครับ
ซึ่งหน้าจอตัวนี้ก็ให้สีสันได้สดสวยงามดี เปิด Youtube ก็แสดง HDR ได้เต็มที่ แต่ไม่รองรับ HDR บน Netflix รองรับเพียงความละเอียด 1080p เท่านั้น
ดูรอบ ๆ เครื่อง Vivo X70 Series 5G ทั้ง 2 รุ่นนั้นเหมือนกัน คือด้านล่างก็เป็นลำโพงที่ให้เสียงได้ดังดี แต่มีแค่ลำโพงเดียวด้านล่างนะครับ ไม่ใช่ลำโพงสเตอริโอ แล้วก็มีพอร์ต USB-C สำหรับเสียบชาร์จและเสียบหูฟัง ซึ่งในกล่องก็มีหัวแปลงเป็น 3.5 mm พร้อมหูฟังมาให้ด้วย ส่วนการรองรับหูฟัง Bluetooth ก็รองรับ Codec หลากหลายมากครับ SBC, AAC, LDAC, aptX, aptX HD, aptX Adaptive ก็รองรับทั้งหมดครับ เว้นแต่ของใหม่สุด aptX Lossless เท่านั้นเอง
ส่วนด้านบนจะมีช่อง Infrared สำหรับใช้ร่วมกับแอป Smart Remote เพื่อควบคุมอุปกรณ์ในบ้านแทนรีโมตได้
สมาร์ตโฟนทั้งคู่มาพร้อมระบบชาร์จเร็ว Vivo FlashCharge 44W โดย Vivo X70 5G มีแบตเตอรี่ 4400 mAh ส่วน X70 Pro 5G มีแบต 4450 mAh ครับ ต่างกันนิดเดียว ซึ่งเราใช้งาน Vivo X70 Pro อยู่ราวสัปดาห์ แบตเตอรี่ก็อยู่ทนทานดีมาก ใช้จบวันได้สบาย
สเปก
Vivo X70 Series 5G ทั้ง 2 รุ่นใช้ชิป Mediatek Dimensity 1200 vivo 5G Platform เหมือนกัน ซึ่งทดสอบ Geekbench 5 ได้คะแนน Multicore ราวๆ 3,000 คะแนน ก็เทียบเท่า Snapdragon 870 ส่วนคะแนนกราฟิกจาก 3Dmark ชุด Wildlife Stress Test ก็ได้คะแนนสูงสุดราว ๆ 4100 และลงไปต่ำสุดราว ๆ 3400 คะแนน ซึ่งถือว่าประสิทธิภาพค่อนข้างเสถียร ไม่ลดลงมากนักจากความร้อน
เมื่อเราเอาไปเล่นเกม Genshin Impact ที่ปรับคุณภาพระดับสูงสุด พร้อมเปิด 60 fps ก็สามารถเล่นได้ลื่นไหลดีครับ เล่นต่อเนื่องได้ยาว ๆ โดยที่เครื่องไม่ร้อนมากนักด้วย
แม้ว่าคะแนนเทสต์ออกมาใกล้เคียงกัน แต่หน่วยความจำไม่เท่ากันครับ Vivo X70 5G มาพร้อมแรม 8 GB และความจุ 128 GB ส่วน Vivo X70 Pro 5G มาพร้อมแรม 12 GB และความจุ 256 GB ซึ่งทั้งคู่ใช้พื้นที่เก็บข้อมูลแบบ UFS 3.1 เหมือนกัน มีความเร็วในการอ่านเกือบ 2 GB/s และเขียนราว ๆ 1 GB/s ทำให้ระบบสามารถดึงความจุของเครื่องไปใช้แทน RAM ได้ 4 GB เพื่อให้เครื่องทำงานลื่นไหลเวลาที่ต้องใช้แรมเยอะ ๆ ครับ
จุดสังเกต
Vivo X70 Series 5G ทั้ง 2 รุ่นเราว่าอยู่ที่ Funtouch OS ครับ ที่แอป Browser, iManager และ V-Appstore ขยันส่งแจ้งเตือนมาก ๆ อย่าง Browser ก็จะส่งข่าวมาเรื่อยๆ หรือ V-Appstore จะเด้งขึ้นมาเองทุกครั้งที่โหลดแอปจาก Google Play Store เพื่อแนะนำแอปในสโตร์ของตัวเอง แม้แต่หน้าล็อก ถ้าใช้แบบ Lockscreen Poster ที่จะเปลี่ยนรูปไปเรื่อย ๆ ก็จะมีลิงก์ไปอ่านเรื่องราว ก็อาจจะแตะโดนได้ จึงเป็นงานของผู้ใช้ที่ต้องเข้าไปเลือกรับเฉพาะสิ่งที่ต้องการครับ และสามารถตั้งค่าปิดได้ นอกจากนี้ยังไม่มีระบบชาร์จไร้สายครับ
รีวิวที่ดีต้องมีราคา
Vivo X70 5G เปิดตัวที่ราคา 21,999 บาท ส่วน Vivo X70 Pro 5G ตัวท็อปตั้งราคาไว้ที่ 27,999 บาทครับ