วันนี้นาวไม่ได้มาแบบธรรมดา ๆ นะคะ เพราะมาเพราะกับ NISSAAN KICKS e-POWER และนี่คือสีใหม่ล่าสุด Night Blue ทรงของเขาจะ โฉบเฉี่ยวและดูสปอร์ตมาก ไปทำงานกันเลยค่ะ

ตอนนี้เรากำลังจะเข้าไปที่ออฟฟิศแบไต๋กัน หลังจากที่ล็อกดาวน์ไปนานมาก วันนี้นาวมากับ NISSAN KICKS e-POWER โดยความรู้สึกแรกที่ได้ขับนะคะ รู้สึกว่าสั่งได้ดั่งใจไม่ว่าจะเป็นคันเร่งหรือเบรก แค่ถอนคันเร่งก็จะมีเทคโนโลยี One Pedal หรือ คันเร่งอัจฉริยะที่เวลาเราเหยียบคันเร่งรถก็จะพุ่งไปข้างหน้าปกติ แต่พอเราถอนความเร่งก็จะชะลอให้เราโดยอัตโนมัติ ที่สำคัญประหยัดพลังงานด้วยค่ะ

ดีไซน์

ดีไซน์ภายในเป็นแบบโมเดิร์นนะคะ ข้างในจะเป็นสีดำทั้งเบาะ ทั้งคอนโซล และเบาะยังเป็นเบาะหนัง และที่ถูกใจก็คือจอมาตรวัดดิจิทัลแบบสี TFT ขนาด 7 นิ้ว และยังแบ่งสัดส่วนได้ดูง่ายมาก ๆ เลยด้วย

พูดถึงเรื่องจอแล้วก็นี่เลย NissanConnect ขนาด 8 นิ้ว จอกว้างใกล้เคียง iPad mini เลย สามารถเชื่อมต่อกับ Apple Carplay และ Android Auto

และในที่สุดเราก็มาถึงออฟฟิศแบไต๋แล้ว เดี๋ยวนาวไปทำงานก่อนนะคะ

หลังเสร็จงาน

หลังจากที่ถ่ายงานเสร็จแล้วนาวก็จะไปที่ Letana Hotel & Restaurant แต่เดี๋ยวนาวจะใช้ Google Map นะคะ เพราะนาวไปไม่ถูก

เดี๋ยวเรามาพูดเรื่อง NISSAN KICKS e-POWER กันต่อดีกว่าค่ะ นอกจากดีไซน์ข้างใน และฟังก์ชันการใช้งานต่าง ๆ ที่ใช้งานง่ายแล้วก็ยังมีจุดเด่นคือ e-Power ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องชาร์จไฟ เพราะเราใช้การเติมน้ำมันเอา ! งงป่ะ ?

ข้อดีก็คือ เวลาทีั่เราเดิินทางไกลก็ไม่ต้องกังวลเลยเพราะเราเติมน้ำมันถึงแม้จะเติมน้ำมันแต่เราใช้การขับเคลื่อนเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าแทนเครื่องยนต์ ทำให้เวลาเร่งเครื่องก็จะตอบสนองเร็วเหมือนเราขับรถไฟฟ้าเลยค่ะ

คำถามคือน้ำมันที่เติมไปจะไปอยู่ไหน ?

คำตอบก็คือน้ำมันใช้สำหรับเครื่องยนต์ที่ปั่นไฟเข้ามอเตอร์ ถึงแม้รถ e-Power จะมีเครื่องยนต์ แต่ไม่ได้ใช้ขับเคลื่อนตัวรถ เพียงแค่ปั่นกระแสไฟฟ้าเข้าไปในแบตเตอรี่ และแบตเตอรี่ก็จ่ายไฟเข้าไปที่มอเตอร์รถยนต์ และด้วยเหตุนี้แม้ว่ารถ e-Power จะเติมน้ำมันแต่ก็ยังประหยัดกว่ารถทั่วไปที่เติมน้ำมันแน่นอนค่ะ

ในมุมมองของนาว NISSAN e-Power ตัวนี้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ ของคนที่อยากใช้รถ EV เพราะไม่ต้องหาที่ชาร์จ เหมาะสำหรับคนที่อยู่คอนโด หรือว่าหอพักกลางเมือง ทำให้หมดปัญหาเรื่องหาที่ชาร์จ หรือว่าไม่มีพื้นที่สำหรับการติดตั้งที่ชาร์จเอง

และแล้วก็มาถึงร้านกันแล้วนะคะ เดี๋ยวนาวจะกินให้พุงกางไปเลย

เทคโนโลยีการขับขี่

หลังจากอิ่มแล้วนาวก็จะมาพูดถึงความพิเศษของ NISSAN KICKS e-POWER และกันค่ะ นั่นก็คือ NISSAN 360 Safety Shield ซึ่งคือเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกให้การขับขี่ของเราปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

เริ่มจากกล้องรอบทิศทางก่อนนะคะ Intelligent Around View Monitor จะเห็นว่าเขาจำลองภาพมุมสูงของรถ หากว่ามีสิ่งกีดขวางก็จะแสดงผลออกมาให้เราจอดได้ง่ายขึ้น และระหว่างขับก็ระวังตัวรถได้ง่ายขึ้น

โดยจะทำงานร่วมกับ Moving Object Detection รถจะส่งสัญญาณเตือนเมื่อเจอสิ่งกีดขวาง แต่ฟังก์ชันนี้จะทำงานต่อเมื่อนเราขับไม่เกิน 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

กระจกมองหลังของเราก็สามารถใช้เป็นกล้องมองหลังได้ด้วย

ในส่วนของการเบรกก็จะมีเทคโนโลยีอัจฉริยะ เมื่อเสี่ยงต่อการชนระบบก็จะส่งเสียงเตือนเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุค่ะ

ในเรื่องของการทรงตัวนะคะก็จะมี Vehicle Dynamic Control ที่จะทำงานเมื่อรถของเราเริ่มขับเหวี่ยงไม่ปกติ เช่น ถนนลื่น และเทคโนโลยีตัวนี้ก็จะมาช่วยเราควบคุมรถเพื่อช่วยควบคุมการไหลของล้อ

และฟังก์ชันสุดท้ายก็คือ Driver Attention Alert เป็นเทคโนโลยีช่วยเตือนเมื่อผู้ขับเหนื่อยล้าจากการขับขี่ โดยจะส่งเสียงเตือนเมื่อเราขับไม่ปกติ เช่น การขับส่ายไปส่ายมา ใช้ความเร็วสูงไป ซึ่งก็จะช่วยให้เราลดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราได้ค่ะ

และทั้งหมดนี้ที่นาวพูดมาก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของ NISSAN 360 Safety Shield นะคะ ที่จะช่วยให้เราขับได้ปลอดภัยมากขึ้นค่ะ

แล้วก็จบกันไปแล้วนะคะกับ VLOG ใช้ชีวิต (เกือบ) ปกติ กับ นาวลิ้ม ถึงแม้เราจะต้องใส่หน้ากากและใช้ชีวิตแบบรักษาระยะห่าง นาวก็ยังได้ไปทำงานซื้อของกิน ก็ถึงว่ามีความสุขขึ้น

ราคา

และสุดท้ายนี้นะคะ รีวิวที่ดีจะต้องมีราคาค่ะ NISSAN KICKS e-POWER ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 889,000 บาท ราคาเมื่อเทียบกับความสามารถแล้วถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว แถมด้วยรางวัลการันตีเทคโนโลยียานยนต์จากประเทศญี่ปุ่นด้วยค่ะ

นอกจากนี้เขายังมีแพ็กเกจ ‘ขับสบาย หายห่วง 5 ปี’ รับประกันระบบ e-POWER 5ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และรับประกันแบตเตอรี่ 10 ปี หมดกังวลเรื่องค่าดูแลรักษาไปได้ยาว ๆ เลย

เรียกได้ว่าขับสบายหายห่วงกันไปเลยกับ NISSAN KICKS e-POWER อีกขั้นของเทคโนโลยี Hybrid ที่แรงกว่า ประหยัดกว่า

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส