Nespresso นี่ขยันจริง ๆ เมื่อปีก่อนผมรีวิว Nespresso Gran Lattissima เครื่องรุ่นใหญ่ที่สามารถทำเมนูกาแฟนมได้อัตโนมัติ พร้อมเล่าประวัติของแบรนด์ Nespresso อย่างละเอียดไปแล้ว มาปีนี้ก็มีเครื่องใหม่ที่น่าสนใจมาก ๆ มาให้ผมรีวิวเพิ่ม นี้คือ Nespresso Atelier เครื่องรุ่นใหม่ที่ราคาย่อมเยากว่า Gran Lattissima แต่ตอบสนองความต้องการของคนรักกาแฟได้มากขึ้น ต้องเล่ากันละเอียดครับ ว่ารุ่นนี้ดียังไง
จุดเด่นของกาแฟแบรนด์ Nespresso คือแคปซูลกาแฟที่ทำจากอะลูมิเนียมที่โดยผลิตในสวิสเซอร์แลนด์ครับ ทำให้รักษาความสดใหม่ของกาแฟได้ยาวนานนับปี และใช้งานง่าย ไม่ว่าเครื่องชงกาแฟของ Nespresso รุ่นไหน ๆ ไม่ว่าจะถูกหรือแพง ก็สามารถทำกาแฟ Espresso และ Lungo ได้เหมือนกันหมด เพราะอาศัยน้ำร้อนแรงดัน 19 บาร์ในการขับกลิ่นรสของกาแฟให้ออกมาจากแคปซูล พร้อมได้ Crema หรือชั้นฟองละเอียดเหนือกาแฟที่สวยงามด้วย
ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึงนาทีเท่านั้น อย่างที่ผมทำกาแฟให้ดู ก็ได้กาแฟคุณภาพและรสชาติที่ดีทุกครั้งที่ชง ไม่ว่าใครจะชงก็ตาม ก็ให้รสกาแฟที่สดใหม่ กลิ่นหอมมาก ราวกับมีบาร์ริสต้าส่วนตัวมาอยู่ในบ้าน
ความแตกต่างระหว่างเครื่องชงกาแฟ Nespresso ในรุ่นเริ่มต้นกับรุ่นนี้คือเมนูที่ทำได้ครับ เครื่องรุ่นเริ่มต้นของ Nespresso คือ Essenza Mini จะทำได้ 2 เมนูคือ Espresso ปริมาณน้ำ 40 ml และ Lungo ที่ใช้น้ำเยอะกว่าคือ 110 ml ก็เหมาะสำหรับคนชอบกินกาแฟดำนะครับ หรือจะเอา Espresso shot ที่ได้ไปทำเมนูอื่นต่อได้หลากหลาย ตัวเครื่องราคาเพียง 4,500 บาท
แต่เครื่องรุ่นใหม่ อย่าง Nespresso Atelier ที่เรารีวิวในครั้งนี้ทำได้ 9 เมนูหลัก ที่นอกจาก Espresso และ Lungo ที่ทำได้เหมือนกันแล้ว ยังมีเมนูเพิ่มเติมคือ
- Ristretto เมนูกาแฟดำเข้มข้นด้วยน้ำน้อย 25 ml
- Hot Foam และ Cold Foam สำหรับปั่นนมร้อนและนมเย็นให้ขึ้นเป็นฟอง
- หมวดกาแฟนมก็มี
- Latte macchiato
- Iced frappe
- Cappuccino
- Mocha
มาดูด้านหลังกันบ้างครับ ตรงนี้จะเป็นแทงค์ไว้ใส่น้ำขนาดความจุ 1 ลิตร และด้านหน้าตรงนี้ก็จะเป็นช่องที่ใส่แคปซูลสำหรับทำกาแฟ
วิธีการใช้งาน
โดยวิธีการใช้งานเครื่องชงกาแฟรุ่นนี้ก็ง่ายมาก เพียงเติมน้ำ ใส่แคปซูล และสัมผัสที่ปุ่มเท่านั้นเอง ส่วนถาดวางแก้วด้านหน้านี้สามารถปรับระดับได้นะครับ ถ้าเป็นแก้ว Espresso เล็ก ๆ ก็ใช้ถาดรองติดตั้งในระดับบนได้ ส่วนถ้าเป็นแก้วสูง ๆ อย่าง Nespresso View Mug ตัวนี้ก็สามารถปรับถาดให้วางด้านล่างได้ ซึ่งถ้าดึงตรงนี้ออกมาก็จะเป็นที่เก็บแคปซูลกาแฟใช้แล้วครับ ซึ่งก็ถอดเก็บแคปซูลไปรีไซเคิลได้เรื่อย ๆ
ผมเริ่มทำเมนู Latte Macchiato ก่อนนะครับ เริ่มต้นจากการถอดถังน้ำด้านหลังนี้ออกมา แล้วดึงก้านฟองปั่นนมออกมาจากที่เก็บหลังเครื่อง จากนั้นยกส่วนหัวสีเงิน ๆ ที่มีโลโก้ Nespresso นี้ขึ้นมา เพื่อติดตั้งใส่ก้านปั่นกับเครื่อง
ต่อไปคือเตรียมแก้วสำหรับใส่กาแฟนมครับ ในชุด Nespresso Atelier จะมีแก้ว Nespresso View Mug มาให้ด้วย ผมก็จะอ้างอิงปริมาณจากแก้วนี้เป็นหลักนะครับ
วิธีทำคือรินนมร้อน 100 ml ลงในแก้ว ซึ่งถ้าเป็นแก้ว Nespresso View Mug ก็สูงราวๆ ขอบบนของหูแก้วด้านล่าง วางหน้าเครื่อง แล้วยกไม้ตีนมมาลง
แล้วใส่แคปซูลกาแฟที่ชอบลงไปในเครื่อง ซึ่งถ้าไม่รู้จะเลือกแคปซูลไหนดี ในชุด Atelier ก็จะมีแคปซูลกาแฟ 14 รสมาให้ทดลองชิมกัน ครั้งต่อไปจะได้ไปซื้อถูกกว่ารสไหนที่เหมาะกับเรา
ซึ่งผมแนะนำกาแฟกลุ่ม Barista Creations ที่ออกแบบมาเพื่อทำกาแฟนมโดยเฉพาะครับ อย่างสีอ่อนนี้คือ CHIARO จะหอมกลิ่นบิสกิตเมื่อผสมเข้ากับนม หรือสีเข้มขึ้นมาหน่อยอย่าง SCURO ก็จะเป็นกาแฟรสเข้มและหอมกลิ่นคั่วครับ
เสร็จแล้วกดปุ่ม Latte Macchiato เครื่องก็จะเริ่มปั่นนมให้เกิดฟองนมสวยงาม ซึ่งจะเห็นว่าระหว่างตีฟองนม ระดับนมในแก้วจะขึ้นสูงพอสมควรนะครับ ถ้าใช้แก้วอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ View Mug ก็ต้องเป็นแก้วที่มีปากกว้างพอสมควร อย่างน้อยต้องเกิน 7 cm แล้วเมื่อใส่นม 100 cc ต้องไม่เกินครึ่งหนึ่งของความสูงแก้ว ไม่งั้นเวลาปั่นนมมันจะหกเลอะครับ
หลังจากปั่นนมเสร็จ แล้วเครื่องก็จะทำกาแฟจากแคปซูลรินลงมา ก็เรียบร้อยพร้อมเสิร์ฟ ง่ายมาก ก็เรียบร้อยครับ ได้กาแฟ Latte Macchiato 3 ชั้นสวยงาม
ต่อมาผมจะทำเมนูพิเศษเฉพาะตัวที่ Nespresso Atelier ทำได้ให้ดูนะครับ คือเมนู Iced Frappe หรือกาแฟเย็นใส่นม ซึ่งจุดเด่นสำคัญเครื่องชงกาแฟ “Nespresso Atelier” สามารถปั่นฟองนมได้หลายประเภทเลยด้วย ทั้งนมวัว, นมแพะ, นมถั่วเหลือง, นมอัลมอนด์, นมข้าวโอ๊ต ฯลฯ ใครที่แพ้นมวัวไม่ต้องกลัวเลย
ผมทำตามสูตรที่ Nespresso ติดมากับเครื่องใบนี้นะครับ คือสำหรับ Iced Frappe ให้ใส่นมลงไป 80 ml คือถึงประมาณหูแก้วด้านล่างนี้ แล้วใส่น้ำแข็งลงไป 30 ml แล้วก็กด Iced Frappe เพื่อเริ่มทำได้เลย
Nespresso Atelier จึงเป็นเครื่องทำกาแฟแคปซูลที่ยืดหยุ่นกว่ารุ่นอื่นๆ นะครับ เพราะสามารถตีฟองนมและทำกาแฟได้ในเครื่องเดียว ทำให้ประยุกต์ทำเมนูได้หลากหลาย ทำเมนูเย็นก็ได้ ซึ่งสามารถดูสูตรกาแฟเพิ่มเติมจากเว็บ Nespresso ได้ครับ
แล้วทุกครั้งทำกาแฟเสร็จ ก็ต้องดึงก้านปั่นฟองนมนี้ออกมาทำความสะอาดนะครับ ส่วนแคปซูลกาแฟ หลังจากใช้เสร็จแล้วเมื่อเปิดช่องใส่แคปซูลครั้งต่อไป ตัวแคปซูลก็จะตกลงมาในช่องเก็บแคปซูลใช้แล้วด้านล่างนี้ ก็เก็บรวบรวมใส่ถุงที่ Nespresso ให้มา เพื่อส่งคืนร้านไปรีไซเคิลได้ เพราะแคปซูล Nespresso ทำจากอะลูมิเนียมทั้งหมด สามารถนำไปรีไซเคิลไปเป็นสิ่งใหม่ได้ไม่รู้จบ ส่วนผงกาแฟที่ใช้แล้วใสแคปซูล ก็จะถูกเอาไปใช้ต่อในด้านอื่นๆ เช่นการเกษตรเช่นกันครับ
ส่วนการบำรุงรักษา Nespresso Atelier ทำได้ไม่ยากครับ หลักๆ คือต้องมีการล้างตะกรันหลังจากใช้เครื่องไปสักระยะหนึ่ง เพราะน้ำที่เราใช้จะมีความกระด้าง หรือมีแร่ธาตุที่อยู่ในน้ำ พอใช้ไปสักพักก็จะไปเกาะในระบบท่อของเครื่อง โดยปกติตะกรันจะไม่ส่งผลต่อความเป็นพิษของอาหาร คือเราก็ยังกินได้ตามปกติ เพียงแต่รสชาติจะเปลี่ยนไป และทำให้ประสิทธิภาพเครื่องทำกาแฟลดลง
โดยในคู่มือ จะแถมกระดาษเพื่อวัดความกระด้างของน้ำที่เราใช้มาด้วย ซึ่งการรู้ว่าน้ำที่เราใช้มีความกระด้างระดับไหน ทำให้เราสามารถปรับเครื่องได้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะต้องล้างตะกรันในเครื่องครับ ดูวิธี setup ค่าน้ำนี้ในคู่มือของเครื่องนะครับ
เมื่อถึงเวลาต้องล้างตะกรัน จะมีไฟติดที่ Descaling เพื่อเตือนให้เราทำความสะอาด แล้วถ้าใช้ไปเรื่อย ๆ จนไฟนี้ติดค้าง เครื่องจะบังคับให้เราล้างตะกรันก่อนใช้งานครั้งต่อไป เพื่อรักษาคุณภาพของกาแฟให้ดีที่สุด
กระบวนการล้างนั้นไม่ยาก ใช้น้ำยาล้างตะกรันแบบน้ำ ที่มีจำหน่ายที่ร้าน Nespresso และทำตามวิธีในคู่มือเครื่อง เครื่องกาแฟของเราก็จะเหมือนใหม่ ทำกาแฟอร่อยๆ ออกมาให้กินโดยรสชาติไม่ดรอปครับ
จุดสังเกต
ส่วนจุดสังเกตของ Nespresso Atelier เราว่าอยู่ที่ความยืดหยุ่นของมันครับ คือเครื่องค่อนข้างให้เรามีส่วนร่วมกับกระบวนการทำกาแฟเยอะ ทั้งกำหนดปริมาณนมเอง ลำดับวิธีทำเอง ซึ่งต่างจากเครื่อง Nespresso Gran Lattissima ที่เราเคยรีวิวไป ที่แค่ใส่แคปซูล ใส่น้ำ ใส่นม ที่เหลือเครื่องก็จัดการให้เองทั้งหมด ไม่ต้องจำสูตรเอง กดปุ่มเดียวได้กาแฟนมเลย
ก็แล้วแต่ความต้องการของผู้ใช้ครับ ถ้าอยากสะดวกแต่ยืดหยุ่นน้อยก็ดูเป็นรุ่น Gran Lattissima หรืออยากสร้างสรรค์เมนูกาแฟใหม่ ๆ สนุกกับการปรับแต่งสูตรกาแฟ เครื่องรุ่น Atelier ก็เหมาะสมกับคุณครับ
รีวิวที่ดีต้องมีราคา
Nespresso Atelier นั้นอยู่ที่ 13,500 บาท ส่วนแคปซูลกาแฟนั้นเริ่มต้นที่ 20 บาทต่อแคปซูลครับ ซึ่งราคาจะแตกต่างกันตามชนิดของกาแฟที่เราเลือก คิดดูว่าเราได้กินกาแฟแค่แก้วละ 20 กว่าบาท ใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็ทำเสร็จ หรือเป็นกาแฟนมก็ได้ในราคาที่ถูกกว่าไปซื้อกินจากคาเฟ่เยอะ ถ้าคุณเป็นคนรักกาแฟคุณภาพ ชอบกินกาแฟนม ชอบดัดแปลงสูตรกาแฟต่าง ๆ มีเครื่อง Nespresso Atelier ติดบ้านไว้ ดีงามแน่นอน
หากใครสนใจสามารถสั่งซื้อได้ที่ Nespresso.com และ Nespresso Boutique ทุกสาขา หรือตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ