คุณรู้หรือไม่ประเทศไทยมีเป้าหมายในการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Carbon neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero greenhouse gas emission) ภายในหรือก่อนปี พ.ศ. 2608
การจะไปถึงเป้าหมายที่ว่านั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไป หนึ่งในสิ่งที่เรา ๆ ทำกันได้ คือการเริ่มหันมาเลือกใช้รถยนต์พลังงานทางเลือกมากขึ้น ในบรรดารถยนต์พลังงานทางเลือก รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าดูเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ด้วยราคาของรถยนต์ไฟฟ้าในบ้านเรายังถือว่าสูงพอตัว แต่วันนี้แบไต๋จะพามารู้จักกับ MG EP รถยนต์ไฟฟ้า 100% ราคาไม่ถึงล้าน! มาดูซิว่า รถคันนี้ดียังไง ใช้งานได้จริงมั้ย มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ที่สำคัญคุ้มค่าแค่ไหน แล้วเหมาะกับใครบ้าง
MG ค่ายรถที่บุกเบิกและทำให้ตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกในไทยเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน นับตั้งแต่เปิดตัว MG ZS EV รถเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% ที่ได้รับการตอบรับดีมากๆ จนทำให้เอ็มจีขึ้นเป็นผู้นำในกลุ่มนี้มาโดยตลอด
แล้ว MG ก็รุกตลาดนี้ต่อด้วย MG EP รถยนต์ไฟฟ้า 100% ในแบบ Station Wagon 5 ประตู ซึ่งต้องการให้รถรุ่นนี้เป็นมาตรฐานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทย ด้วยมิติตัวถังและพื้นที่ที่เพียงพอต่อการใช้งาน ให้ความสะดวกสบาย มีระบบความปลอดภัยตามมาตรฐาน ให้สมรรถนะของ EV แบบเต็มประสิทธิภาพ ให้ความประหยัดและคุ้มค่า
มองจากด้านนอกจะเห็นเลยว่า MG EP มีมิติตัวถังที่ใหญ่มาก มีพื้นที่เก็บสัมภาระเยอะ เรียกว่าไปกันได้ทั้งครอบครัว ขนไปหมดบ้านได้สบายเลยครับ เห็นข้างนอกแล้วเราไปดูข้างในกัน ในส่วนห้องโดยสาร มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับ Apple CarPlay และ Andriod Auto รูเสียบ USB 2 จุดตรงคอนโซลหน้ารถ
เบาะนั่งออกออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ นั่งสบาย เบาะหลังปรับพับได้แบบ 60:40 ช่วยเพิ่มความจุในการขนสัมภาระได้ถึง 1,456 ลิตร หมดกังวลเรื่องการขนสัมภาระหรือใครที่เป็นสายเก็บของใช้ไว้ในรถ น่าจะตอบโจทย์เลยล่ะครับ
เรื่องระบบความปลอดภัย MG จัดมาให้ครบ โดยแต่ละระบบจะมีการทำงานผสานกัน ทำให้เกิดความปลอดภัยและมีความมั่นใจในการขับขี่มากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน ระบบเบรกมือไฟฟ้าและระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง Auto Vehicle Hold
MG EP ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% โดยใช้แบตเตอรี่ Lithiuhm-Ion ความจุ 50.3 kWh ที่ผ่านการท ดสอบตามมาตรฐานการป้องกันน้ำและฝุ่น ระดับ IP67 สามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเป็นระยะทางไกลถึง ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง
นอกจากนี้ยังสามารถชาร์จพลังงานระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) ด้วย KERS Mode (Kinetic Energy Recovery System) โดยเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับด้วยกัน
ในด้านสมรรถนะ MG EP ให้พละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า พร้อมแรงบิด 260 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับเกียร์ไฟฟ้า ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาพร้อมรูปแบบการขับขี่ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Normal, Eco และ Sport
MG EP สามารถชาร์จไฟฟ้าได้ 2 แบบ คือ Quick Charge แบบ DC ตั้งแต่ 0 – 80% ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
Normal Charge แบบ AC ชาร์จ 0 – 100% ผ่าน MG Home Charger ที่เป็นหัวชาร์จ TYPE II ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที
ผู้ใช้งานรถ MG EP สามารถชาร์จไฟผ่าน สถานีชาร์จ MG Super Charge และเพิ่มความสะดวกด้วยการใช้แอปพลิเคชัน MG iSMART ในการค้นหาสถานี จองและจ่ายเงินจากการชาร์จไฟในแอปเดียว
วิธีการชาร์จไฟด้วย MG Super Charge
- โหลดแอปพลิเคชัน MG iSMART
- ลงทะเบียนในระบบ i-SMART
- a
(Username: 0909085851
Pass: mgev2021
Pin Code: 123456) - เติมเงิน MG Wallet (สามารถผูกบัตร MG Smart Card โดยการสแกนบาร์โค้ดหลังบัตร เข้ากับบัตรเครดิตได้ ไว้ใช้สำหรับชาร์จตู้ MG Super Charge)
- ค้นหาสถานีชาร์จ MG Super Charge ได้ทั่วประเทศ
- จอง MG Super Charge (ล่วงหน้าได้ 15 นาที)
- ใช้แอป i-SMART ค้นหาสถานีชาร์จ หรือใช้ MG Smart Card แตะที่ตู้ เพื่อเริ่มการชาร์จ (เช็กสถานะการชาร์จได้ในแอป)
- หยุดการชาร์จ หากเริ่มชาร์จด้วยแอป i-SMART สามารถสั่งหยุดชาร์จได้จากในแอป หรือหากสั่งชาร์จด้วย MG Smart Card ต้องกดหยุดชาร์จที่หน้าจอตู้ และแตะบัตรที่ตู้
- สรุปค่าใช้จ่าย สามารถดูข้อมูลค่าใช้จ่ายการชาร์จครั้งล่าสุด รวมถึงดูข้อมูลการชาร์จย้อนหลังได้ในแอป (ดูแบบรายเดือนได้ว่าชาร์จไปทั้งหมดกี่บาท)
ทั้งนี้ MG EP สามารถใช้งานสถานีชาร์จสาธารณะได้ทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 800 แห่ง ในจำนวนนี้เป็น MG Super Charge ถึง 115 แห่ง
รถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก เพราะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ชาร์จได้ทั้งที่บ้าน แถมสถานีชาร์จก็เริ่มมีเยอะขึ้นแล้ว
ทาง MG ได้คำนวณความคุ้มค่าต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้งผ่าน Home Charger จากแบตเตอรี่ 0-100% จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 200 บาท เทียบกันชัด ๆ ไปเลยว่าตกกิโลเมตรละ 0.52 บาท (เทียบกับรถอีโคคาร์ที่เติมน้ำมัน E20 ทั่วไป ตกกิโลเมตรละประมาณ 2.625 บาท) ถือว่าประหยัดไปได้มากเลยทีเดียว
MG EP นอกจากช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีค่าบำรุงรักษาน้อยมาก คือในช่วง 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตรแรก จะมีค่าใช้จ่ายรวมไม่เกิน 8,000 บาท (7,828 บาท)
MG ยังมีเทคโนโลยีการเปลี่ยนแบตเตอรี่แบบ Module ในกรณีหากจำเป็นต้องมีการบำรุงรักษานั้นสามารถแยกเปลี่ยนเฉพาะ Module นั้น ๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งชุด จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายระยะยาวได้ รวมถึงการรับประกันแบตเตอรี่นาน 8 ปีหรือ 180,000 กิโลเมตร แถมที่ชาร์จให้ไปติดที่บ้านฟรีๆ
ข้อสังเกต
รูเสียบ USB มีเพียงแค่ 2 รูด้านหน้าคนขับ น่าจะเพิ่มมาให้คนนั่งด้านหลังด้วย รวมถึงน่าจะใส่ไฟห้องโดยสารกลางมาให้ด้วย สำหรับการเป็นรถครอบครัวโดยสมบูรณ์
กุญแจรถยังเป็นแบบรีโมตธรรมดาอยู่ ถ้าเป็น smart key หรือ keyless น่าจะครบและสะดวกกว่านี้
MG EP เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริง คุณจะขับรถคันนี้ไปทำงาน ไปเที่ยว ไปคนเดียว ไปเป็นกลุ่ม หรือจะใช้ขนของยังได้เลย ก็ใหญ่ซะขนาดนี้ เรื่องความคุ้มค่าก็ต้องบอกว่าราคา 988,000 บาท แลกกับทั้งหมดที่บอกไปนับได้ว่าเกินคุ้ม สุดท้ายรถยนต์ไฟฟ้าคันนี้เหมาะกับใคร ก็ต้องบอกว่าเหมาะกับทุกคนที่อยากได้รถยนต์ไฟฟ้าไว้ใช้งาน