ในวันที่โลกหมุนไวชั่วพริบตา คุณผู้ชมสงสัยไหมครับว่าหลักสูตรแบบไหนที่จะเหมาะกับนักเรียนในยุคสมัยนี้ ถ้าคุณผู้ชมยังคิดไม่ออกไม่เป็นไร แต่ในคลิปนี้ผมจะค่อย ๆ พาคุณไปรู้จักกับ VERSO International School ซึ่งจุดเด่นของที่นี่คือมีหลักสูตรที่ชื่อว่า The Future Ready Curriculum ที่จะทำให้นักเรียนของ VERSO ทุกคนพร้อมรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา

และหลักสูตร The Future Ready Curriculum คืออะไร โรงเรียน VERSO International School มีอะไรบ้าง วันนี้ผมหนุ่ย พงศ์ศุขจะพาทุกคนไปแบไต๋กันครับ

คุณผู้ชม ตอนนี้ผมก็อยู่ที่ Black Box Theatre ของ VERSO นะครับ แน่นอนห้องนี้เอื้อต่อการแสดงมาก ๆ แถมมีฉากหลังเป็น Green Screen ด้วย แต่ถ้าใครไม่อยากเป็นเบื้องหน้า สนใจงานเบื้องหลัง ตัดต่อ, เขียนบท, กำกับ VERSO ก็รองรับเช่นกัน

ส่วนเรื่องดนตรีที่มีก็จะมี Studio ซ้อมดนตรีให้นักเรียนได้ใช้กัน รวมไปถึงการสอนใช้โปรแกรมทำเพลง เขียนบีทต่าง ๆ ที่นี่มีครบครับ

ซึ่งทั้ง 2 ห้องนี้ก็จะอยู่ THE HUB นะครับ ซึ่งจะเป็นอาคารกลางของ VERSO ที่จะมีทั้งออฟฟิศของทางโรงเรียนไว้ต้อนรับ รวมถึงเป็น Working Space ของทั้งครู – ผู้ปกครอง – นักเรียน เดี๋ยวเราไปดู Working Space กัน
และนี่ก็คือ Working Space สำหรับคุณครูนะครับ ใช้สำหรับเตรียมการสอนของนักเรียน

แต่ก่อนที่เราจะไปเดินทัวร์โรงเรียน เรามารู้จัก The Future Ready Curriculum หรือถ้าเป็นไทยตรงตัวก็หลักสูตรการเตรียมความพร้อมต่อโลกอนาคต หลักสูตรนี้ถ้าพูดให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็คือ การเรียนการสอนของเด็กที่นี่จะแบ่งเป็นวิชาพื้นฐาน 30% และการทำโปรเจกต์ 70%

โปรเจกต์คืออะไร โปรเจกต์คือการทำในสิ่งที่นักเรียนสนใจ ยกตัวอย่างที่ผมฟังมาเด็กบางคนสนใจเรื่องการผ่าตัดสมอง, การสร้างบ้านให้เต่า, หรือการตัดเย็บผ้ากันเปื้อน ว้าว! ความสนใจของนักเรียนที่นี่หลากหลายมากเลยนะครับเนี่ย!

หลังจาก VERSO รับรู้ความต้องการของนักเรียนแล้ว จะมีคุณครู ซึ่งที่นี่จะเรียกคุณครูว่า Learning Designers มาออกแบบวิชาพื้นฐานให้เข้ากับความสนใจของเด็ก ๆ ไม่ใช่ให้เด็ก ๆ ปรับเข้าหาวิชาของครู เช่น เด็กที่สนใจการผ่าตัดสมองถ้าจะเรียนวิทยาศาสตร์ ก็จะเน้นไปที่แขนงที่เอื้อต่อความสนใจของเด็ก ส่วนวิชาเฉพาะทางก็จะมี Expert จากนอกโรงเรียนมาสอน ซึ่ง Expert เหล่านั้นก็ต้องปรับการสอนให้เข้ากับช่วงวัยของเด็ก ๆ ด้วย

แต่นอกจากโปรเจกต์ส่วนตัวที่ทำตามแพสชันของเด็ก ๆ แล้ว นักเรียนทุกคนจะต้องทำโปรเจกต์กลุ่มด้วยเช่นกัน ตรงนี้ Learning Designers จะมีการคิดโปรเจกต์ไว้จำนวนหนึ่ง แล้วให้นักเรียนเลือกว่าในโปรเจกต์เหล่านี้นักเรียนอยากจะทำอะไร แล้วก็ไปจับกลุ่มกันทำ ซึ่งปริมาณโปรเจกต์และชนิดของโปรเจกต์ ก็จะขึ้นอยู่กับภาพรวมความสนใจของเด็กในห้องนั้น ๆ

ซึ่งห้องหนึ่งอัตราส่วนสูงสุดก็คือครู 1 คนต่อเด็ก 12 คนครับ จะไม่เกินนี้ เรียกได้ว่าการเรียนการสอนใกล้ชิดอยู่ในสายตาอย่างแน่นอนครับ

และในช่วง Grade 9 – 12 หรือพูดง่าย ๆ ก็คือมัธยมปลาย VERSO จะส่งนักเรียนไปฝึกงานในบริษัทต่าง ๆ ตามความสนใจของนักเรียน เพื่อรับประสบการณ์ทำงานจริง ๆ

และเมื่อเรียนจบแล้วก็จะได้ทรานสคริปต์ 2 ใบนะครับ ใบแรกเป็นทรานสคริปต์บ่งบอกผลการเรียนปกติ ส่วนอีกใบจะเป็น Mastery Transcript ที่จะบ่งบอกถึงทักษะอื่น ๆ นอกตำราเรียนของเด็ก ที่มีมากถึง 141 Skill ยกตัวอย่างเช่น Entrepreneurship Skills, Critical Thinking Skills, Problem Solving skills และ Communication skills

ในไทยใบนี้อาจจะยังเป็นเรื่องใหม่ เพราะยังไม่แพร่หลายมากพอ แต่การต่อมหาวิทยาลัยต่างชาติ โดยเฉพาะในอเมริกาถือเป็นสิ่งที่มีผลมากพอสมควรเลยครับ

เพราะต้นแบบของหลักสูตรนี้คือ American Curriculum แบบประยุกต์ จาก New York State Standard ซึ่งในเมืองนอกก็มีวิธีการสอนแบบนี้ แต่ในเมืองไทย VERSO International School ถือเป็นผู้บุกเบิก The Future Ready Curriculum เลยครับ

พื้นที่ใน VERSO International School กว้างมากถึง 168 ไร่ นอกจาก THE HUB ที่เราเพิ่งไปมาก็ยังมี

  • Lower Loop สำหรับเด็กเตรียมอนุบาลถึงเกรด 4
  • Middle Loop เกรด 5 – 8
  • Upper Loop เกรด 9 – 12

พร้อมสนามฟุตบอล สนามบาส สระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิก รวมไปถึงห้องต่าง ๆ เดี๋ยวเราไปเดินดูกันเลยครับ
นี่คืออาคารเรียน Lower Loop สำหรับเด็กเตรียมอนุบาลถึงเกรด 4 นะครับ

ในส่วนของเนื้อหา คุณครูจะเน้นไปที่ความอยากรู้อยากเห็น สอนให้เด็กรู้จักตั้งคำถาม เพราะคำถามที่ดี จะนำไปสู่การเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยม

จากนั้นคุณครูก็จะนั่งคุยกับเด็ก สังเกตความสนใจของเขา เพื่อวางแผนการเรียนการสอนให้ตรงกับสิ่งที่เด็กสนใจ

แต่แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ต้องสนุกสนาน ต้องพัฒนาการเรื่องสื่อสารและการอยู่ร่วมกัน เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับเด็กวัยนี้

และที่ Lower Loop เองก็จะมีสระว่ายน้ำเป็นของตัวเองด้วย ซึ่งความลึกก็จะเหมาะสมกับช่วงวัย โดยจะลึกสูงสุดอยู่ที่ 25 เมตรเท่านั้นครับ

อีกจุดที่ผมชอบในแนวคิดมาก ๆ ก็คือสนามเด็กเล่นนะครับ ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่ามันค่อนข้างมีความจริงจังในการปีนป่ายและผาดโผนพอสมควร ซึ่งตรงนี้ VERSO บอกว่าต้องการจะปลูกฝัง Confident หรือความมั่นใจในตัวเด็กตั้งแต่เด็ก ให้กล้าที่จะเอาชนะความกลัวในจิตใจ แต่ถ้าสมมติเด็กเกิดพลาดล้มขึ้นมา ก็ไม่อันตรายแน่นอนครับ เพราะเป็นพื้นทราย คุณพ่อคุณแม่สบายใจได้แน่นอน

Middle Loop นะครับสำหรับเด็กเกรด 5 – 8 นี่เลย ก็จะมีกระดาษ Post It ของเด็ก ๆ ที่จะแปะไอเดียไว้ว่าเขาสนใจเรื่องอะไร และนี่ครับ โปรเจกต์ที่ผมพูดถึงในหลักสูตร The Future Ready Curriculum ก็จะมามากมายเลยนะครับ ซึ่งตรงนี้ VERSO ก็จะเริ่มสอนตั้งแต่การค้นหาตัว การทำรีเสิร์ช การนำเสนอหัวข้อ การลงมือทำ จนไปถึงการพรีเซนต์งาน เรียกได้ว่ากระบวนการทำงานจริง ๆ นักเรียนจะได้เรียนรู้อย่างครบถ้วน

ซึ่งโปรเจกต์กลุ่มจะทำเทอมละ 2 ตัว โปรเจกต์เดี่ยวจะทำเทอมละ 1 ตัวครับ

ส่วนวิชาพื้นฐานจะเป็นการสอนมากกว่า 1 วิชาพร้อมกัน แน่นอนว่าที่นี่ไม่ได้สอนวิชาการแบบเพียว ๆ แต่จะเป็นการสอดแทรกวิชาเรียนให้มาอยู่ในสิ่งที่น่าสนใจรอบตัว เช่น “นักเรียนรู้ไหมว่าสะพานที่เราใช้กัน เขาสร้างได้ยังไง” ซึ่งในการสร้างสะพานก็จะสอดแทรกทั้งคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์และศิลปะ ไปพร้อมกัน วิธีการสอนแบบนี้เป็นวิธีการสอนแบบใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศที่มีการพัฒนาด้านการศึกษา

ซึ่งข้อดีที่ผมเห็นชัดจากวิธีนี้คือนักเรียนจะได้เห็นเลยนะครับว่าความรู้ที่เขาเรียนไป มันใช้งานได้ในชีวิตจริง เพราะสอนจากสิ่งรอบตัวของเขาจริง ๆ

และสุดท้ายนี่ก็คือตึก Upper Loop นะครับ สำหรับเกรด 9 – 12 ตรงนี้เครื่องไม้เครื่องมือก็จะครบครัน และมีห้องแล็บในตัว และถ้าคุณผู้ชมสังเกตโต๊ะเรียนที่ VERSO ให้ดี วัสดุจะเป็นไวต์บอร์ดที่สามารถเขียนได้ครับ กล่าวคือระหว่างเรียนสมมตินักเรียนเกิด ปิ๊ง! ไอเดียขึ้นมา ก็คว้ามาคเกอร์มาเขียนได้เลย! ส่วนชั้น 2 เดินขึ้นไปก็จะมีห้องแล็บสำหรับทดลองทางวิทยาศาสตร์ครับ

ที่สำคัญนักเรียน VERSO ทุกชั้นปีจะมี Guest Speaker ภายนอกคอยแวะเวียนเข้ามาบรรยายนะครับ เท่าที่ทราบจะอยู่ที่ประมาณเดือนละ 1 คน เพื่อสร้างประสบการณ์และแรงบันดาลใจ

และนักเรียนในตึกนี้ก็จะเป็นคลาสที่จะออกไปฝึกงานจริงแล้วด้วย เรียกได้ว่าเรียนที่นี่ได้ค้นหาตัวเอง ได้ลองทำในสิ่งที่ชอบ และได้ลองทำงานจริงเลยละครับ

นอกจากอาคารเรียนแล้ว เรามาดูในส่วนของสถานที่อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้อื่น ๆ กันบ้างนะครับ ที่เด่นมาก ๆ เลยคือสระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิค ความลึกสูงสูด 50 เมตร ความกว้าง 10 เลน ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิน้ำในสระได้

สนามฟุตบอลที่นี่มี 2 สนามนะครับ แบบหญ้าจริง และหญ้าเทียม ซึ่งขนาดก็จะมาตรฐานเลยครับ สามาถเล่นได้ทุกกีฬาที่ใช้พื้นผิวสนามหญ้า ซึ่งในส่วนฟุตบอล ที่นี่เป็นพาร์ตเนอร์กับบาร์เยิร์น มิวนิค ทีมฟุตบอลจากเยอรมันชื่อดังระดับโลก ดังนั้นมั่นใจได้เลยว่าหลักสูตรการฝึกซ้อมฟุตบอลของที่นี่ได้มาตรฐานอย่างแน่นอน

ส่วนนี่ก็คือโรงยิมที่เรียกว่า Arena นะครับ บรรยากาศเหมือนโรงยิมต่างประเทศที่เราดูตามภาพยนตร์ หรือซีรีส์เลย แถมมีจอยักษ์สำหรับขึ้นสกอร์บอร์ดหรือถ่ายทอดสดด้วย ซึ่งความจุจะอยู่ที่ 1,300 ที่นั่งครับ เหนือขึ้นไปก็จะมีฟิตเนสอยู่ชั้นบน ให้นักเรียนทุกคนใช้บริการกันได้ครับ

หรือถ้าใครอยากเล่นกีฬากลางแจ้งอื่น ๆ VERSO มีสนามบาสกล้างแจ้งเช่นกัน รวมไปถึงมีคอร์ตเทนนิสให้เล่นด้วยครับ ซึ่งเทนนิสหลักสูตรการสอนดูแลโดยคุณ บอล ภราดร ศรีชาพันธุ์ อดีตนักเทนนิสชาวไทยที่ก้าวไปถึงอันดับ 9 ของโลก!

มั่นใจได้เลยนะครับว่าทั้งเรื่องเรียนและกีฬา VERSO ไปสุดทางจริง ๆ

ข้อสังเกต

แต่ด้วยหลักสูตรที่แตกต่างกับการเรียนการสอนทั่วไปในบ้านเราอย่างชัดเจน ข้อสังเกตที่ผมอยากให้ไว้คือ อยากให้เด็กและผู้ปกครองทำความเข้าใจหลักสูตรให้ดี ก่อนจะสมัครเข้ามาเรียนครับ เพราะธรรมชาติความสนใจของเด็กแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน บางคนอาจจะชอบหลักสูตรแบบเดิมมากกว่าก็ได้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดผลดีต่อตัวเด็กมากที่สุดครับ

ในเรื่องค่าเทอมเริ่มตั้งแต่ 6 แสนกว่าบาทในชั้นเด็กเล็กไปจนถึงล้านต้นต้นในเด็กโต ถ้าใครสนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

  • เว็บไซต์ www.verso.ac.th
  • FB: versoschool
  • โทรศัพท์: 02-080-6200

กับ VERSO International School โรงเรียนที่จะเตรียมการสอนให้พร้อมต่อการใช้งานจริงกับอนาคตที่จะมาถึงของทุกคนครับ