โลกเสมือนจริง หรือ เมตาเวิร์ส (Metaverse) คือพื้นที่โลกเสมือนแบบ 3 มิติ ที่เราสามารถเข้าไปใช้งานร่วมกับคนอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเข้าไปทำงาน เล่นเกม ท่องเที่ยว ช็อปปิง จับจองที่ดิน หรือเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านตัวตนที่เป็นอวตาร (Avatar)
เมตาเวิร์สในตอนนี้เปรียบเหมือนโลกใบใหม่ที่เพิ่งถูกค้นพบ และสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภค มีการวิเคราะห์กันว่าการมาถึงของเมตาเวิร์สจะคล้ายกับกรณีที่ Facebook เข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค
หลายบริษัทเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงในอดีตมาแล้ว เมื่อโอกาสครั้งใหม่มาถึง พวกเขาย่อมไม่อยากตกเป็นเบอร์รองในสนามนี้ โดยโอกาสในเมตาเวิร์สนั้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะบริษัทเทคโนโลยี แต่กิจกรรมต่าง ๆ ในโลกเสมือนจริงแห่งนี้ สามารถทำให้แบรนด์สร้างประสบการณ์ร่วมกันกับผู้บริโภค ตลอดจนการขายสินค้าทั้ง Physical Product และ Digital Product
ยกตัวอย่าง Nike ที่ประกาศรับสมัครนักออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อเตรียมวางขายสินค้าในโลกเสมือนจริง ในขณะที่ Adidas Originals ก็ออกมาเคลื่อนไหวด้วยการออกคอลเลกชัน NFT และซื้อพื้นที่ (LAND) ใน The Sandbox ซึ่งเป็นเกมโลกเสมือนในระบบบล็อกเชน
The Sandbox จัดได้ว่าเป็นผู้เล่นคนสำคัญในสงครามการสร้างเมตาเวิร์ส เพราะเริ่มเปิดให้ทดลองเล่นแล้วไปเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ขณะเดียวกัน Facebook ซึ่งได้เปลี่ยนบริษัทชื่อเป็น Meta ก็ได้ประกาศแนวทางการลงทุนใหม่ที่จะมุ่งสร้างเมตาเวิร์ส และพัฒนาอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องอย่าง AR และ VR
ซึ่งเรื่องนี้คุณมทินา จาก BBLAM มีข้อมูลที่น่าสนใจมาฝากเราครับ Market Value จากตลาด AR, VR และ Metaverse
- มูลค่าของตลาดทั้ง AR, VR และ metaverse มีแต่จะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และเราเชื่อว่า มันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น มีการคาดการณ์ว่า ขนาดของตลาด VR Virtual Reality จะมีมูลค่าเท่ากับ สามแสนล้านเหรียญในปี 2024 มูลค่าของ Metaverse จะมีค่าเท่ากับ แปดแสนล้านเหรียญในปี 2024 มันคือการเข้าไปอยู่ในโลกมายา 100% เลย และช่วยต่อยอดการใช้อุปกรณ์ VR ได้อย่างมหาศาล เพราะว่า VR จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเข้าโลกเสมือน
- แต่ด้วยความที่เรากำลังช่วยกันสร้างโลก Metaverse ขึ้นมาอยู่ ต้องใช้การลงทุนมหาศาล อย่างเช่น Meta Platform ก็ลงทุน XX หมื่นล้านเหรียญเพื่อสร้างโลก Metaverse แต่มันยังมีเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังโลก Metaverse อีกหลายอย่าง เช่นเครือข่ายสัญญาณที่เร็ว อุปกรณ์ Hardware เช่นแว่น กล้องที่ดี ใส่แล้วไม่มึนหัว หรือไม่ว่าจะเป็นชิปที่มีความสามารถในการประมวลผลสูง ซึ่ง ณ ปัจจุบัน มูลค่าของธุรกิจชิปมีมูลค่า ห้าแสนล้านเหรียญ และโลก metaverse จะเป็นตัวเพิ่มมูลค่า และความต้องการชิปต่อเนื่องไปอีก
- ยกตัวอย่างบริษัทที่ใช้ AR, VR เข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าธุรกิจ เช่น Amazon
- ทำไม AR, VR ถึงสำคัญสำหรับธุรกิจ เพราะว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยสร้างมูลค่าขึ้นมาให้กับธุรกิจได้ ยกตัวอย่าง เกมส์ Pokemon Go ก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุดของการใช้ AR มาเพิ่มมูลค่าธุรกิจ จากเกมส์สองมิติธรรมดา AR ก็ทำให้การ์ตูนดูเหมือนมีชีวิตจริงในโลกของเรา AR สร้างรายได้จากเกมส์นี้ ได้ถึง พันล้านเหรียญ ในปี 2020 ซึ่งเพิ่มจากปี 2016 ได้ถึง 160% และยังสร้างเทรนด์การเล่นเกมส์แบบนี้อีกด้วย
- ตัวอย่าง AR อีกอันหนึ่งคือ Amazon ก็นำ AR มาใช้ช่วยลูกค้าในการตัดสินใจซื้อของ เช่นเวลาที่ต้องการ shopping เฟอร์นิเจอร์ เค้ามี function “View in your room” คือการลองเอาเฟอร์นิเจอร์ที่เราจะซื้อไปวางในห้องของเราที่บ้าน ให้ดูว่าเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ที่บ้านไหม
- VR คือ Virtual Reality คือ สร้างโลกจริงใหม่ขึ้นมาในโลกเสมือน กลายเป็นโลกมายา 100% เช่น google street view หรือการแข่งพวก Drone ในโลกเสมือน VR สำคัญมากเพราะ เทคโนโลยี VR เข้ามา disrupt โลกจริงๆ เพราะการอยู่ในโลกเสมือนก็จะเข้ามาขโมยเวลาของเราในโลกจริง บริษัทที่ทำโฆษณาทาง digital ก็ต้องตามเข้าไปอยู่ในโลกเสมือน บริษัทที่ขายสินค้าให้เรา เช่น Nike ก็มี Nikeland, Gucci ก็มี Gucci Garden ซึ่งสามารถขายกระเป๋าเสมือนได้แพงกว่ากระเป๋าในโลกจริงอีก เพราะฉะนั้น ถ้า VR ถ้าเกิดขึ้นจริง จะเปลี่ยนแปลง business model ของหลายบริษัท
- Building Block ของ Metaverse มีอะไรบ้าง
- จะเกิด Metaverse ขึ้นมา ต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ ส่วน อย่างน้อยก็ต้องมี
- Identity ตัวตนของเรา คือการสร้างตัว Avatar ขึ้นมา อาจจะตัวตนที่เหมือนเราในโลกจริง หรือไม่เหมือนก็ได้ เพศจะเหมือนหรือไม่เหมือนเราในปัจจุบันก็ได้ เป็นอะไรที่เราอยากจะเป็น เป็นอะไรที่เราเกิดมาไม่ได้เป็นและเราฝันว่าจะได้เป็น มันทำให้ฝันเราเป็นจริง
- Multi- device คือเข้าไปสู่คือ โลก metaverse ได้จากทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจากที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ PC, Tablet ผ่านพวกอุปกรณ์ VR
- Immersive คือการดื่มด่ำกับประสบการณ์ที่เราจะได้รับ ประสบการณ์นี้จะเหนือชั้น คือสามารถให้รู้สึกได้ทุกด้าน เราสัมผัสได้ผ่านทุกช่องทาง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ปัจจุบันอุปกรณ์ VR เราจะเห็น ภาพ กับได้ยิน เสียง แต่ metaverse จะเป็นความรู้สึกที่ทุกส่วนของร่างกายสัมผัสได้
- ระบบเศรษฐกิจที่สร้างขึ้นมาใน Metaverse เช่นต้องใช้สกุลเงิน digital currency หรือว่าแต่ละ platform จะมีสกุลเงินของตัวเองเช่น Roblox ก็มีสกุลเงิน the Robux ที่สามารถซื้อของบน platform roblox ได้
- Community: เพราะเราไม่ได้อยากอยู่คนเดียวในจักรวาล Metaverse เข้าไปอยู่คนเดียวนี้ ไม่รู้จะเข้าไปทำไม เพราะฉะนั้น metaverse ต้องมี network effect มีชุมชน มีการเชื่อมโยงกัน
- Real-time Persistent: โลก metaverse ต้องมีความเสถียร เพราะฉะนั้น network ที่ใช้ต้องดี อย่างน้อยคือ 5g เวลาในโลกของ metaverse ต้องเดินไปเรื่อยๆ ไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขได้ ซึ่งการที่เราต้องบันทึกทุกกิจกรรมที่เราทำ ถ้าเราซื้อของหรือโอนเงินไปแล้วก็ต้องมีการบันทึกรายการ ทำให้เอมเห็นว่าความต้องการใช้ cloud ต้องเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
นอกจากเทคโนโลยีเหล่านี้แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับอานิสงส์จากการพัฒนาของเมตาเวิร์ส คือ Web 3.0 และแน่นอนว่าเมื่อพูดถึงการมีอยู่ของ Web 3.0 แปลว่าก่อนหน้านี้จะต้องมี Web 1.0 และ Web 2.0 มาก่อน
ขออธิบายสั้น ๆ ว่า Web 1.0 คือเว็บไซต์ในยุคเริ่มต้น เป็นการสื่อสารแบบทางเดียว คนที่จะสามารถแก้ไขหน้าตาของเว็บไซต์ได้จะมีแต่ Webmaster เท่านั้น เช่น เว็บไซต์อ่านข่าว
ส่วน Web 2.0 ในยุคถัดมา ถูกพัฒนาให้สามารถทำได้ทั้งอ่านและโต้ตอบอย่างอิสระ เป็นการสื่อสารแบบสองทาง สำหรับการแก้ไขหน้าตาของเว็บไซต์ไม่ได้จำกัดไว้เฉพาะ Webmaster อีกต่อไป โดยผู้ใช้งานสามารถเป็นได้ทั้งผู้อ่านและผู้สร้างเนื้อหา จึงเกิดเป็นสังคมบนเว็บไซต์ เช่น Facebook และ Twitter นั่นเอง
แม้ว่าจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่ Web 2.0 ก็เริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น นั่นก็คือการติดต่อสื่อสารผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์จะต้องมีตัวกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งตัวกลางเหล่านี้สามารถเข้าถึงข้อมูลและพฤติกรรมการใช้งานทำให้เกิดปัญหาการขโมยข้อมูลขึ้น รวมถึงการวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อการโฆษณา ข้อมูลของเราจึงไม่เป็นข้อมูลส่วนตัวอีกต่อไป
จากปัญหาดังกล่าวได้นำไปสู่แนวคิดในการพัฒนา Web 3.0 ที่ต้องการลดบทบาทของตัวกลางลง และเพิ่มความ ‘ไร้ตัวกลาง’ หรือ Decentralized ให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ Web 3.0 ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่การพัฒนาในอดีตยังมีข้อติดขัดของเทคโนโลยีที่พัฒนาตามมาไม่ทัน
หากอ้างอิงข้อมูลจากภาพ Technology Stack ของ Web 3.0 จะเห็นได้ว่าภายใน Layers ต่าง ๆ ที่เป็นเบื้องหลังของฐานเว็บไซต์ Web 3.0 นั้น ต้องอาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีต้นกำเนิดของคริปโทเคอร์เรนซี
การดึงเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ จะทำให้ Web 3.0 สามารถเก็บรักษาข้อมูลให้มีความปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้ และมีการกระจายอำนาจจากตัวกลางที่ควบคุมข้อมูล ทำให้ผู้ใช้งานมีสิทธิความเป็นเจ้าของข้อมูลตนเองอย่างเต็มที่
การพัฒนาและการเติบโตของ Web 3.0 จะส่งผลดีต่อคริปโทเคอร์เรนซีตัวไหน ยังเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูต่อไป แต่ธุรกิจที่จะเติบโตไปพร้อมกับ Web 3.0 แน่ ๆ คือธุรกิจที่เข้าไปลงทุนในเมตาเวิร์ส เนื่องจากสินค้าและสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นโทเคนดิจิทัล, NFT หรือพื้นที่ (LAND) ในเมตาเวิร์ส ล้วนต้องใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นพื้นฐานทั้งสิ้น
- บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก Metaverse
- การจะสร้างโลก Metaverse ขึ้นมาต้องมี สิ่งดึงดูด ซึ่งมันอาจจะเป็น เกมส์ คอนเสิร์ต เช่น บริษัทอย่าง Roblox ที่ 75% ของเด็กอเมริกาเล่นเกมส์นี้ เพราะเพื่อน ๆ เค้าอยู่ในนี้ ก็ไม่แปลกที่เค้าจะใช้เวลาว่างส่วนใหญ่อยู่ในเกมส์ Tencent ก็มีส่วนที่ผลิตเกมส์, Netflix, EA, Activision Blizzard ซึ่ง MSFT ซื้อไปแล้วก็จะได้ประโยชน์จากการสร้างโลก Metaverse
- การที่จะเราทำธุรกรรมต่าง ๆ ในโลก Metaverse ต้องมี blockchain เป็นตัวบันทึกธุรกรรม หรือว่าการใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็เกี่ยวกับบริษัท Visa, Master, Coinbase อย่างเช่น ก็ร่วมกับ coinbase ถ้าจะซื้อ NFTs แล้วจะชำระเงิน ก็ใช้บัตร Mastercard รูดได้
- นอกจากนี้ ก็ต้องมี Cloud ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเทคโนโลยี ซึ่งบริษัท Cloud ที่ใหญ่ที่สุดสามอันดับแรกก็หนีไม่พ้น Amazon Web services, Microsoft Azure, Google Cloud ซึ่งธุรกิจคลาวด์นี้สามารถสร้างยอดขายให้บริษัทเทคใหญ่ ๆ ได้อย่างมหาศาล
- และนี้ยังไม่นับพวกบริษัททำ Hardware เช่น Oculus ที่ Meta ซื้อไป หรือบริษัทพวกชิป ที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีทั้งหมด
- BBLAM มีกองทุน B-INNOTECH ที่ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ ที่ได้ประโยชน์จาก Metaverse
- AR, VR, Metaverse กลายเป็นส่วนหนึ่งบริษัทเทคใหญ่ ๆ จะเห็นว่า research and development ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบริษัทเทคใหญ่ๆ เพราะว่าบริษัทเหล่านี้มีความพร้อมที่จะลงทุน และยังต้องการหาการเติบโตใหม่ ๆ จาก web 3.0 ที่เกิดขึ้น บริษัทก็ยังสามารถหา talent หรือคนเก่ง ๆ มาร่วมทำงาน เพราะฉะนั้น B-INNOTECH ที่ลงทุนในเทคขนาดใหญ่ จึงยังสามารถ ride คือเติบโตไปกับธีม metaverse และ metaverse ก็เป็นหนึ่งในธีมที่ B- Innotech ลงทุน
- กองทุนหลักของ B-INNOTECH มีหลักการเลือกบริษัทยังไง หรือ กองทุนนี้ทำไมมีแนวโน้มเติบโตได้ในระยะยาวอีกจาก Metaverse
- กองทุนเลือกหุ้นเทคโนโลยีที่เติบโตได้ทั่วโลก ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แค่ธีม Metaverse แต่ลงทุนได้ทุกธีม กองทุนจะเน้นลงทุนในเทคขนาดใหญ่ที่มีกำไรสม่ำเสมอ หรืออาจจะเป็นบริษัทเทคฯ ขนาดกลาง ที่มีกำไรแล้ว มีโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง และให้ความใส่ใจกับมูลค่าของกิจการ เช่นถ้า เป็นบริษัทเทคที่การเติบโตสูงๆ แต่ยังไม่เห็นกำไร หรือมีมูลค่าที่แพงเกินไป ก็จะไม่เข้าลงทุน ด้วยหลักการนี้ของผู้จัดการกองทุน ทำให้ B-INNOTECH สามารถสร้างผลตอบแทนได้สม่ำเสมอ รวมถึงในกรณีที่มีการเทขาย B-Innotech จะมี drawdown ที่น้อยกว่ากองเทคชนิดอื่นๆ ทำให้ B-Innotech เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว
- สรุป ถ้านักลงทุนอยากโตไปพร้อมกับ Metaverse แล้ว B-INNOTECH ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
แม้ว่าปัจจุบันเมตาเวิร์สยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดขึ้นในอนาคต ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นทุก ๆ วัน และการเร่งลงทุนของบริษัทต่าง ๆ เมตาเวิร์สย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม หากคุณสนใจและต้องการเติบโตไปกับเทคโนโลยีเหล่านี้ก่อนใคร กองทุน B-INNOTECH ของ BBLAM ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่น่าสนใจ