ในยุคนี้ที่เทคโนโลยีทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเกมได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าใครก็สามารถเล่นเกมจากที่ไหนก็ได้ การมาของสมาร์ตโฟนทำให้เราไม่ต้องพกเครื่องเกมหลายตัวอีกต่อไป แต่แม้ความสะดวกสบายจะเข้ามาเปลี่ยนวิธีการเล่นเกมไป แต่สำหรับเกมเมอร์ยุคเก่าแล้ว ไม่มีอะไรจะแทนความรู้สึกของการกดปุ่มจริง ๆ บนเครื่องเกมพกพา หรือการเสียบตลับลงเครื่องแล้วลุ้นว่ามันจะติดไหม เพราะช่วงเวลาเหล่านั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของเกม แต่มันคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่เรายังคิดถึงเสมอ
ย้อนกลับไปในช่วงยุคปี 90 ปลาย ๆ ถึง 2000 ต้น ๆ สมัยนั้นทุกคนอาจจะเคยเห็นเครื่องเกมสุด Iconic อย่าง Game Boy ของ Nintendo ที่ทำให้เราติดหนึบกับเกม Tetris และเสียงโลโก้เปิดเครื่องของ PlayStation 1 ที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความตื่นเต้น ทุกช่วงเวลาที่นั่งล้อมวงแข่งเกมกับเพื่อน ๆ การเป่าตลับเกมให้ใช้งานได้ และการใช้เวลาทั้งคืนพิชิตด่านสุดโหด คือความทรงจำที่ยังคงชัดเจนไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เพราะเกมในวันวานไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่คือสายสัมพันธ์ ความฝัน และคืนวันแห่งความสนุกที่ไม่มีวันลืม หรือความรู้สึกที่เขาเรียกกันว่า ‘Nostalgia’
ยุคทองของเกมพกพา
เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Nintendo เปิดตัว Game Boy ในปี 1989 ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเครื่องเล่นเกมพกพานี้ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในวงการเกม การออกแบบของ กุนเป โยโคอิ (Gunpei Yokoi) วิศวกรที่มีชื่อเสียงของ Nintendo ผู้ซึ่งเคยสร้าง Game & Watch โดยนำเอาประสบการณ์ที่มีในด้านการออกแบบเกมพกพามาใช้ใน Game Boy แนวคิดของเขาคือ เกมที่ดีไม่จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุด แต่ต้องสามารถเข้าถึงง่ายและเล่นได้ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งสะท้อนถึงความคิดที่ต้องการให้เกมสามารถเข้าถึงผู้เล่นได้ในชีวิตประจำวัน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเครื่องเล่นขนาดใหญ่หรือสถานที่เฉพาะ เกมต้องมีความเรียบง่าย สนุกสนาน และสามารถพกพาไปเล่นได้ทุกที่


คู่แข่งตัวฉกาจ : Game Gear
แต่ไม่ใช่ว่าในตอนนั้นเกมพกพาอย่าง Game Boy จะครองตลาดอยู่คนเดียว เพราะก็มีคู่แข่งอย่าง Game Gear จาก SEGA ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเกมพกพาที่มาพร้อมจอสี และประสิทธิภาพที่สูงกว่า Game Boy มาก ทั้งกราฟิกและพลังประมวลผล อย่างไรก็ตาม แม้ Game Gear จะเหนือกว่าในด้านเทคนิคต่าง ๆ แต่ข้อเสียสำคัญคือราคาที่สูงกว่า Game Boy อย่างมาก และการใช้พลังงานที่สิ้นเปลือง ต่างจาก Game Boy ที่ประหยัดพลังงาน และเล่นได้นานกว่า
Game Gear มีหน้าจอสีขนาด 3.2 นิ้ว (เทียบกับ Game Boy ที่เป็นจอเขียว ๆ แถมไม่มี Backlight) แต่แบตเตอรี่ที่หมดเร็วทำให้เกมเมอร์หลายคนเลือกที่จะอยู่กับ Game Boy แทน นอกจากนี้ ขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่และหนักกว่า Game Boy ทำให้พกพาได้ลำบากกว่า
แม้จะมีเกมดัง ๆ อย่าง Sonic the Hedgehog, Shining Force และ Columns แต่ Game Gear ก็ไม่สามารถโค่น Game Boy ลงได้ ทำให้มันเป็นอีกหนึ่งเครื่องเกมที่กลายเป็นตำนานไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมันยังคงเป็นที่จดจำของเกมเมอร์หลายคน และเป็นของสะสมที่หายากในหมู่แฟน ๆ SEGA

เกมที่ทำให้ Game Boy กลายเป็นตำนาน
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Game Boy ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลก็คือ Tetris เกมพัซเซิลสุดคลาสสิกจากรัสเซียที่ถูกบรรจุมาในเครื่อง Game Boy ตั้งแต่เปิดตัว มันเป็นเกมที่เล่นง่ายแล้วก็ติดง่ายเช่นกัน และมันกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ Game Boy ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

แม้ว่า Tetris จะเป็นตัวผลักดันให้ Game Boy โด่งดังในช่วงแรก แต่ Pokémon Red & Blue ก็เป็นเกมที่ทำให้เครื่องนี้เป็นอมตะ การจับโปเกมอน ต่อสู้ และแลกเปลี่ยนกันผ่านสาย Link Cable กลายเป็นกิจกรรมที่เด็ก ๆ ทั่วโลกหลงใหล นอกจากนี้ Super Mario Land ยังเป็นอีกหนึ่งเกมที่ช่วยให้ Game Boy ได้รับความนิยม ด้วยการนำ Mario มาสู่โลกของเกมพกพาเป็นครั้งแรก

Game Boy และอิทธิพลต่อวงการเกมพกพา
Game Boy ไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของเครื่องเกมพกพาที่ประสบความสำเร็จ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับ Nintendo DS, PlayStation Portable (PSP) รวมถึง Nintendo Switch ในปัจจุบัน โดยหลักการของกุนเป โยโคอิ ที่ว่า “Lateral Thinking with Withered Technology” หรือ “การคิดนอกกรอบด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่” ยังคงส่งอิทธิพลต่อแนวทางการออกแบบเกมของ Nintendo มาจนถึงทุกวันนี้
PlayStation 1 – จุดเปลี่ยนของวงการเกมคอนโซล
ถ้า Game Boy เป็นจุดเริ่มต้นของเครื่องเกมพกพาแล้ว ก็คงไม่พูดถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการเกมคอนโซลไม่ได้ นั่นก็คือ PlayStation 1 (PS1) คือหนึ่งในเครื่องเกมที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์เกมไปตลอดกาล เปิดตัวครั้งแรกในปี 1994 โดย Sony PlayStation 1 ไม่เพียงแค่นำเสนอประสบการณ์การเล่นเกมที่ล้ำสมัยในยุคนั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรเกมคอนโซลของ Sony ที่ยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้

จุดกำเนิดของ PlayStation 1
ย้อนกลับไปช่วงปี 1988 Sony เคยร่วมมือกับ Nintendo เพื่อพัฒนาอุปกรณ์เสริม Super Nintendo CD-ROM แต่เมื่อโครงการถูกยกเลิก Sony ตัดสินใจเดินหน้าพัฒนาเครื่องเกมของตนเอง และในที่สุดก็เปิดตัว PlayStation 1 ในปี 1994 ที่ญี่ปุ่น และ 1995 ในตลาดสากล
ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าเครื่องเกม 16-bit ในยุคนั้น PS1 ใช้ แผ่น CD-ROM แทนตลับเกม ทำให้สามารถสร้างเกมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีภาพกราฟิกแบบ 3D ที่สมจริงขึ้น และใส่เสียงพากย์ เสียงเอฟเฟกต์ หรือเพลงประกอบคุณภาพสูงเข้าไปได้ จุดนี้กลายเป็นข้อได้เปรียบสำคัญที่ช่วยให้ PS1 ครองใจผู้เล่นทั่วโลก
เกมระดับตำนานที่เกิดขึ้นบน PS1
PlayStation 1 ไม่ได้โด่งดังแค่เพราะเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เป็นเพราะเกมที่ออกมาบนแพลตฟอร์มนี้ต่างก็กลายเป็นตำนาน เช่น Final Fantasy VII, Metal Gear Solid, Resident Evil, Gran Turismo, หรือ Tekken 3
หลาย ๆ เกมของ PS1 ไม่ใช่แค่ความสนุกในช่วงเวลานั้น แต่ยังเป็นเกมที่มีคุณค่าทางจิตใจและสร้างความทรงจำดี ๆ ให้กับผู้เล่น หลายเกมถูกรีเมกหรือรีมาสเตอร์ให้กลับมาเล่นได้บนแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เพราะความคลาสสิกของมันอีกด้วย

จอยและการพัฒนาให้มีระบบสั่น
จอยของ PS1 เริ่มต้นด้วยแบบดั้งเดิมที่ไม่มีแกนแอนะล็อก แต่ต่อมา Sony ได้เปิดตัว DualShock ซึ่งมี แกนแอนะล็อกคู่ และระบบสั่นที่ทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมสมจริงขึ้นอย่างมาก DualShock ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการเกมคอนโซลตั้งแต่นั้นมา


อิทธิพลของ PS1 ต่อวงการเกม
PS1 เป็นเครื่องเกมที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการเกม โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยีการเล่นและการพัฒนาเกมในอนาคต ความสำเร็จของ PS1 ทำให้ CD-ROM กลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการเล่นเกมคอนโซล ซึ่งไม่เหมือนกับเครื่องเกมรุ่นก่อนที่ใช้การ์ดเกมแบบคาร์ทริดจ์ การใช้ CD-ROM ช่วยให้เกมสามารถมีข้อมูลที่มากขึ้นได้ ทำให้กราฟิกและเสียงมีความสมจริงมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มความยาวของเกม โดยไม่จำกัดขนาดข้อมูลเหมือนกับเกมในยุคเก่า ที่ต้องใช้การ์ดบันทึกข้อมูลขนาดเล็ก นอกจากนี้ CD-ROM ยังทำให้ผู้พัฒนาเกมสามารถใส่ คัตซีน (Cutscene) และ เสียงพากย์ (Voice acting) เข้าไปในเกม ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยยกระดับการเล่าเรื่องในเกมให้มีมิติและความลึกซึ้งมากขึ้น

ความทรงจำในวัยเด็กกับคืนวันแห่งความสนุก
การเล่นเกมที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงจนลืมทำการบ้านหรือแม้แต่ลืมนอนยังคงเป็นภาพที่ชัดเจนอยู่ในใจเสมอ การรวมตัวกันของเพื่อน ๆ เพื่อเล่นเกม PS1 ในยุคนั้นก็เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทั้ง Winning Eleven ที่เป็นการแข่งบอล หรือ Tekken ที่ต้องมานั่งเชียร์เพื่อน ๆ เล่นกันจนถึงเช้า
แล้วก็ช่วงเวลาที่ไม่มีเมมโมรี่การ์ดก็โคตรจะทำให้ปวดหัวจริง ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็คือความท้าทายที่ทำให้ทุก ๆ ครั้งที่เล่นมันเต็มไปด้วยความสนุก บางทีอาจจะรู้สึกหงุดหงิดตอนต้องเริ่มเกมใหม่ แต่ก็เป็นความสนุกแบบเด็ก ๆ ที่ไม่มีอะไรจะมาแทนได้จริง ๆ
ทำไมเรายังคงคิดถึงหรือผูกพันกับ Game Boy และ PS1 ?
เรายังคงคิดถึง Game Boy และ PS1 เพราะมันเป็นเครื่องเกมที่ทำให้เราได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ในช่วงเวลานั้น มันไม่ใช่แค่เครื่องเกม แต่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำในวัยเด็กที่ทำให้รู้สึกถึงความสนุกและความท้าทายที่ไม่เหมือนใคร
เครื่องเกมเก่า ๆ อย่าง Game Boy และ PS1 ยังคงกลับมาเป็นที่นิยมในหมู่นักสะสม เพราะมันมีความคลาสสิกและมีเสน่ห์ที่ยังคงดึงดูดใจ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่ได้ถือเครื่องเกมรุ่นเก่า หรือการได้สัมผัสกับเกมที่เราชื่นชอบในตอนเด็ก ๆ
การกลับมาในรูปแบบ Remake และ Remaster ของ Final Fantasy VII Remake หรือ Resident Evil 2 Remake ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้สัมผัสกับความสนุกเก่า ๆ ที่เราเคยชอบ แต่เป็นเวอร์ชันที่มีกราฟิกและการเล่นที่ทันสมัยมากขึ้น การที่เกมเหล่านี้กลับมาในรูปแบบใหม่ ก็เหมือนกับการให้โอกาสแก่เราได้ย้อนกลับไปสัมผัสกับความทรงจำที่เคยมี
แม้ว่า เทคโนโลยี จะเปลี่ยนไปและมีเกมที่กราฟิกสวย ๆ หรือมีระบบการเล่นที่ทันสมัย แต่ ความสนุกแบบคลาสสิก จากเครื่องเกมเก่า ๆ ยังมีเสน่ห์และความน่าสนใจที่ทำให้เรารู้สึกดีทุกครั้งที่กลับไปเล่น ทั้งในแง่ของความเรียบง่ายและความท้าทายที่มันมอบให้ หรือคิดถึงในบรรยากาศที่เราเคยนั่งเล่นกับเพื่อน หรือนั่งเล่นกับครอบครัวเมื่อสมัยเด็ก ๆ ทำให้ทุกครั้งที่เราได้หยิบเครื่องเกมเก่า ๆ ขึ้นมาเล่นหรือย้อนกลับไปยังเกมโปรดในยุคเก่า มันก็เหมือนกับการกลับไปสู่ความทรงจำที่เต็มไปด้วยความสนุกและไม่เคยหายไปจากใจเรา