Final Fantasy เกมแนว Role Play Game ที่โด่งดังและสร้างรายได้ไปแล้วมากมายทั่วโลก ตัวเกมวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1987 โดยลงให้กับเครื่อง Nintendo Entertainment System (NES) หรือแฟมีคอม นั้นเองค่ะ ตัวเกมได้ประสบความสำเร็จ ได้รับกระแสตอบรับจากแฟนๆเกม RPG ทั่วโลก ทำให้บริษัท Square (ก่อนหน้าที่จะรวมกับ Enix) ได้สร้างภาคต่อของเกมออกมามากมาย จนปัจจุบันตัวเกมมีทั้งหมดถึง 14 ภาคหลัก ไม่รวมภาคย่อย และแน่นอนค่ะในปี 2016 ก็จะเป็นเวลาของภาคต่อเกม RPG ในตำนานลำดับที่ 15 “Final Fantasy XV”
“แล้วอะไรล่ะ ? คือสิ่งที่ผู้เล่นจะได้รับหรือคาดหวังอะไรจากภาคต่อของเกมนี้ แน่นอนว่าขึ้นชื่อ Final Fantasy มันคงไม่ใช่แค่เกมภาคต่อธรรมดาๆ ทั่วไปแน่นอนค่ะ”
Final Element จะกลับมาอีกครั้ง
จริงๆแล้วต้องบอกเลยว่าสิ่งที่ทำให้ Final Fantasy เป็นเกม RPG ที่ดัง และโดดเด่นมาตลอด เกือบ 30 ปีนี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “Final Element” นี่ล่ะค่ะ แล้วมันคืออะไร Final Element นั้นก็คือจุดเด่นของ Final Fantasy ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเวทมนต์ต่างๆ สัตว์อสูร อาวุธ ชุดเกราะ ตัวละคร สไตล์การเล่าเรื่อง เอกลักษณ์ของเกมเพลย์ สถานที่ Map และมอนเตอร์ต่างๆ หรือแม้แต่เพลง Soundtrack ทั้งหมดนี้ถูกเรียกรวมๆกันว่า Final Element กันหมดนั้นเองค่ะ ในตัวเกมภาค 2 เป็นการปรากฎตัวครั้งแรกของตัวละครในตำนานอย่าง Cid ชายแก่ผู้ที่เก่งเรื่องช่างกล และเรือเหาะ กับเจ้านกน้อยสีเหลือที่บินไม่ได้อย่าง Chocobo ที่กลายเป็นตัวละครในตำนาน และอยู่คู่กับซีรี่ส์นี้มาทุกภาค รวมไปถึงมนต์อสูรต่างๆอย่าง Titan , Ifrit , Shiva ที่บางครั้งก็โผล่มาในแบบของศัตรู หรือโผล่มาในแบบของเพื่อนตัวเอกเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดคือ Final Element ที่โผล่มาในเกมทุกภาค จนทำให้แฟนๆตั้งข้อสงสัยว่า Final Fantasy XV นั้นจะมี Final Element โผล่มามากน้อยแค่ไหน แต่จากที่ตัวเกมได้มีการปล่อยตัวอย่างออกมาหลายตัวอย่าง ทำให้แฟนๆหลายคนทั้งรุ่นเก่า และรุ่นใหม่คงดีใจกันบ้าง เพราะการปรากฎตัวของ Chocobo ในรูปแบบ Original Design มนต์อสูร Titan,Ramuh ที่ปรากฎมาในรูปแบบสุดยอดอลังการงานสร้างที่สุดของซีรี่ส์ Final Fantasy และเพลงประกอบที่เป็น Theme หลักของเกมนี้อย่าง Final Fantasy Main Theme คงทำให้หลายๆ คนน้ำตาไหลกันเป็นแน่แท้
แต่อย่างไรก็ตามกระแสผู้เล่นอีกส่วนนึงกลับไม่ค่อยชอบ Final Fantasy XV หรือที่พวกเขาเรียกกันว่า “บอยแบนด์แฟนตาซี” เนื่องจากว่าตัวเกมนั้นหลุดความเป็น Fantasy ในแบบของเกมนี้ไปมาก และการจำกัดตัวละครให้บังคับได้แค่ตัวเดียวจาก 4 ตัว แผนที่และเมืองในเกมก็กลายเป็นแบบยุคทันสมัย คล้ายๆเมืองหลวงของแต่ละประเทศต่างๆในยุคปัจจุบัน ใช้การเดินทางโดยรถยนต์ จนมีการตั้งคำถามว่า แล้วนี้มัน Fantasy ตรงไหน ? คุณ ฮาจิเมะ ทาบาตะ ผู้กำกับ Final Fantasy XVได้ออกมาพูดว่า Final Fantasy XV จะมีความเป็น “a fantasy based on reality” โดยที่ตัวเกมจะมีความสมจริงในแบบ Fantasy เช่นเจ้า Chocobo ก็เป็นเสมือนสัตว์เลี้ยงในคอก ที่มีการพูดถึงอยู่บ่อยๆ และสามารถพบมันได้ทั่วไป รวมไปถึงเวทมนต์ต่างๆ ที่เป็นเหมือนเรื่องปกติในโลก แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้เวทมนต์ได้ พวกสัตว์อสูร ก็เป็นเหมือนสัตว์ในตำนาน ที่เล่ากันตามปากต่อปาก หรือแม้กระทั่งการวางระเบิด แบบที่เราเห็นกันไปในตัวอย่างของเกม ก็ยังมีให้พบเห็น ตรงจุดๆนี้ตัวผู้เขียนเองมองว่า นี่เป็นการเปิดโลกใหม่ให้กับ Final Fantasy อีกครั้ง เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเราเองไม่เคยเห็น Final Fantasy Based on Reality ในชีวิตจริงแบบนี้มาก่อนเลย โดยในภาคก่อนๆนั้น ไม่ออกแนวยุคกลาง ก็ไปยุค Sci-Fi ที่ออกจะห่างไกลจากชีวิตจริงของเราไปเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะรุ่งหรือจะร่วง ก็คงต้องลองไปเล่นกันเองล่ะค่ะ
“หุ่นยนต์ Magitek Armor และ Fire II ??”
“Chocobo กลับมาแล้ว !!”
“ปู่ Ramuh มาพร้อมกับ Judgment Bolt!!”
Story ที่เข้าใจง่าย แต่น่าติดตาม และ ลึกซึ้ง
หากพูดถึงเนื้อเรื่องของซีรี่ส์ Final Fantasy แล้ว หลายๆ คนที่ไม่ได้เป็นแฟนเกมนี้ หรือไม่ได้ติดตามเกมซีรี่ส์นี้สักเท่าไร จะมีความเข้าใจว่าตัวเกมนั้นมีเนื้อเรื่องที่ติดต่อกัน และนี้เป็นภาคที่ 15 แล้ว แต่จริงๆแล้วเนื้อเรื่องของซีรี่ส์ Final Fantasy นั้นจะไม่เกี่ยวกันเลยสักภาคใน 14 ภาคหลัก ไม่รวมภาคเสริมที่เป็นภาคต่อของภาคนั้นๆ เพราะฉะนั้นแล้วตัวเกมในภาค 15 ก็มี Story ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ 14 ภาคหลักก่อนหน้านี้เลยสักนิด
แต่อย่างไรก็ตาม Final Fantasy XV นั้นมีเนื้อเรื่องที่เป็นพื้นฐานของ Fabula Nova Crystallis ที่แปลได้คือ ตำนานบทใหม่ของ Crystal ซึ่งถ้าหลายๆคนได้ติดตาม Final Fantasy ภาคเก่าๆ จะรู้ว่า ในแต่ละภาคตัวเกมจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับ Crystal หรือ Wariror of Light เป็นหลักตั้งแต่ภาค 1 ถึง ภาค 5 จนหลังจากภาค 6 มาก็มีการเอาส่วนผสมคดีนิยายวิทยาศาสตร์ (Sci-Fi) มาใส่มากยิ่งขึ้นในเวลาต่อมาจนแถบจะไม่ใส่ใจอะไรเกี่ยวกับ Crystal อีกต่อไปแล้ว แต่ไอ่เจ้า Fabula Nova Crystallis นั้นจะดึงความสำคัญของ Crystal กลับมาอีกครั้ง
โดยในตัวเกมภาค 13 และ Type-0 นั้นก็มีเนื้อเรื่องที่เป็นพื้นฐานของ Fabula Nova Crystallis เช่นกัน โดยแต่ละเกมจะมีพื้นฐานง่ายๆคือ Crystal นั้นจะเป็นของวิเศษในอาณาจักร และมันมีพลังเวทมนต์ที่สูงมาก โดยในตัวเกมภาค 15 Noctic เองก็ผู้สืบทอดบัลลังก์ของอาณาจักรไว้เช่นกัน และนั้นคือ Fabula Nova Crystallis นั้นเองค่ะ ในจุดนี้แฟนๆ Final Fantasy ส่วนนึง(รวมถึงตัวผู้เขียนเอง) นั้นไม่ค่อยชอบเจ้า Fabula Nova Crystallis นี่สักเท่าไรนัก เหตุผลก็คือ ตัวเกมมันมีเนื้อเรื่องที่ “เข้าใจได้ยาก” ตัวเกมมีเรื่องกษัตริย์ การเมือง อะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เสน่ห์บางส่วนของซีรี่ส์นี้ได้หายไป
หากผู้เล่นยังจำการเล่าเรื่องของภาค 1-6 ได้จะรู้ว่ามันแตกต่างกับภาคหลังๆ มาก ทั้งบทบาทตัวละคร การเล่าเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ง่าย แต่สนุกไปกับมัน และน่าติดตามเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าในภาค 6 ตัวเกมจะมีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ กษัตริย์ การเมือง บ้างเล็กน้อย แต่ตัวเกมก็ไม่ได้โฟกัสไปที่จุดนั้นๆ และดึงความเป็น Final Fantasy ออกมาได้มากจริงๆ ตัวเกมในภาค 4 นั้นขึ้นชื่อว่ามีเนื้อเรื่องที่ดีที่สุดในซีรี่ส์ไม่แพ้ภาค 7 ก็มีสไตล์การเล่าเรื่องแบบที่หลายๆ เกมในยุคนั้นไม่มี การเล่าเรื่องเจาะจงไปที่คนๆเดียว แต่สามารถแตกแขนงออกมาได้โดยที่ไม่เสียโฟกัสของเนื้อเรื่องในเกมไป นั้นแล่ะคือสิ่งที่ผู้เล่น (ยุคเก่า) หลายๆคนต้องการใน Final Fantasy XV
หากหลายๆ คนยังจำได้ ใน Final Fantasy XIII นั้น เป็นอีกหนึ่งภาคที่ผู้เขียนพยายามทนเล่นให้จบๆ ไปได้ และพบว่าเนื้อเรื่องในเกมภาคนี้มันหลุดความเป็น Final Fantasy แบบที่แฟนๆ ยุคเก่าได้รู้จักไปแล้วล่ะค่ะ ถึงแม้ว่าตัวเกมจะสร้างภาพลักษณ์ของตัวละครมาได้ติดตามากแค่ไหนก็ตาม แต่ตัวผู้เขียนเองเชื่อว่าหลายๆ คนที่ทนเล่นเกมภาคนี้จบ ก็เพราะ Lightning กับ Serah เป็นแน่แท้ ตรงจุดๆนี้หวังว่า Final Fantasy XV จะมีเนื้อเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ง่าย แต่มีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวมันเอง และสามารถทำให้ผู้เล่นได้สนุกและติดตามไปกับมันได้ถึงแม้ว่าโลกในเกมจะเป็นพื้นฐานของ Fabula Nova Crystallis ก็ตามค่ะ
“Fabula Nova Crystallis พื้นฐานการเล่าเรื่องของ FFXV”
“บอยแบนด์แฟนตาซี”
รูปแบบการเล่นที่เป็น”เอกลักษณ์”
ต้องบอกเลยว่า Final Fantasy นั้นเป็นเกม RPG ที่มีสูตรความสำเร็จในตัวของมันเองอยู่เยอะมากเลยทีเดียว และ Gameplay ของมันเองก็เช่นกัน ในภาค 1-3 ผู้เล่นจะได้พบกับ Original JRPG Turn Base แบบเดิมๆ ที่ใช้การสลับเทรินไปมาระหว่างผู้เล่น และ ศัตรู ต่อมาในภาค 4-9 ตัวเกมจะไปใช้ระบบ Active Time Battle (ATB) โดย Final Fantasy ยุคนี้เป็นยุคที่เข้าถึงผู้เล่นหลายๆกลุ่มมากที่สุด ระบบ ATB นั้นทำให้ตัวเกมมีความสนุกขึ้นมาก ตัวเกมจะกำหนด เกจ พลังของตัวละครแต่ละคนมาให้ เมื่อเกจพลังนั้นเต็มเมื่อไร ตัวละครตัวนั้นก็จะสามารถใช้คำสั่ง ไอเท็ม สกิลต่างๆ ได้ โดยที่เกจจะเต็มเร็วเต็มช้านั้น ขึ้นอยู่กับค่าความว่องไวของตัวละคร ทำให้ตัวเกมมีความเป็นท้าทายมากยิ่งขึ้นนั้นเองค่ะ หากตัวผู้เล่นใช้เวลาตัดสินใจมากเกินไป ก็จะทำให้มอนเตอร์โจมตีตัวละครผู้เล่นตายก่อนได้ออกคำสั่ง ยิ่งมอนเตอร์บางตัวมีค่าความว่องไวสูงล่ะ นอนยกตี้แน่นอน
จนกระทั่งยุคของภาค 10-14 ยุคนี้เป็นยุคที่ตัวเกมต้องการแสวงหารูปแบบการเล่นใหม่ๆให้เข้ากับเกมสมัยใหม่ดู โดยในแต่ละภาคนั้น จะมีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างกันไปทุกภาค ภาค 10 เป็นภาคที่มีส่วนผสมระหว่าง Turn Base และ ATB การต่อสู้ระหว่างตัวละครกับมอนเตอร์จะสลับ Turn กัน แต่ถ้าหากตัวละครตัวนั้นมีค่าความว่องไวที่สูงมาก ก็จะได้จำนวน Turn ของตัวเองมากกว่า Turn ของ Monster นั้นเองค่ะ ระบบนี้เรียกว่า Count Time Battle (CTB) ระบบนี้ถูกใช้แค่ภาคเดียวก็คือภาค 10 เพราะได้รับเสียงส่วนใหญ่จากแฟนๆ ว่ามันง่ายมากเกินไปนั้นเอง
กลับมาพูดถึงภาค 15 กันบ้าง ในภาคนี้ตัวเกมไม่ได้ใช้เจ้า Turn Base, ATB หรือ CTB อะไรนั้นหรอกค่ะ แต่เป็นการ Action Base on Command นั้นเอง ระบบนี้มีพื้นฐานมาจากเกม Kingdom Hearts แต่ถูกปรับให้เข้ากับ Final Fantasy บอกลาได้เลยกับการรอเวลาแบบเก่าๆ เพราะคราวนี้ตัวเกมจะเข้าสู่โหมด Action เต็มตัว แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนใน Final Fantasy ภาคหลักต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเกมจะมีระบบ “Wait” โดยผู้เล่นสามารถหยุดการต่อสู้ไว้ และเลือกคำสั่งให้ตัวละครแต่ละตัวได้แบบตัวเกมภาคเก่าๆ (คล้ายๆ Dragon Age) ได้ด้วยละค่ะ แบบนี้ใครที่ไม่ชอบการ Action ก็สามารถมาใช้ระบบนี้ได้ แต่มันจะทำให้สามารถเล่นอย่างไหลลื่นได้หรือไม่นั้น ก็ต้องรอดูกันล่ะค่ะ
อย่างไรก็ตาม แฟนๆ Final Fantasy หลายๆ คนอยากให้ทีมงานได้เจาะลึกตัวเกมไปมากกว่านี้นอกจาก Gameplay ต่อสู้ หากหลายๆคนยังจำได้ ใน Final Fantasy VIII มินิเกม Gold Saucer ที่ทำให้หลายๆคนเข้าไปคลุกตัวอยู่ในนั้นจนไม่ได้สนใจเกมหลักก็มีมาแล้ว รวมไปถึงการบังคับเรือเหาะ สำรวจค้นหาสถานที่ ดันเจี้ยนลับต่างๆ ค้นหาอาวุธสุดยอดของเกม สิ่งเหล่านี้เป็นจุดเด่นของซีรี่ส์ Final Fantasy มาตลอด และหวังว่ามันคงจะมาปรากฎให้ผู้เล่นได้เห็นกันใน Final Fantasy XV ล่ะค่ะ
“จากตัวอย่างล่าสุดจะพบว่าแผนที่ในเกมนี้ค่อนข้างใหญ่มาก เพราะนี้เป็นแค่ส่วนนึงเท่านั้น”
“Wait Mode ออกแบบมาสำหรับคนที่ไม่ชอบการ Action เอาใจแฟนรุ่นเก่าๆ”
อย่างไรก็ตาม ตัวเกม Final Fantasy XV นั้นจะเลื่อนไปวางจำหน่ายวันที่ 29 พฤศจิกายน 2016 จากเดิมวันที่ 30 กันยายน 2016 โดยคุณ ฮาจิเมะ ทาบาตะ ผู้กำกับ Final Fantasy XV ได้ให้เหตุผลว่า ตัวเกม Final Fantasy XV นั้นได้พัฒนาเสร็จจนเป็น Master Version แล้วจริง (เวอร์ชั่นพร้อมวางจำหน่าย) แต่ทีมงานก็ยังคงพัฒนาตัวเกมต่อและแก้ไขจุดต่างๆในเกมให้ดี และพร้อมจะปล่อยออกมาในรูปแบบ Day 1 Patch แต่อย่างไรก็ตาม ทีมงานเล็งเห็นถึงความสำคัญตรงที่ว่าหากผู้เล่นที่เล่นเกมแบบไม่ได้ต่ออินเตอร์เน็ตเลย หากพวกเขาได้รับแผ่นเกมที่ยังไม่มี Day 1 Patch ไป ก็คงจะทำให้รู้สึกแย่ไม่ใช่น้อย แถมนี่คือ Final Fantasy XV ทีมงานทุกคนคงลงแรงทำกันอย่างเอาเป็นเอาตายเป็นอย่างมาก คงจะไม่ใช่เรื่องดีหากตัวเกมเวอร์ชั่นวางจำหน่ายจริงออกมาแย่แบบนั้น ทีมงานจึงขอเวลาเพิ่มอีก 2 เดือนเพื่อที่จะเอา Day 1 Patch ที่ว่านั้นไปใส่พร้อมกับในแผ่นเกมทีเดียวเลยนั้นเองค่ะ รวมไปถึงสิ่งพิเศษบางอย่างด้วย
Final Fantasy XV เป็น”อีกนึงเกม”ในซีรี่ส์ Final Fantasy ที่ดำเนินมาถึง “ครั้งที่ 15” แล้วในตลอด 30 ปีที่ผ่านมานี้ เกมๆนี้ได้สร้างทั้งเสียงความสุข เสียงหัวเราะ และน้ำตาให้กับแฟนๆเกมมาอย่างยาวนานมากๆ ถึงแม้ว่าตัวเกมภาค 15 จะได้รับกระแสจากแฟนๆบางกลุ่ม (รวมถึงตัวผู้เขียนเอง)ว่า “นี่มันไม่ใช่ Final Fantasy ที่เรารู้จัก” และนี่จะเป็นครั้งแรกค่ะ ที่พวกเราจะกลับมารู้จัก Final Fantasy อีกครั้ง ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2016 นี้ค่ะ