ถึงจะเป็นเกมภาคแรกของแฟรนไชส์ แต่ Persona 1 ก็ไม่ใช่เกมที่หลาย ๆ คนได้เริ่มเล่นเป็นเกมแรกกันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?

สำหรับใครที่เริ่มเล่นจาก Persona 3, 4 และ 5 แน่นอนว่าต้องเคยสงสัยกันว่าตัวเกมภาคแรกมีเกมเพลย์ที่สนุกเท่าภาคนี้หรือเปล่า? และถ้าหากมาเริ่มเล่นตอนนี้มันจะมีความน่าสนใจทันเกมยุคสมัยนี้หรือไม่?

หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่สงสัยเหมือนกับผมล่ะก็ เราจะมาย้อนดูกันว่าจุดเริ่มต้นของซีรีส์ Persona นี้มีรูปร่างอย่างไร

*มีเนื้อหาสปอยเนื้อเรื่องเกมคร่าว ๆ*

Megami Ibunroku Persona หรือ ‘Persona’ เป็นเกม Spin-off ของซีรีส์เกม Shin Megami Tensei โดยทาง Atlus ได้วางจำหน่ายตัวเกมภาคแรกให้กับคอนโซล PS1 ในปี 1996 โดยแนวหลัก ๆ ของเกมนี้จะเป็น Old School RPG ที่ผสมเข้ากับการสำรวจสถานที่สไตล์ Dungeon Crawler ที่แตกต่างจาก Persona 3 ภาคล่าสุดเป็นอย่างมาก หลังจากนั้น ตัวเกมก็ได้ถูก Remaster ให้กับคอนโซลพกพาอย่าง PSP (PlayStation Portable) ในปี 2009 ซึ่งตัวเกมเวอร์ชัน Remaster นี้ได้รับการเปลี่ยนแปลงคอนเทนต์บางส่วน ที่ส่งผลให้ผู้เล่นจำนวนมากวิจารณ์ตัวเกมในแง่ลบ

เพราะตัวเกมมาจากยุค PS1 แน่นอนว่าเกมเพลย์ของ Persona ภาคแรกไม่ได้มีระบบที่หวือหวามากนัก แต่สำหรับใครที่เป็นแฟน Old School RPG เชื่อว่าถึงจะกลับมาเล่นตอนนี้ก็ยังรู้สึกสนุกได้ครับ

โหมดสำรวจสถานที่ต่าง ๆ ใน Persona ภาคนี้จะมีรูปแบบเป็น Dungeon Crawler ที่ผู้เล่นจะต้องเดินไปจุดต่าง ๆ ของเขาวงกตที่สามารถ Spawn ศัตรูมาโจมตีเราได้ทุก ๆ นาที ซึ่งต่างจาก Persona ภาคล่าสุดที่ศัตรูจะคอยเฝ้าจุดต่าง ๆ พร้อมกับสภาพแวดล้อมของด่านที่มีรายละเอียดให้ผู้เล่นได้สำรวจ รวมไปถึง Puzzle อีกมากมายตามจุดต่าง ๆ ของด่าน

ระบบ Combat ของภาคนี้ จะมีรูปแบบเป็น Turn Base RPG ซึ่งก็คล้ายกับ Persona ทุกภาคที่สามารถใช้พลังของ Persona โจมตีด้วยพลังธาตุต่าง ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ระบบการโจมตีของภาคนี้ไม่ค่อย Balance เท่าไหร่นัก เพราะการโจมตีด้วยปืนในภาคนี้ค่อนข้างที่จะ OP เกินไป ผู้เล่นสามารถใช้แค่ท่านี้ท่าเดียวจนจบเกมได้กันแบบง่าย ๆ เลยก็ยังได้

นอกจากการโจมตีศัตรู ก็มีคำสั่ง Contact ให้ผู้เล่นได้สื่อสารกับศัตรูอีกเช่นกัน โดยระบบนี้จะมีบทสนทนาให้ผู้เล่นได้เลือกตอบกับพวกมัน แต่ไม่ว่าจะเลือกถูกหรือผิด ก็รู้สึกเหมือนตัวเกมจะทำการสุ่มเลือกผลที่ได้ออกมาให้อยู่ดีครับ (คล้ายกับระบบเจรจาต่อรองใน Persona 5 แต่ไม่มีโครงสร้างใด ๆ ให้กับคำตอบที่เราเลือก)

ถึงแม้จะเป็นเกม Old School RPG สมัย PS1 ที่มีเนื้อเรื่องไม่ยาวเท่าภาคในปัจจุบันก็ตาม แต่ตัวเกมก็มีเนื้อเรื่องที่เขียนออกมาน่าสนใจไม่น้อยครับ

ใน Persona ภาคนี้ ผู้เล่นจะรับบทเป็นพระเอกนิรนามที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนมัธยมปลาย St. Hermelin เมือง Mikage Cho ในปี 1996 โดยเรื่องราวทั้งหมดเริ่มจากพระเอกและเพื่อน ๆ ได้ลองทำพิธีสุดแปลกที่สามารถเรียก Persona ออกมาได้ ซึ่งหลังจากนั้นเองพวกเขาก็ได้พบกับวิญญาณเด็กสาวตนหนึ่งที่เสกฟ้าผ่าลงมาใส่พวกเขาจนสลบ

หลังจากทุกคนฟื้นขึ้นมาในห้องพยาบาลของโรงเรียน พวกเขาก็ถูกอาจารย์วานให้ไปเยี่ยมเพื่อนชื่อ Maki ที่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดปีการศึกษา ซึ่งในขณะที่พวกเขาได้ไปพบกับ Maki อาการของเธอก็ทรุดหนักจนต้องเข้าห้องฉุกเฉิน ระหว่างที่ทุกคนรอตามอาการของ Maki อยู่ดี ๆ ก็เกิดแผ่นดินไหวที่ส่งผลให้ทั้งเมืองเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดจำนวนมากปรากฏตัวออกมา ในระหว่างนี้เอง พระเอกและเพื่อน ๆ ก็ได้ค้นพบว่าพวกเขาสามารถใช้พลัง Persona ต่อสู้กับเหล่าปีศาจได้จึงช่วยกันออกสำรวจหาที่มาของเหตุการณ์สุดประหลาดนี้

ต่างจากเกมภาคล่าสุดในแฟรนไชส์ ตัวเกมจะมีเนื้อเรื่องแค่ 2 บท ซึ่งที่น่าแปลกใจก็คือทั้ง 2 บทนี้เป็นเนื้อเรื่องที่ไม่ต่อกันเป็นเนื้อเรื่องหลักใหญ่ ๆ โดยรวมให้ความรู้สึกเหมือนจบบทแรกก็คือการจบทั้งเกมจริง ๆ ส่วนบทที่ 2 เหมือนเป็นเนื้อหาเสริมสไตล์ DLC หรือ ‘อนิเมะตอนพิเศษ’ มากกว่า

อีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรลืมเมื่อพูดถึงแฟรนไชส์เกมนี้เลย คือ เพลงประกอบของตัวเกมครับ Persona ภาคนี้ ในเกมภาคนี้แน่นอนว่าทาง Atlus ต้องมี ‘โชจิ เมกูโระ’ (Shoji Meguro ผู้ประพันธ์เพลงให้กับแฟรนไชส์ Persona) มาร่วมงาน

ซึ่งจากที่ฟังมาทั้งเวอร์ชัน PS1 พร้อมกับบางเพลงที่ถูกเพิ่มเข้ามาในเวอร์ชัน PSP ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพลงที่เก่า แต่ดนตรีถือว่าสนุกมากไม่แพ้เพลงจากเกม Persona ภาคอื่น ๆ เลย จะให้บอกว่าเป็นผลงาน Timeless Work Piece ก็ยังได้ (โดยเฉพาะเพลง School Day และ Dream of Butterfly ส่วนตัวเป็นเพลงโปรดของผมเลย แนะนำให้ไปลองฟังกันดูครับ)

โดยรวมแล้วคุ้มที่จะกลับไปเล่นไหม?

หากคุณเป็นคนที่ชอบเกมแนว Old School RPG ก็มั่นใจได้เลยว่าคุณจะต้องชอบตัวเกมอย่างแน่นอน แต่สำหรับใครที่ไม่ชอบการเจอศัตรูระหว่างทางที่ถี่เกินไป หรือ ชอบระบบเกมเพลย์ที่ลึกมาก ๆ มีอะไรให้ทำเยอะแยะเหมือนกับ Persona 5 ก็อาจจะรู้สึกไม่ถูกใจกับส่วนนี้เท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเนื้อเรื่องถือว่าโอเคระดับหนึ่ง แถมไม่ยาวมากเท่ากับภาคใหม่ ๆ และ ตัวเกมก็ยังมีเพลงระดับ Top Tier จากผู้ประพันธ์อย่าง ‘โชจิ เมกูโระ’ ที่บอกได้เลยว่า ฟังแล้วติดใจกันแน่นอน

โดยรวมแล้ว หากคุณยังสามารถหาวิธีที่จะเล่นเกมนี้ได้ ก็ถือว่าไม่เลวที่จะลองเล่นมันสักครั้งครับ

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส