‘Star Wars Outlaws’ เกมฟอร์มยักษ์ระดับ AAA ของ Ubisoft ที่มีดราม่ามากมายตั้งแต่ก่อนเปิดตัวเรื่องความ Woke ของตัวละครที่ถูกปรับให้น่าเกลียดกว่าต้นแบบ นอกจากนี้หลังจากเปิดให้เล่นก็ประสบปัญหา Bug จำนวนมาก รวมทั้งแฟนเกมที่ยอมจ่ายแพงเพื่อได้เข้าไปเล่นก่อน ก็พบปัญหาต้องเริ่มเล่นใหม่หมดหลังอัปเดตแพตช์แก้ไขตัวแรก ส่วนเสียงวิจารณ์ก็อยู่ในระดับกลาง ๆ แต่คะแนนรีวิวจากแฟนออกมาแย่อย่างมาก
และด้วยปัญหานี้ทำให้นักวิเคราะห์ได้ปรับลดค่าประมาณการณ์ของยอดขายเกม ‘Star Wars Outlaws’ ที่คาดว่าจะขายได้ 5 ล้านชุด จากเป้าเดิมที่คาดไว้อยู่ที่ 8 ล้านชุด ถือว่าเป็นยอดที่น้อยมาก เพราะทาง Ubisoft กำลังประสบปัญหากำไรของค่ายลดลง โดยมีรายงานว่ารายได้ของค่ายลดลงมากถึง 18.1% และมีรายงานผลขาดทุนสุทธิ 546 ล้านเหรียญ เทียบกับปีที่แล้วถือว่าแตกต่าง เพราะในปี 2023 ทางค่ายทำกำไรไป 113 ล้านเหรียญ
และด้วย ‘Star Wars Outlaws’ ทำยอดขายไม่เข้าเป้าทำให้ Ubisoft คาดหวังให้เกมที่กำลังจะเปิดตัวอย่าง ‘Assassin’s Creed Shadows’ จะทำยอดขายมาชดเชยส่วนที่หายไปจาก ‘Star Wars’ แต่ก็ยังไม่วายเจอปัญหาเดียวกัน เพราะเกมนักฆ่าภาคล่าสุดที่จะเล่าเรื่องในญี่ปุ่นก็มีปํญหาความ Woke เรื่องตัวละครหลักที่เป็นซามูไรผิวสี และความไม่ถูกต้องตามประวัติศาสตร์
โดย ‘Assassin’s Creed Shadows’ จะต้องขายได้อย่างน้อย 13.5 ล้านชุด เพื่อชดเชยการขาดทุน เท่ากับว่าเกมต้องขายได้เท่ากับ ‘Assassin’s Creed Valhalla’ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักในยุคนี้
และล่าสุดมีการอัปเดตยอดขายของเกม ‘Star Wars Outlaws’ ในประเทศอังกฤษออกมาแล้ว และรายงานยอดขายได้ระบุว่าเกมสงครามอวกาศภาคใหม่เปิดตัวในสหราชอาณาจักรน้อยกว่าภาคที่วางขายก่อนหน้านี้อย่าง ‘Star Wars Jedi: Survivor’ ถึง 55% กันเลย ยิ่งตอกย้ำความล้มเหลวของเกม และหากไม่สามารถเพิ่มยอดขายได้ก็ต้องหวังให้ ‘Assassin’s Creed Shadows’ มากู้สถานการณ์ของค่าย Ubisoft