เป็นที่รู้กันว่า Nintendo Switch จะใช้ตลับเกม (Gamecard) เป็นสื่อ เพราะมันเป็นเครื่องเกมโฮมคอนโซลที่พกพาไปเล่นนอกบ้านได้ แต่มันก็มีข้อเสียเพราะต่อให้สื่อแบบตลับจะมีราคาถูกลงกว่าแต่ก่อน และมีความจุมากขึ้น แต่ต้นทุนมันก็ต้องแพงกว่าแผ่น บลูเรย์ แน่นอน ทำให้มีข่าวลือออกมาจากนักพัฒนาเกมว่าค่าใช้จ่ายในการผลิตเกม Nintendo Switch สูงกว่าต้นทุนในการผลิตเกม PS4, PC หรือ Xbox One เนื่องจากตลับเกมของ Switch มีค่าใช้จ่ายมากกว่าแผ่น บลูเรย์

โดยมีการะบุว่าราคาตลับจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความจุของตลับที่มีหลายขนาดตั้งแต่ 1GB, 2GB, 4GB, 8GB, 16GB และ 32GB (โดยเกมที่ใช้ความจุสูงสุดคือ Dragon Quest Heroes I & II ที่มีราคาแพงเกือบ 3,000 บาท) ซึ่งราคาเกมของ Nintendo Switch ที่แตกต่างจากแพลทฟอร์มอื่นๆ ก็เช่น

  • Puyo Puyo Tetris บน Nintendo Switch ที่มีราคา 35 ปอนด์ ในขณะที่บน PS4 ขายราคา 25 ปอนด์ เท่านั้น (ซื้อแบบออนไลน์)
  • เกม Rime ที่มีราคา 40 ปอนด์ บน Nintendo Switch ทั้งแบบตลับ และ Digital ดาวน์โหลด แต่บน PC , PS4 และ Xbox One จะมีราคาเพียง 29.99 ปอนด์เท่านั้น

เป็นที่น่าสังเกตว่านินเทนโดมีนโยบายให้เกมที่ขายแบบดาวน์โหลดบน Nintendo Switch มีราคาขายเท่ากับแบบตลับเกมทำให้หลายเกมมีราคาแพงกว่าบน PS4 , Xbox one และ PC ส่วนเกมที่ขายแบบดาวน์โหลดอย่างเดียวอย่าง Snake Pass กลับมีราคาเท่ากับบนคอนโซลอื่นได้ เท่ากับว่าการใช้สื่อแบบตลับเกมทำให้ต้นทุนเพิ่ม แถมนโยบายนี้ยังส่งผลให้หากคุณจะขายแบบตลับเกมแล้ว จะทำให้การขายแบบดาวน์โหลดแพงขึ้นตามทำให้เสียเปรียบคู่แข่ง

โดยผู้สร้างเกม RIME ได้บอกกับ Eurogamer “ราคาของเกมจะขึ้นอยู่กับต้นทุนพัฒนาของแต่ละแพลตฟอร์ม” งานนี้ไม่รู้ว่ามันจะทำให้นักพัฒนาเกมมีปัญหาในการสร้างเหมือนกับสมัยที่ Nintendo 64 วางขายด้วยตลับเกม ในขณะที่คู่แข่งใช้สื่อเป็น CD หมดทำให้นักสร้างเกมมีปัญหาในการทำเกมเพราะมีความจุไม่เพียงพอ และสื่อมีราคาแพงกว่า

อ้างอิง