ขึ้นชื่อว่าเป็น “เกมเมอร์” ทั้งที หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ต้องเคยเล่นเกมแนวเดินหน้ายิงมุมมองบุคคลที่หนึ่ง หรือที่มีชื่อฝรั่งว่า “First Person Shooter (FPS)” กันบ้าง เพราะนอกจากมันจะเป็นแนวเกมที่ฮิตติดตลาดที่สุดแล้ว (ดูจาก Call of Duty ที่ขยันออกภาคใหม่มาทุกปีดีดัก) มันยังเป็นหนึ่งในแนวเกมที่เก่าแก่ที่สุดด้วย
วันนี้เราจะขอพาคุณผู้อ่านทั้งหลายไปดูโฉมหน้าของ 10 อันดับเกม FPS ที่เด็ดที่สุดตั้งแต่ที่เคยมีมาให้สะใจเล่น ๆ เรียงตามคะแนนรีวิวสูงสุดที่สื่อทุกสำนักพากันเชิดชูเป็นเสียงเดียว จะมีเกมในดวงใจของคุณติดอันดับหรือไม่ มาร่วมลุ้นไปด้วยกัน!
ปล. อันดับพวกนี้เรียงจากคะแนนรีวิวเฉลี่ยสูงสุดของสื่อต่างประเทศเท่านั้น ดังนั้นถ้าไม่มีเกมโปรดอยู่ในอันดับก็อย่าดราม่ากันนะเธอ
อันดับ 10: Bioshock Infinite
ภาคสุดท้ายของไตรภาค Bioshock ที่พลิกทุกความคาดหมายของเกมเมอร์ มันพลิกจากเกมแนวเอาชีวิตรอดมาเป็นเกมแอ็คชั่นยิงกันหูดับตับไหม้ พลิกจากเมืองใต้บาดาลมืดหม่นมาเป็นเมืองลอยฟ้าสีสันสดใส และพลิกจากเนื้อเรื่องแนวไซไฟสยองขวัญมาเป็นการผจญภัยข้ามมิติคู่ขนานประหนึ่งนิยายวิทยาศาสตร์ซะอย่างนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแฟน ๆ ต่างอึ้งไปตาม ๆ กันเมื่อต้องเจอกับงานแปลงโฉม Bioshock แบบยกเครื่องขนาดนี้ แต่ความ “อึ้ง” ก็ถูกกลบด้วยความ “ทึ่ง” อย่างรวดเร็ว
Infinite นำเสนอเรื่องราวสุดเข้มข้นที่จะดึงให้คุณติดหนึบอยู่กับจอตั้งแต่เริ่มเกม ระบบการยิงปืนและการใช้พลังพิเศษก็ทำออกมาได้สนุกสะใจเป็นบ้า และที่สำคัญคือ AI ของ “Elizabeth” นางเอกของเรื่องที่ฉลาดเป็นกรดและเต็มไปด้วยบุคลิกเฉพาะตัวราวกับว่าเธอคือตัวละครที่มีชีวิตจริง ๆ สุดท้าย Infinite ยังตบท้ายด้วยฉากหักมุมที่มาเหนือชนิดที่ใครก็คาดไม่ถึง ทำให้อาการของคุณหลังจากเล่นเกมนี้จบก็ 1.คือนั่งอ้าปากค้างไป 5 นาที 2.เก็บเกมนี้ไปนอนฝัน 1 วัน และ 3.จดจำชื่อของเกมนี้ไปตลอดกาล
อันดับ 9: Portal 2
เอาจริง ๆ ก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าจะนับ Portal 2 เป็นเกมเดินหน้ายิงได้รึเปล่า แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือ Portal 2 เป็นหนึ่งในเกมแก้ปริศนามุมมองบุคคลที่หนึ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมี ทั้งความสนุกในการแก้ปริศนา เนื้อเรื่อง หรือแม้แต่มุกตลกต่างก็ได้รับการพัฒนาให้ยอดเยี่ยมกว่าเกมภาคแรก
ถึงแม้ทั้งเกมจะมีปืนประตูมิติให้เราใช้แค่กระบอกเดียวเหมือนเคย แต่ลูกเล่นใหม่ ๆ ในฉากที่ได้รับการเพิ่มเข้ามามากมายก็ทำให้เกมเมอร์เล่นเกมนี้ได้ยาว ๆ ไม่มีเบื่อ นอกจากนี้เกมยังพ่วงโหมดมัลติเพลเยอร์ให้ผู้เล่นช่วยกันแก้ปริศนาด้วยประตูมิติ 4 บานเข้ามาอีก รับประกันได้เลยว่าเกมนี้จะทำให้ทั้งคุณและเพื่อนคู่หูรู้สึกสนุก ตลก หัวร้อน และต่างก็จดจำช่วงเวลาที่ต้องนั่งง่วนอยู่กับประตูมิติไปอีกนานแสนนาน
อันดับ 8: Halo 2
บทที่สองของมหากาพย์ไซไฟที่ยกระดับความ “อลังการ” จากเกมภาคแรกที่เว่อร์อยู่แล้วให้เว่อร์วังขึ้นไปอีก ทั้งกราฟิกเอนจิ้นที่สวยอลังการ ฉากในเกมที่ยิ่งใหญ่อลังการ แถมเนื้อเรื่องก็ยังอลังการ โดย Halo 2 เล่าถึงสงครามระหว่างมนุษยชาติและเผ่าเอเลี่ยน Covenant เต็มรูปแบบ ไม่ได้ติดแหง็กอยู่ในวงแหวน Halo ที่เดียวอีกต่อไป
ภาคนี้พระเอกเกราะเขียวกับหมวกจักรยานของเขาจะได้ออกบู๊ในฉากเท่ ๆ มันส์ ๆ มากมาย (แค่เปิดเรื่องก็ได้บู๊กับหุ่น Scarab ตัวเท่าตึกแล้วคิดดู) นอกจากนี้ผู้เล่นยังได้ลองสวมบทเป็น “Arbiter” ออกลุยในมุมมองของฝั่งเอเลี่ยนเป็นครั้งแรกอีกด้วย โหมดแคมเปญสุดมันส์มหากาฬนี้เองที่ทำให้เกมเมอร์ติดเกมนี้งอมแงมจนวางจอย Xbox ไม่ลง (แม้เข็มนาฬิกาจะล่วงเลยตี 3 ไปแล้วก็ตาม) นอกจากนี้ระบบยิงปืนที่เป๊ะมากและโหมดมัลติเพลเยอร์แสนสนุกก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น สิ่งที่เกมเมอร์ในตอนนั้นพอจะทำได้ก็คือเล่น Halo 2 ต่อไปจนโต้รุ่งเท่านั้น แล้วค่อยไปนอนฝันถึงสงคราม Halo ต่อในตอนเช้า
อันดับ 7: Bioshock
หนึ่งในเกมไซไฟสยองขวัญสั่นประสาทที่นอกจากจะทำให้เกมเมอร์หลอนจนขนหัวลุกไปตาม ๆ กัน มันยังนำส่วนผสมของเกมแนวสวมบทบาท (RPG) มาใช้ได้อย่างลงตัว Bioshock ยังพ่วงงานศิลป์ที่งดงาม (ปนสยอง) เนื้อเรื่องสุดเข้มข้นและมันยังมี “ฉากหักมุมฉากนั้น” ที่ทำให้คนเล่นอยากจะร้อง WTF ออกมาดัง ๆ จนกู่ก้องถึงชั้นสตาร์โตสเฟียร์
ที่น่าแปลกก็คือถึงแม้ตอนคุณเล่น Bioshock คุณจะกลัวซักแค่ไหนแต่คุณก็ไม่สามารถหยุดเล่นเกมนี้ได้ อาจเป็นเพราะส่วนผสมของความรู้สึกสนุก น่ากลัว ตื่นตะลึง น่าฉงน และอีกมากมายสารพัดความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาในหัวของผู้เล่นนี่เอง ที่ทำให้เกมเมอร์เประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้และส่ง Bioshock ขึ้นหิ้งเกม FPS ระดับมาสเตอร์พีซตลอดกาลไปโดยปริยาย
อันดับ 6: Half-Life
เกมในตำนานที่ทำให้เรารู้ว่า “ชะแลง” เป็นอาวุธที่ใช้ฟาดหัวเอเลี่ยนได้และนักวิทยาศาสตร์ชื่อเฉิ่ม ๆ อย่าง Gordon Freeman ก็เป็นพระเอกนักบู๊ที่เท่ได้ไม่แพ้เฮียอาร์โนลด์ Half-life ถือเป็นเกมแนวเดินหน้ายิงเกมแรก ๆ ของวงการที่ให้ความสำคัญกับ “การเล่าเรื่อง” แบบภาพยนตร์ ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากในยุคที่มีแต่เกมโคลนของ DOOM นอกจากนี้การแก้ปริศนาในฉากและ AI ของศัตรูยังได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี แถมกราฟิกก็ถือว่าสวยงามมากในเวลานั้น ครบเครื่องขนาดนี้จึงไม่แปลกที่มันจะขึ้นแท่นเป็นเกมคลาสสิกไปตามระเบียบ
แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือมันยังมาพร้อมโหมดเดทแมตช์มัลติเพลเยอร์ที่สนุกเป็นบ้า (ขอเสียงคนที่ชอบวิ่งไปกดปุ่มนิวเคลียร์เล่นหน่อยยยย) และโหมดนี้เองที่เป็นผู้ให้กำเนิดหนึ่งเกมในมัลติเพลเยอร์ที่ดีที่สุดในปฐพีนามว่า “Counter-Strike”
อันดับ 5: GoldenEye 007
เกมจากภาพยนตร์ที่ไม่เพียงแค่ลบล้างประโยคอาถรรพ์ “เกมจากหนังต้องห่วย” ได้ราบคาบ แต่มันยังเป็นหนึ่งในเกม FPS ดีที่สุดตลอดกาล และสำหรับเกมเมอร์วัยเก๋าหลายคน นี่แหละคือเกม FPS อันดับหนึ่งในใจที่ไม่มีเกมใดมาลบล้างได้ GoldenEye 007 คือเกมแรกที่ทำให้เกมเมอร์รู้ว่าเกมแนว FPS ก็สามารถใช้จอยเล่นบนเครื่องคอนโซลได้ (โดยไม่ได้ยิงโดนแต่นก) ที่สำคัญคือฉากและบรรยากาศในโหมดเนื้อเรื่องของเกมนี้ต่างได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี แถม AI ศัตรูยังฉลาดไม่ใช่เล่น ทำให้เกมเมอร์ได้อารมณ์เหมือนเป็นพยัคฆ์ร้ายอยู่ในหนังสายลับอย่างไรอย่างนั้น
แต่ทีเด็ดจริง ๆ ของเกมนี้อยู่ที่โหมดมัลติเพลเยอร์เดทแมตช์ที่สนุกสุดยอดไม่แพ้เกม DOOM เด็ดกว่าตรงที่มีตัวละครฝ่ายดีฝ่ายร้ายจากซีรี่ส์ 007 ให้เลือกเล่นได้เพียบ และมีอาวุธเจ๋ง ๆ ประหลาด ๆ ให้เลือกอีกตรึม แถมคุณกับเพื่อน ๆ อีก 3 คนยังสามารถเล่นด้วยกันบนเครื่องเกมเดียวกันได้ด้วย!
อันดับ 4: Half-Life 2
เชื่อว่าหลายคนคงพอจะเดาออกอยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วชื่อของเกมนี้ต้องโผล่ออกมาติดโผแน่นอน Half-Life 2 คือภาคต่อของสุดยอดเกม FPS ที่แทบจะดีกว่าเกมภาคแรกในทุก ๆ ด้าน ทั้งเนื้อเรื่องระดับมหากาพย์ของเฮีย Gordon Freeman ในการปลดแอกมนุษยชาติ ภาพกราฟิกเอนจิ้นที่เห็นแล้วต้องอ้าปากค้าง และมหานคร City 17 ที่ใหญ่โตและมีชีวิตชีวาราวกับเป็นสถานที่จริง พระเอกของเราจะได้ทั้งเดินเท้าลุย ซิ่งรถบู๊ ลุยเมืองผี และเข้าร่วมในสงครามกลางเมืองระหว่างมนุษย์และเอเลี่ยน เรียกได้ว่าแต่ละฉากในเกมนี้แทบจะไม่มีซ้ำกันเลย
นอกจากนี้ Half-Life 2 ยังขนปืน Gravity Gun ที่ให้เกมเมอร์ใช้ประโยชน์จากระบบฟิสิกส์แบบที่ไม่เคยมีเกม FPS เกมไหนทำได้มาก่อน Half-Life 2 ทำสิ่งที่น้อยเกมนักสามารถทำได้ นั่นคือการมอบประสบการณ์การเล่นที่สนุกเหนือความคาดหมาย แม้มันจะถูกตั้งความคาดหวังเอาไว้สูงลิบลิ่วจากเกมเมอร์แล้วก็ตาม
อันดับ 3: Halo: Combat Evolved
ใครจะไปรู้ว่าเกมแอ็คชั่นไซไฟที่ดูธรรมด๊าธรรมดา (สงครามระหว่างมนุษย์กับเอเลี่ยน ภารกิจหยุดยั้งอาวุธทำลายล้างจักรวาล ตัวเอกในเกราะเหล็กสีเขียว บลา ๆๆ) จะเป็นเกมที่มาปฏิวัติวงการเกมเดินหน้ายิงบนเครื่องคอนโซลและพีซีให้เปลี่ยนไปตลอดกาล Halo เปลี่ยนรูปแบบการออกแบบฉากในเกม FPS จากหน้ามือเป็นหลังเท้า จากแต่ก่อนที่เกม FPS มีแต่ฉากที่เป็นห้องแคบ ๆ ต่อ ๆ กันและให้ผู้เล่นคนเดียวซัดกับศัตรูทั้งกองทัพ Halo กลับมอบพรรคพวก AI ที่ไม่โง่เง่าเต่าตุ่นมาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้เล่น และสมรภูมิแต่ละแห่งในเกมนี้ก็ใหญ่โตมโหฬารแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เกมเมอร์ต้องกระโดดขึ้นรถถึงจะสามารถออกสำรวจได้ทั่วถึง
Halo ยังเป็นอีกเกมที่ทำให้โลกรู้ว่าจอยคอนโทรลเลอร์ก็สามารถใช้เล่นเกมเดินหน้ายิงได้อย่างแคล่วคล่องไม่แพ้เมาส์และคีย์บอร์ด แล้วก็เช่นเคยที่เกม FPS ที่ยิ่งใหญ่มักมาพร้อมกับโหมดมัลติเพลเยอร์ที่ใหญ่ยิ่ง โหมดหลายผู้เล่นของ Halo นั่นสนุกชิบเป๋งจนเกมเมอร์เล่นกันไม่หยุดหย่อน และยังคงเล่นกันอย่างเหนียวแน่นจนถึงวันนี้ (แม้เกมจะออกมาถึงภาคที่ 7 แล้วก็ตาม)
อันดับ 2: Metroid Prime
Metroid Prime เป็นตัวอย่างที่ดีของเกมซีรี่ส์ดังที่ตัดสินใจฉีกตัวเองไปสู่เกมแนวใหม่โดยสิ้นเชิง จากเดิมที่แฟน ๆ จดจำชื่อเกม Metroid ในฐานะเกมแนววิ่งกระโดดลุย (แบบ Mario และ Rockman) แต่ภาค Prime วิวัฒนาการชื่อของ Metroid ให้กลายเป็นเกม FPS ที่มีกลิ่นอายของ Metroid ภาคเก่าคลุกเคล้าอยู่อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการกระโดดหลบสิ่งกีดขวางไปมา การแก้ปริศนา และการเดินวกไปวนมาในฉากเดิมหลาย ๆ รอบเพื่อปลดล็อคเส้นทางใหม่ ที่น่าทึ่งก็คือ Prime สามารถนำส่วนผสมจากเกมแนวอื่นเหล่านี้มาปรับใช้ได้ดียิ่งกว่าภาคก่อนหน้า เกมเมอร์สนุกไปกับการผจญภัยของ Samus ในมุมมองบุคคลที่หนึ่งจนลืมแนวเดิมไปเลย
นอกจากนี้ Prime ยังเป็นเกมที่มีภาพสวยงามตระการตาและมีเอฟเฟคต์เสียงที่ดีที่สุดในเวลานั้น ทำให้มันเป็นสุดยอดเกมขายเครื่องคอนโซล (Gamecube) ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาและยังสมบูรณ์แบบในทุกมิติอีกด้วย
อันดับ 1: Perfect Dark
นี่คือเกม FPS ภาคต่อที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในวงการเกมและมันยังเป็นแชมป์ FPS ที่ได้คะแนนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ Perfect Dark คือเกมภาคต่อกลาย ๆ ของ Goldeneye 007 เนื่องจากทีมพัฒนาทีมเดิมใช้วิธีพัฒนาระบบเกมเพลย์ต่อยอดจากเกมสายลับ 007 และพวกเขายังต่อยอดได้เป๊ะเว่อร์ในทุก ๆ ด้านซะด้วย
เกม FPS เกมนี้ได้นำคอนเซ็ปต์ล้ำยุคที่ยังไม่มีเกมไหนคาดคิดได้ในเวลานั้นมาใช้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโหมดเนื้อเรื่องที่ไม่ได้เป็นเส้นตรงแต่จะมอบภารกิจใหม่ ๆ ให้เกมเมอร์เล่นไปเรื่อย ๆ เนื้อเรื่องแนวสายลับที่หักมุมเป็นพัลวัน และ AI ศัตรูที่ฉลาดแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกมันรู้จักหลบหลังกำบัง คุ้มกันเพื่อน หรือแม้แต่ยิงอาวุธของผู้เล่นให้กระเด็นหลุดจากมือ นอกจากนี้ Perfect Dark ยังนำโหมดมัลติเพลเยอร์ที่สนุกสุดยอดอยู่แล้วของ Goldeneye 007 มาทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีกด้วยการเพิ่มโหมดให้ผู้เล่นมาช่วยลุยในภารกิจเดียวกัน หรือจะเล่นเป็นวายร้ายคอยขัดขวางภารกิจของผู้เล่นอีกคนก็ได้
ด้วยฟีเจอร์เกมล้ำยุคสุดสร้างสรรค์ที่ขนมาเป็นขบวนเหล่านี้นี่เองที่ทำให้สื่อต่างยกย่อง Perfect Dark ว่าเป็นเกม FPS ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในตอนนั้น และคะแนนรีวิวที่สูงลิบติดเพดานบินในยามนั้นก็ยังทำให้เกมรักษาตำแหน่งแชมป์ได้จนถึงวันนี้ แม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 18 ปีแล้วก็ตาม