เมื่อพูดถึงองค์ประกอบโดยรวมของเกมหนึ่งเกมต้องมี นั่นคือเนื้อเรื่อง, กราฟฟิก, ระบบการเล่น, ตัวละครและอะไรอีกหลายๆอย่าง เพื่อมาประกอบรวมกันจนเป็นเกมหนึ่งเกมที่เราได้เล่น และเนื้อเรื่องเองก็มีส่วนสำคัญในเนื้อเรื่องที่ชาวเกมเมอร์อย่างเราๆ ชื่นชอบ แต่ก็มีหลายเกมเหมือนกันที่ชอบใช้มุกซ้ำๆ มุกเดิมๆ เอามาหากิน จนเวลามีภาคใหม่ของเกมชื่อนี้มาปุ๊บ เราจะรู้ทันทีว่าว่าเนื้อเรื่องหลักๆ ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ และไม่ใช่แค่เกมเดียวแต่มีหลายเกมที่ใช้มุขซ้ำๆแบบนี้ เรามาดูกันว่ามีมุขอะไรบ้างที่นักพัฒนาเอามาใช้ในเกมกัน
เจ้าหญิงถูกจับตัวไปอีกแล้ว
เมื่อเราพูดถึงเรื่องราวของเจ้าหญิงถูกจับตัวไป เชื่อว่าใครหลายคนคงจะนึกออกทันทีว่าเรากำลังพูดถึงเกมอะไร เพราะเนื้อเรื่องหลักๆ เกือบทุกภาค (ย้ำว่าเกือบ) ของเกมที่ชื่อว่า Mario จะมีการจับตัวเจ้าหญิงไปเสมอ ซึ่งก็มีบางภาคที่เจ้าหญิง Peach ของเราก็เป็นตัวเอกไปช่วยทุกคนที่ถูกจับ อย่างภาค Super Princess Peach ก็มี และไม่ใช่แค่ Mario เท่านั้นที่ใช้มุขนี้ แต่หลายๆ เกมก็เอามาใช้อย่าง Ghouls ‘n Ghosts หรือแม้แต่ The Legend of Zelda กับ Dragon Quest ก็เอามาใช้ นับเป็นมุกคลาสสิคจริงๆ
ตัวร้ายจะครองโลก
อีกหนึ่งมุขซ้ำซากแต่เราก็ยังเล่น และไม่เคยบ่นว่าไม่เบื่อกันรึไง กับมุกตัวร้ายที่ออกมาประกาศว่าข้าจะครองโลก ซึ่งเกมที่เอาเรื่องนี้มาเป็นจุดเด่นก็คงหนีไม่พ้นเกม RockMan หรือ MegaMan ที่เราคุ้นเคย ซึ่งถ้านับเฉพาะภาคหลักๆ 11 ภาค เราก็จะเห็น Dr.Wily วางแผนจะครองโลกไปแล้วถึง 11 ครั้ง นี่ยังไม่ยับภาคเสริมที่อยู่ในจักรวาลเดียวกันในภาคต่างๆอีกนะ และไม่ใช่แค่เกมนี้เกมเดียวที่ใช้ เพราะเกมชื่อดังอย่าง Resident evil 5 ก็ใช้มุกนี้กับเขาด้วย กับความพยายามจะครองโลกของ Wesker โดยการใช้ไวรัสคัดเลือกคนที่อยู่บนจุดสูงสุดของวิวัฒนาการ หรือเกม Pokemon ก็ใช้มุขนี้หลายภาคเช่นกัน
ไม่มีเนื้อเรื่อง
หรือถ้าเรื่องราวมันน่าปวดหัวก็ไม่ต้องมีมันไปเลยก็ได้ ขอแค่เกมสนุกเล่นเพลินก็พอแล้ว ยิ่งเกมยุคเก่าๆหลายเกมก็ใช้มุขนี้ คือเริ่มต้นมาเราก็รู้เลยว่าต้องทำอะไร โดยที่ไม่ต้องสนใจเนื้อเรื่องเนื้อหาใดๆให้ยุ่งยาก อย่างเกม PackMan หรือ Tetris ที่ไม่ต้องสนใจเนื้อเรื่อง และนอกจากสองเกมนี้ ก็มีเกมกีฬาต่างๆอย่างแข่งรถ, ฟุตบอล หรืออเมริกันฟุตบอล ที่ไม่ต้องมีเนื้อเรื่องมีแค่การแข่งขันก็พอ ซึ่งหลังๆ เกมแนวนี้ก็เริ่มมีเนื้อเรื่องใส่ลงไปแล้วแต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่
ตัวเอกเดินทางออกจากหมู่บ้านไปกู้โลก
ถ้าพูดถึงมุขตัวละครเดินทางออกจากหมู่บ้าน อันนี้หลายคนคงจะคิดถึงเกมซีรี่ส์ Dragon Quest กันอย่างแน่นอน เพราะเกือบทุกภาคจะเป็นการเดินทางของผู้กล้า ที่ต้องไปปราบราชาปีศาจ ซึ่งไม่ใช่แค่เกมนี้เกมเดียวแต่เกมภาษาหลายๆเกมก็ใช้ อย่าง Final Fantasy, เกมตระกูล Tales of หรือแม้แต่ Pokemon ก็นับรวมในส่วนนี้ด้วย เพราะการเดินทางออกจากหมู่บ้านคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยิ่งใหญ่ที่หลายเกมใช้ และเป็นการปูเรื่องที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับการปูเนื้อเรื่องในเกมที่นักพัฒนาชอบใช้ และแม้แต่เกมชื่อดังอย่าง The Last of Us ก็ใช้เรื่องนี้เช่นกัน
เจ้าชาย (เจ้าหญิง) ผู้ตกอับ
มุกเจ้าหญิง (เจ้าชาย) ตกอับโดนชิงบัลลังก์จนต้องออกมาเดินทาง มุกนี้เราก็มักจะเห็นได้บ่อยๆ ในหลายๆ เกม แต่ส่วนมากจะไม่เอามาเป็นประเด็นหลักๆ ในเกมเสียเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นเนื้อเรื่องของตัวละคร หรือเนื้อเรื่องที่ถูกใส่เข้ามามากกว่าอย่างเกม Final Fantasy ภาค 9 และภาค 12 ที่เล่าถึงเจ้าหญิง Garnet และเจ้าหญิง Ashe ที่ต้องออกเดินทางเพื่อชิงบัลลังก์คืนมา หรือแม้แต่ Dragon Quest 8 กับ 11 ก็ใช้มุกนี้ และอีกหลายๆ เกม ถ้าคุณสังเกตดีๆ จะเห็นเลยว่ามีเยอะมาก
ตามล่าสมบัติ
เรื่องของการล่าสมบัตินี้คงไม่ต้องยกตัวอย่างกันมาก เพราะเราคงจะรู้อยู่ว่ามี 2 เกมชื่อดังที่ใช้เรื่องของการตามล่าสมบัติเป็นแกนหลักในทุกๆภาค ซึ่งเกมที่ดูจะเป็นเกมแรกๆที่เริ่มใช้แนวนี้ก็มีซีรี่ส์ Tomb Raider ก่อนที่เกมอื่นๆจะยึดเอามาใช้เช่นกัน แต่มักจะเป็นแค่ในเนื้อเรื่องหรือซ่อนไปกับตัวละครต่างๆ เท่านั้น และอีกหนึ่งซีรี่ส์ที่ดังไม่แพ้ Tomb Raider และใช้การล่าสมบัติเช่นกัน ก็มี Uncharted ที่ทำออกมาได้ดี หรือเกมเก่าหน่อยอย่าง Torneko no Daibōken ก็เป็นแนวตะลุยดันเจียนแต่เนื้อหาคือการตามล่าสมบัติตามที่ต่างๆเอามาขาย และอีกหลายๆเกมที่ยึดเอามาใช้
กอบกู้โลก
ไอ้มุขกอบกู้โลกนี่ดูจะเป็นมุกคาสสิคแบบสุดๆ ที่เกือบทุกเกมที่คุณคิดออกจะมี และบางเกมไม่ใช่แค่ปกป้องโลก แต่ปกป้องทั้งจักรวาลเลยก็มี ซึ่งหลายๆ เกมอาจจะเริ่มต้นจากเรื่องราวเล็กๆ อย่างการเดินทางของตัวละคร ก่อนจะขยายเรื่องราวไปจนถึงการปกป้องโลก หรือการกระทำของตัวละครที่เริ่มต้นจากแค่ไปหาสมบัติ ก่อนจะบานปลายไปปกป้องโลก ซึ่งมุขนี้คือมุกประจำที่เราเห็นจนเบื่ออีกหนึ่งแบบ ยกตัวอย่างเกม Dead Space ที่เริ่มต้นจากการเอาตัวรอดจากยานที่มีมนุษย์ต่างดาวในภาคแรกๆ ไปจนถึงการปกป้องจักรวาล และอีกหลายๆเกมที่ไม่ได้เอามาแกนหลักแต่ก็เอามาใส่
แก้แค้น
แน่นอนว่าถ้าคิดถึงการแก้แค้นหลายคนคงจะคิดถึงเกมในซี่รี่ส์ God of War ไตรภาคแรกๆบนเครื่อง PS3 อย่างแน่นอน เพราะเรื่องนี้มีแกนหลักๆอยู่อย่างเดียวคือการแก้แค้น (ไม่นับฉบับ PS4) ซึ่งเกมแนวๆ นี้มักจะเป็นเกมที่เน้นตัวเอกที่เป็นดาร์กฮีโร่ ไม่ก็ตัวละครที่ไม่ใช่คนดีแต่เป็นตัวร้าย หรือแม้แต่เกมน่ารักๆ อย่าง Angry Birds ก็จัดอยู่ในหมวดหมู่การแก้แค้นเหมือนกัน อีกเกมที่มีประเด็นแก้แค้นเหมือนกัน Fallout New Vegas แม้แต่เกมชื่อดังอย่าง Metal Gear Solid V The Phantom Pain ก็มีแกนหลักเกี่ยวกับการแก้แค้นของตัวละครต่างๆในเรื่องเช่นกัน
ซอมบี้ครองโลก
ไอ้มุขซอมบี้ครองโลก ก็เป็นอีกหนึ่งมุขคลาสสิคที่ถูกเอามาใช้บ่อย ซึ่งเราไม่ขอนับเกม Resident evil เป็นแนวซอมบี้ครองโลก เพราะเรื่องราวของเกม Resident evil ส่วนมากจะจำกัดแค่บางพื้นที่ ขณะที่เกมอย่าง Dead Rising, The Last of Us, Days Gone หรือแม้แต่ Overkill’s The Walking Dead จะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่นี้ ซึ่งมีหลายเกมมากๆที่เอาเรื่องราวของซอมบี้ครอบโลกมาใช้ในเกม
สงคราม
ปิดท้ายด้วยมุกที่หลายเกมเอามาใช้เยอะไม่แพ้แนวอื่น นั่นคือแนวสงครามซึ่งไม่ใช่แค่สงครามโลกเพียงอย่างเดียว แต่มันรวมถึงสงครามทุกอย่าง ซึ่งส่วนมากจะเป็นเกมแนวยิงที่มักจะหยิบยกเรื่องราวของสงครามมาใช้ แต่ก็มีเกมแนววางแผนการรบ หรือเกม RPG รวมถึงแนวอื่นๆก็เอามาใช้ แต่จะเป็นการแฝงเอาไว้ในเรื่องราว หรือเล่ากว้างๆมากกว่าจะเอามาเป็นแกนหลัก แบบเกมแนวยิงอย่าง Call of Duty, Battlefield หรือสงครามต่างดาวอย่าง Gears of War ที่เอาเรื่องราวของสงครามมาเป็นแกนหลัก
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 10 แนวเกมที่ถูกเอามาใช้บ่อยๆ หวังว่าคงจะถูกใจกันไม่มากก็น้อย และยังมีอีกหลายแนวที่เป็นแกนหลักของเรื่อง ที่เรายังไม่ได้เอามานำเสนอ อย่างเช่นแนวผีหลอกวิญญาณหลอน หรือแนวรักๆใคร่ๆที่สองแนวนี้แม้จะเป็นที่นิยม แต่ก็ไม่มากเท่า 10 แนวที่เราเอามานำเสนอ ซึ่งถ้าใครมีแนวไหนหรือเกมแบบใดจะนำเสนออีกก็บอกกันมาได้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองกันและกันของชาวเกมเมอร์