ช่วงนี้มีเกมดี ๆ ออกมาเยอะแยะ แต่ละเกมก็อัดแน่นไปด้วยเนื้อเรื่องสุดเข้มข้น กราฟิกสุดอลังการ เกมเพลย์สุดเป๊ะ ทุกอย่างดูลงตัว ดูคิดมาแล้ว ดูมีเหตุผลรองรับไปซะหมด แต่บางครั้งคนเราก็ต้องการความบันเทิงที่หาสาระไม่เจอเอาไว้ฆ่าเซลล์สมองตัวเองบ้าง (เช่น ดูหนัง Transformers บ้าง Twilight บ้าง) ไม่งั้นฉลาดเกินไปแล้วชีวิตจะเครียด ต่อไปนี้คือรายชื่อเกมที่ไร้ซึ่งตรรกะและเหตุผลใด ๆ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าทีมพัฒนามันเมาอะไรอยู่รึเปล่าตอนทำเกม เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับเอาไว้เล่นตอนเจอดราม่าชีวิต (หรือตอนเมา) แต่ละเกมจะกาวขนาดไหนลองไปซื้ดอาห์ด้วยกันเลย
อันดับ 5: Borderlands 2: Tiny Tina’s Assault on Dragon Kep
เอาจริง ๆ Borderlands 2 ก็เป็นเกมที่มีความกาวซ่อนอยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ทั้งจากมุกเกรียน ๆ และตัวละครเพี้ยน ๆ ที่มีให้เห็นเต็มดาว Pandora ไปหมด แต่ความกาวของมันพีคถึงขีดสุดในภาคเสริมของแม่หนู Tiny Tina ก็เธอเล่นเปลี่ยนเรื่องราวการผจญภัยบน Pandora จนกลายเป็นโลกแห่งเกมกระดานแนว Dungeon & Dragon แถมเธอยังเป็นนักเล่าเรื่องที่อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ชิบเป๋ง อยากจะเปลี่ยนเส้นเรื่องตรงไหนก็เปลี่ยนมันตรงนั้นแบบไม่ถามสุขภาพซักคำ เล่น ๆ อยู่ฉากก็เปลี่ยนเองซะงั้น ศัตรูที่เก่ง ๆ บางทีก็กลายเป็นอ่อนสุด ที่อ่อน ๆ ก็ดันกลายเป็นเก่งชิหาย
เล่นแล้วพิศวงงงงวยมาก แล้วยังเต็มไปด้วยมุกบ้าบอคอแตก เช่น Tiny Tina มีชีวิตอยู่ได้ด้วยคุกกี้ไส้ช็อคโกแลต ตัวละครให้ฟังตลอดเวลาว่าไม่อยากเล่นแล้ว หรือตัวละคร NPC โดนลูกเต๋าบดตายเพราะผู้เล่นนอกจอรำคาญบทพูดของหมอนี่เกินทน เป็นต้น แฟน FPS ที่เบื่อเกมยิงเครียด ๆ ต้องลอง แล้วคุณจะได้พบกับทริปในโลกจินตนาการอันแสนล่องลอย อ้อ แล้วยังได้เจอยูนิคอร์นที่กินเงินแล้วอึออกมาเป็นปืนด้วยนะ
อันดับ 4: Octodad: Deadliest Catch
พล็อตเรื่องของเกมนี้คือปลาหมึกขึ้นบกเพื่อมาแฝงตัวเป็นคุณพ่อดีเด่นให้ครอบครัวแสนหวานย่านชานเมือง ภารกิจของเขาคือต้องพยายามทำตัวกลมกลืนที่สุด ปฏิบัติภารกิจในชีวิตประจำวันให้ดูธรรมด๊าธรรมดาที่สุด เพื่อไม่ให้โดนมนุษย์จับได้แล้วกลายเป็นปลาหมึกย่าง คือแค่อ่านเนื้อเรื่องก็ทึ่งแล้วว่าคนเขียนบทมันกินอะไรลงไปตอนเข้ามาทำงานในออฟฟิศ แถมเกมเพลย์ก็ยังพิศดารได้อีก เนื่องจากทีมพัฒนาตั้งใจทำให้การควบคุมคุณพ่อปลาหมึกห่วยบรม (ซึ่งมันขัดกับหลักการดีไซน์เกมที่ดีไม่เรอะ)
ผู้เล่นต้องใช้แต่ละปุ่มสั่งให้แต่ละหนวดขยับไปในทิศทางเดียวกันพร้อมกับต้องสู้กับระบบฟิสิกส์สุดขัดใจพร้อมกันไปด้วย ซึ่งภารกิจแต่ละอย่างในเกมก็แค่กิจวัตรประจำวันของพ่อบ้านทั่วไปนั่นแหละ เช่น หยิบจาน ซักผ้า ถูบ้าน แต่พอระบบควบคุมตัวละครมันพังขนาดนี้ไอ้เรื่องง่าย ๆ ที่ว่ามันเลยกลายเป็นเรื่องปวดหัวปนขำ ทำให้เกมนี้เหมาะมากถ้าจะเล่นตอนเมามายกับกลุ่มเพื่อน โดยมีคนคอยด่าเพื่อนที่ทำพลาดกำกับไปด้วย
อันดับ 3: Job simulator
พูดถึงเกม VR ปุ๊บ แว้บแรกเราก็ต้องนึกถึงเกมประเภทที่พาเราเข้าสู่โลกสุดลึกล้ำเหนือจินตนาการ ตระการตาจนทำให้ลืมโลกแห่งความจริงไปเลย ใครมันจะบ้าทำเกม VR ให้เกมเมอร์เล่นเป็นพนักงานกินเงินเดือนทำงานตามออฟฟิศหรือร้านฟาสต์ฟู้ดกันล่ะจริงไหม? แต่มันดันมีทีมพัฒนาเกมเจ้าหนึ่งที่มันทำว่ะครับ คอนเซ็ปต์ของเกมนี้คือคุณเล่นเป็นมนุษย์ที่ต้องมาจำลองวิถีคนทำงานให้พวกหุ่นยนต์ดู
หน้าที่ของคุณคือต้องทำงานประจำนั่งโต๊ะให้ออกมาห่วยที่สุดเพื่อให้เหล่าหุ่นยนต์แฮปปี้ เช่น สาดซอสมะเขือเทศใส่หน้าลูกค้าแทนการเสิร์ฟอาหาร ปาแม็กใส่หน้าเพื่อนร่วมงานโต๊ะข้าง ๆ แทนการเซฟงานลงดิสก์ จุดประทัดยิงเล่นในร้านสะดวกซื้อโดยไม่ต้องสนใจว่าจะโดนหน้าลูกค้า ดั่งฝันที่เป็นจริงของเหล่าซาลาริมังที่อยากอาละวาดขว้างปาข้าวของในออฟฟิศให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่เล่นแล้วอย่าจำไปใช้ในชีวิตจริงล่ะหนู ๆ ทั้งหลาย
อันดับ 2: Getting over it with Bennett Foddy
หนึ่งในเกมหัวร้อนที่สุดในปฐพีที่เห็นแว้บแรกยังต้องอึ้งว่านี่ทีมพัฒนาใช้หัวหรือใช้อะไรคิด เนื้อเรื่องของเกมนี้คือมีผู้ชายเปลือยอกคนหนึ่งตัวท่อนล่างติดอยู่ในไห ในมือถือค้อนปอนด์ และเขาต้องเหวี่ยงค้อนในมือให้ไปเกี่ยวกับอะไรก็ได้เพื่อพาร่างของตัวเองขึ้นไปให้สูงเรื่อย ๆ จนกว่าจะข้ามกองสิ่งกีดขวางไปได้เหมือนที่เขียนไว้ในชื่อเกม อ่านคำนิยามจบแล้วคุณอาจจะมีคำถามในหัวผุดขึ้นมาว่า “คืออะไรวะ???”
ที่บ้าบอไปกว่านั้นคือทุกคอนเซ็ปต์ในเกมนี้เหมือนทำออกมาเพื่อการกวนทีนผู้เล่นโดยเฉพาะ ไหนจะเรื่องที่สิ่งกีดขวางในด่านนั้นสูงลิบลิ่วแถมยังปีนยากชิหาย เรื่องที่เกมนี้ไม่มีจุดเซฟซึ่งส่งผลให้เมื่อคุณเกี่ยวแง่งพลาดเมื่อไหร่ เป็นอันได้ร่วงลงมาเล่นใหม่แม่มตั้งแต่ต้น (พร้อมกับตะโกนว่าฟ้ากกกกกก!!?) ส่วนดนตรีประกอบในเกมก็ช่างเลือกมาได้น่ารำคาญใจยิ่ง ฟังไปเล่นไปแล้วอยากจะเอามือต่อยจอมอนิเตอร์ ทุกอย่างในเกมนี้มีไว้เพื่อส่งเสริมความหัวร้อนในตัวเกมเมอร์ แต่ไม่รู้ทำไมคนก็ยังซื้อมาเล่นกันเยอะแยะ ยูทูปเบอร์ก็เอามาแคสต์กันตรึมจนเกมนี้โด่งดังไปทั่วโลกซะงั้น บางทีเกมเมอร์อย่างผมก็ไม่เข้าใจเกมเมอร์ด้วยกันจริง ๆ
อันดับ 1: Goat simulator
สังเกตไหมว่าช่วงหลัง ๆ เกมไหนที่มีคำว่า Simulator อยู่ในชื่อ เกมนั้นมักจะไม่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงแม้ซักนิด เกม Goat Simulator นี่ก็เช่นกัน อาจจะเรียกได้ว่าเจ้านี่เป็นต้นตอโรคระบาดของเกมคอนเซ็ปต์กาวเกมในยุคใหม่นี้เลยก็ได้ ผู้เล่นจะได้สวมบทบาทเป็น “แพะ” หนึ่งตัว จะเป็นแพะธรรมดา แพะดำ หรือปลาวาฬ (?) ก็ได้ แล้วก็ออกไปผจญภัยในโลกเปิดกว้างที่มีฉากหลังเป็นหมู่บ้านจัดสรรย่านชานเมืองอันน่าตื่นตาตื่นใจ (??) ทำความรู้จักกับคนในพื้นที่ด้วยการเดินไป “เลีย” ข้าวของเครื่องใช้และชาวบ้านในละแวกนั้นให้ระเบิดกระจุยกระจาย (???)
เป้าหมายของคุณมีเพียงอย่างเดียวคือสร้างความพินาศให้มากที่สุดเท่าที่แพะจะทำได้ แล้วขำท้องแข็งไปกับบั๊กเพี้ยน ๆ สารพัดในเกมนี้ เอาจริง ๆ Goat Simulator เป็นแค่มุกตลกที่ทีมพัฒนากะทำขึ้นมาฮา ๆ สำหรับโชว์ในงานเกมเท่านั้น แต่ด้วยสาเหตุเหนือธรรมชาติอะไรก็ไม่ทราบได้ที่ดลใจให้เกมเมอร์ชื่นชอบและเรียกร้องให้ทีมพัฒนาทำออกมาเป็นเกมตัวเต็ม ซึ่งหลังจากที่ปล่อยออกมาแล้วขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เกมแพะสุดกาวตัวนี้จึงคลอดลูกออกมาอีกหลายคอก ทั้งภาคซอมบี้ ภาคแฟนตาซี ภาคแพะอวกาศ ซึ่งแต่ละภาคต่างก็นำเสนอนวัตกรรมใหม่ทั้งยังยกระดับวงการเกมให้สูงขึ้นไปอีกขั้นแบบที่ไม่เคยมีเกมใดทำได้มาก่อน… ถุย!!?