ในงาน Let’s have Fun, It’s The Best Time to play PS4 แบไต๋และสื่อเกมเจ้าต่าง ๆ ได้ถูกรับเชิญให้ไปทดสอบเกม 1st Party หรือบรรดาเกมที่ทางผู้พัฒนาอย่าง Sony, PlayStation (ชื่อทางการคือ Sony Interactive Entertainment) ที่น่าจับตามองของทางพวกเขาด้วยกันทั้งสิ้น 3 เกม โดยหนึ่งในผลงานที่น่าสนใจและหลายคนตั้งตารอคอย ก็คือ Final Fantasy VII Remake การกลับมาอีกครั้งในเวอร์ชันรูปโฉมใหม่หมดจด ซึ่งแน่นอนว่าผู้เขียนก็ไม่พลาดที่จะนำประสบการณ์ที่ได้จากการเล่นมาเล่าสู่กันฟังครับ ถ้าพร้อมกันแล้ว ก็ลุยกันได้เลย!
Action เท้าหน้า RPG เท้าหลัง
สิ่งแรกที่อยากจะพูดถึงเลยคือเกมเพลย์ (Gameplay) ที่มันเกินคาดผู้เขียนไปเยอะเหมือนกัน คือในตอนแรกที่ได้ข่าวว่าตัวเกมจะเป็น Action – RPG ไอเราก็คิดว่าคงจะมีแค่เรื่องการเคลื่อนไหวที่จำกัดความว่าแอกชั่นส่วนการโจมตีก็คงต้องรอเกจ ATB (Active Time Battle) แต่ที่ไหนได้ เรารัวปุ่มโจมตีพื้นฐานใส่ศัตรูได้เลย! แม้จะไม่ได้เหมือนเกมเพียวแอ็กชันก็เถอะ แต่อย่างน้อยมันก็ฉีกจากภาคต้นฉบับไปเลยและสมกับคำว่ารีเมก
และในเวอร์ชันนี้ เราสามารถสลับตัวละครในปาร์ตี้ได้ไปมาได้แบบทันที (กดปุ่มลูกศรขึ้นหรือลง) ซึ่งนอกจากจะทำให้การต่อสู้ราบรื่นเป็นไปในแบบที่เราต้องการแล้ว มันยังเป็นเพราะว่าภาคนี้ การต่อสู้ในเกมมันอิงความเป็นเกมแอกชั่น โจมตีโดนก็รับดาเมจไป หลบได้คือไม่เกิดอะไร ส่วนบล็อกก็โดนดาเมจน้อยลง และการต่อสู้กับศัตรูประเภทที่อยู่เหนือพื้น เราก็ต้องใช้ท่าหรือตัวละครที่โจมตีบนอากาศได้ โดยในเดโม่ที่ผู้เขียนได้เล่น จะมีให้เลือกสลับบังคับเป็นคลาวด์ (Cloud) ที่ก็แน่นอนว่าจะใช้การโจมตีแบบฟันด้วยดาบยักษ์ใหญ่บัสเตอร์ และบาร์เร็ต (Barret) ที่การโจมตีพื้นฐานและสกิล (จะอธิบายเพิ่มอีกทีในย่อหน้าถัดไป) คือการโจมตีแบบระยะไกลด้วยแขนปืนกลของเขา ซึ่งผู้เขียนการันตีได้เลยว่าตัวละครในปาร์ตี้ของเราในเวอร์ชันรีเมกนี้จะมีประโยชน์ทุกตัวแน่นอน
แต่เกจ ATB (Active Time Battle) ไม่ได้หายไปไหนเพราะถ้าจะตัดทิ้งออกไปอย่างไร้เยื้อใยก็ดูจะทำร้ายแฟนเดนตายเกินไป ผู้พัฒนาเลยดัดแปลงให้ระบบนี้ มีความสำคัญอยู่แค่เปลี่ยนรูปแบบการใช้งานให้แตกต่างออกไปแต่ยังคงกลิ่นอายเดิมไว้ โดยเวลาที่เราโจมตีหรือถูกอัดเข้าเรื่อย ๆ เกจดังกล่าวจะค่อย ๆ ถูกเติมและเมื่อเต็ม เราจะสามารถกดปุ่ม X เพื่อเข้าสู่ Tactical Mode ที่ชะลอเวลาให้เราประมาณหนึ่งเพื่อให้ใช้คำสั่งพิเศษต่าง ๆ เช่น การใช้สกิลของตัวละครนั้น ๆ (Ability), เวทย์มนต์ (Spell) ที่ผู้เขียนเข้าใจว่าจะเรียนรู้ใส่ให้กับตัวละครได้เหมือนเดิมด้วยระบบ Materia (ซึ่งตอนลองเดโม่ยังไม่เจอนะ) และการใช้ไอเทม อาทิ Potion, Phoenix Down ฯลฯ และแน่นอนเมื่อพูดถึง Final Fantasy VII ก็ต้องมี “Limit Break” หรืออาจจะเรียกกลาย ๆ ได้ว่ามันคือท่าไม้ตาย โดยเมื่อคุณโจมตีศัตรูมากพอจนเกจเต็ม เราก็จะปล่อยท่าที่มีความเสียหายสูงหรือสกิลพิเศษอื่น ๆ
โพลิกอนในวันนั้น กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งด้วย Unreal Engine 4
เรื่องสุดท้ายและท้ายสุดที่น่าประทับใจก็คงจะหนีไม่พ้นกราฟิกที่สวยมีการแสดงผลของแสงเงาและพื้นผิวของสิ่งต่าง ๆ ในฉากค่อนข้างใกล้เคียงเกมในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะกับตัวละครที่เป็นโมเดลมนุษย์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความสวยหล่อแบบอนิเมะด้วยใบหน้าแต่สรีระที่ดูจับต้องได้และคงจะพบเห็นคนที่มีรูปร่างแบบนี้ได้จริง ๆ และในเรื่องของประสิทธิภาพการแสดงผล (Performance) เดโม่นี้ก็ไม่อาการเฟรมเรตตกอะไร ซึ่งผู้เขียนก็แปลกใจอยู่เพราะตัวเกมในเวอร์ชันนี้ใช้ Unreal Engine 4 ที่ก็ทำให้หลายเกมมีปัญหาทางเทคนิคอยู่ (ยกตัวอย่างเห็นได้ชัดเลยคือ Jump Force ในตัวเกมเวอร์ชันแรก ๆ) แต่ Final Fantasy VII Remake กลับทำในส่วนนี้ออกมาได้ในระดับที่น่าพอใจ ก็คงต้องรอดูกันต่อไปครับว่าเกมตัวเต็มจะยังคงความเสถียรในด้านนี้ครบสมบูรณ์เลยหรือไม่
ในตอนแรกผู้เขียนอาจมีความรู้สึกคลางแคลงใจอยู่ว่า Final Fantasy VII Remake จะเป็นการใช้ไม้ตายก้นหีบแบบขอไปที แต่หลังจากที่ได้มีโอกาสทดลองเล่นแล้ว ก็ต้องบอกเลยว่านี่คือเกมที่ Square Enix ตั้งใจทำอยู่ประมาณหนึ่งเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ผู้เขียนก็คงตัดสินใจอะไรไม่ได้มาจากเดโม่ที่ได้ทดลอง ก็คงต้องรอตัวเต็มอีกทีที่จะวางจำหน่ายในวันที่ 3 มีนาคม 2020 ที่จะถึงนี้
แต่สำหรับใครที่อยากจะได้เล่นตัวเกมกันแบบเนิ่น ๆ ก็สามารถไปทดลองเล่นได้ในงาน Thailand Game Show 2019 ในวันที่ 25 – 27 ตุลาคม ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ที่ Siam Paragon ในบูธ Facebook Gaming ครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส