อีกหนึ่งในแนวทางเกมที่นิยมสร้าง และขายดีบน Nintendo Switch คือเกมแอ็กชัน 2D ที่เน้นสำรวจ หรือที่แฟน ๆ เกมตั้งชื่อเล่นให้ว่าแนว Metroidvania เพราะมันคือการนำแนวทางของเกมยอดนิยมอย่าง Metroid และ Castlevania โดยเฉพาะภาค Symphony of the Night มาสานต่อ เพราะสร้างได้ไม่ยากและสามารถเล่นได้สนุกบนคอนโซลสเปกไม่แรง
และวันนี้ทาง Beartai ได้เปิดรายชื่อ 9 เกมแนว Metroidvania ที่วางขาย Nintendo Switch มารวมกัน เผื่อแฟนปู่นินจะไปหามาเล่น และข่าวดีคือเกมแนว 2D เน้นสำรวจส่วนใหญ่จะมีราคาไม่สูงมาก ใครอยากหาเกมสนุก ๆ ไปเล่นช่วงที่โรค Covid-19 กลับมาระบาดหนักอีกรอบไม่ควรพลาด (บทความนี้ไม่ได้เป็นการจัดอันดับ)
(กดที่ชื่อเกมเพื่ออ่านรีวิวได้ด้วยนะ)
1 Ori And The Blind Forest: Definitive Edition
ภาคแรกของซีรีส์ Ori เกมแอ็กชัน 2D ที่สร้างโดยค่าย ไมโครซอฟท์ ต้นฉบับออกบน XBoxone และ PC ส่วนบน Nintendo Switch เป็นการพอร์ตมาลงเพราะความสัมพันธ์อันดับระหว่าง ไมโครซอฟท์และปู่นิน โดยมาพร้อมกับรูปแบบ 2D ที่มีกราฟิกระดับสูง และเราจะได้เล่นเป็นสัตว์เทพที่ต้องท่องไปในโลกลึกลับฉากที่มีอะไรให้เราได้สำรวจอย่างไม่น่าเชื่อ และสามารถเพิ่มพลังความสามารถของตัวละครเพื่อแก้ปริศนาอันเป็นแนวทางของ เกมแนว Metroidvania
2 Carrion
อีกเกมที่มีแนวคิดแหวกแนว ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้เล่นเป็นตัวร้ายหรือสัตว์ประหลาดที่ต้องหลบหนีจากห้องทดลอง ผ่านรูปแบบการเล่น 2D มุมมองด้านข้างที่เน้นสำรวจแบบจัดเต็ม ที่มีกราฟิกแบบดอตพิกเซลที่เรียบง่ายแต่มีความเข้ากับแนวเกมและลดความสยองลง เพราะตัวละครของเราต้องกินมนุษย์ที่เป็นศัตรูในเกมนี้เพื่อเพิ่มพลังหากมีกราฟิกแบบสมจริงจะดูน่ากลัวมาก และเนื่องจากตัวเอกเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนปลาหมึก ทำให้มีความสามารถหลากหลายเช่นการลอดตัวไปในช่องแคบ ๆ หรือใช้พลังแปลงร่างได้ เรียกว่าแหวกแนวมากใครอยากหาความสดใหม่ไม่ควรพลาด
3 Shantae and the Seven Sirens
หนึ่งในผลงานเกม 2D จากค่าย WayForward ที่ขึ้นชื่อเรื่องสร้างเกม 2 มิติมาตลอด และ Shantae and the Seven Sirens เป็นอีกภาคในซีรีส์ Shantae ที่มีประวัติมายาวนาน และภาคนี้ก็ยังคงมีองค์ประกอบที่ดีที่สุดของเกมเน้นสำรวจแก้ปริศนา และตัวเอกสามารถแปลงร่างเพื่อไปทำภารกิจในจุดที่เคยไปไม่ได้ ทำให้เราได้กลับมาสำรวจฉากกันสนุก และยังออกแบบฉากได้อย่างยอดเยี่ยมและเป็นอีกเกมแนว Metroidvania ที่ทำออกมาได้ดีแบบไม่มีที่ติ แถมตัวละครยังออกแบบมาน่ารักในแบบการ์ตูน 2D และมีคัตซีนงาม ๆ ให้ชมกันตลอดเกมด้วย
4 Ori and the Will of the Wisps
สานต่อความสัมพันธ์ระหว่าง นินเทนโด และ ไมโครซอฟท์ กับการมาของภาคต่อ Ori and the Will of the Wisps แน่นอนว่าต้นฉบับออกบน Xboxone และ PC ทำให้กราฟิกอยู่ในระดับยอดเยี่ยม และการนำมาลง Nintendo Switch ถือว่าทำออกมาได้ดีมากแทบไม่แตกต่างจากต้นฉบับ ภาคนี้ฉากทำได้กว้างกว่าเดิม การแก้ปริศนาทำได้ซับซ้อนกว่าเดิมรวมทั้งท่าพิเศษที่จะใช้ต่อสู้และแก้ปริศนาก็มีหลากหลายมาก ถือว่าเป็นเกมที่ทำได้ยอดเยี่ยมมากทั้งรูปแบบการเล่นและกราฟิก ใครชอบภาคแรกแน่นอนว่าต้องไม่พลาดมาสานต่อกับภาคนี้
5 Blaster Master Zero
Blaster Master เป็นเกมคลาสสิกสมัยแฟมิคอม และมีการออกภาคใหม่ในชื่อ Blaster Master Zero ที่เกมพัฒนากราฟิกให้ดูดีขึ้น แต่ยังคงเป็นดอตพิกเซลอยู่ซึ่งใครชอบความคลาสสิกต้องชอบ และรูปแบบการเล่นยังคงเหมือนเดิมคือการได้สำรวจฉากแบบ 2D มุมมองด้านข้างโดยเล่นเป็นรถถัง และยังสามารถลงจากรถถังมาเล่นเป็นตัวละครมนุษย์ได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีฉากแบบ 2D มุมมองด้านบนเหมือนกับต้นฉบับด้วย เรียกว่าเกมเพลย์มีความหลากหลายสำหรับยุคก่อน ซึ่งแม้อาจจะไม่ได้ซับซ้อนเท่ากับเกมแนว Metroidvania เกมอื่นแต่ก็มีความคลาสสิกและเป็นหนึ่งในเกมยอดเยี่ยมสมัยยุค 80s
6 Dead Cells
Dead Cells ที่ขึ้นชื่อในความยากจนอาจจะเทียบได้ว่าเป็น Dark Souls ฉบับ 2D เพราะศัตรูในเกมมีความโหดจนเราต้องพลาดตายและต้องกลับมาเริ่มต้นฉากใหม่กันตลอด และเกมมีความยาวพอสมควรเพราะมีฉากให้เล่นหลากหลาย ความน่าทึ่งที่ Dead Cells คือแม้จะกลับไปเล่นแต่เกมจะมีฉากใหม่มาสร้างความประหลาดใจให้กับผู้เล่นได้ตลอด ส่วนกราฟิกในเกมมาแบบดอ9พิกเซล แต่ไม่ได้จำลองมาจากยุค 8Bit เกมเหมือนจำลองภาพแบบคลาสสิกสมัย 16Bit ที่สวยงามมากโดยเฉพาะบอสในเกมที่ออกแบบได้แหวกแนวและบางตัวดูหลอนสุด ๆ ใครชอบเกม 2D เน้นสำรวจที่มีความยากท้าทายแนะนำว่าต้องหามาเล่น
7 The Mummy Demastered
เกมจากภาพยนตร์ มัมมี่ของ ทอม ครูซ แม้จะขึ้นชื่อว่าเกมสร้างจากหนังแถมเป็นหนังที่เจ๊งอีก แต่เชื่อหรือไม่ว่าเวอร์ชันเกมของ The Mummy กลับทำออกมาดีอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเกมสร้างจากทีมงาน WayForward เจ้าเก่าอีกด้วย ดังนั้นรับประกันความสนุกของเกม โดยกราฟิกมาแบบ 16Bit สมัยซูเปอร์แฟมิคอม ที่เรียบง่ายรูปแบบการเล่นแบบ 2D มุมมองด้านข้างเน้นสำรวจ และผู้เล่นจะได้รับบทเป็นหน่วยทหารไม่ได้เล่นเป็นทอม ครูซ ที่เราจะได้ใช้อาวุธปืนเพื่อสู้กับปีศาจเหนือธรรมชาติจากหนังมัมมี่ โดยเกมมีฉากกว้าง ๆ ให้สำรวจเพื่อหาทางเอาตัวรอดในโลกที่เต็มไปด้วยปีศาจร้ายจากอดีต
8 The Messenger
อีกเกมที่มาแบบสร้างความประหลาดใจอย่างมาก เพราะเกมเอาแนวทางเบื้องต้นมาจากเกมในตำนานอย่าง Ninja Gaiden ยุคเก่าสมัยแฟมิคอม ที่คนไทยในยุคนั้นคุ้นเคยกันในชื่อ Ninja Ryukenden ที่เกมเพลย์เป็น 2 มิติมุมมองด้านข้าง ที่ใช้ความเร็วสูง เกมมีการเพิ่มเติมท่าไม้ตายใหม่ ๆ เข้าไปและมีฉากกว้างกว่าต้นฉบับ แม้ว่าเกมจะไม่ได้มีอะไรให้สำรวจมากเท่ากับ เกมแนว Metroidvania เกมอื่น เพราะมีการแบ่งเป็นฉาก ๆ แต่ก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมในส่วนของ แอ็กชัน ที่ลื่นไหลและมีท่าไม้ตายสุดอลังการกว่า รวมทั้งเกมมีความยาวกว่าเกมแอ็กชันทั่วไป ทางทีมงานจึงจัดให้อยู่ในหมวด เกมแนว Metroidvania แม้จะมีบางส่วนไม่ค่อยตรงนัก นอกจากนี้เกมมีเพลงประกอบที่ติดหูและมาพร้อมกับกราฟิกแบบ 8Bit ที่ยกระดับให้เข้ากับหน้าจอทีวียุคใหม่ได้ลงตัว ใครอยากหาเกมนินจาเล่นแนะนำเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
9 Bloodstained: Ritual of the Night
แน่นนอนว่าหากจะหาต้นฉบับของ Metroidvania ก็ต้องให้ผู้สร้างเกม Castlevania Symphony of the Night เป็นคนทำจะดีที่สุด และจากกระแสเรียกร้องและการระดมทุนสร้าง ทำให้คุณ Koji Igarashi เดินหน้าผลิตเกมที่เน้นสำรวจที่แทบจะถอดแบบมาจากภาค Symphony of the Night ทั้งฉากและการออกแบบตัวละคร อีกทั้งกราฟิกยังลงทุนใช้ Unreal 4 ในการผลิตทำให้มันดูดีมาก ระบบการเล่นมีการพัฒนาตัวละคร มีการใส่อาวุธเครื่องป้องกัน รวมทั้งฉากที่ซับซ้อนมีอะไรให้ทำมากมายและมีความลับรอให้เราค้นหาเพียบ แม้ว่าเวอร์ชั่น Nintendo Switch จะไม่ได้ดูดีเท่ากับบน PS4 , XBox one หรือ PC แต่ก็มีการอัปเดตให้ลื่นไหลขึ้นแล้ว ใครอยากสัมผัสเกมจากทีมงานต้นฉบับไปหามาเล่นได้เลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส