ย้อนเวลากลับไปเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2013 ได้เกิดการระบาดครั้งใหญ่ขึ้นบนโลก ผู้คนที่ถูกกัดหรือติดเชื้อประหลาดต่างบ้าคลั่งและออกไล่ทำร้ายผู้คน จนการติดเชื้อกระจายไปทั่วโลกสังคมมนุษย์ที่เคยมีล่มสลาย เราเรียกวันนั้นว่า ‘Outbreak Day’ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเกม ‘The Last of Us’ ที่ทาง ‘Naughty Dog’ ได้ใช้วันนั้นในการประกาศข้อมูลหรือขายสินค้าใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับเกม ‘The Last of Us’ ทุกปี ซึ่งในปีนี้เราก็รอคอยว่าจะอะไรใหม่ ๆ ประกาศออกมาอย่างโหมด PvP ที่เหมือนภาคแรก หรืออาจจะเป็นการเปิดเผยตัวอย่างซีรีส์ที่กำลังจะฉาย ไปจนถึงเกมภาคใหม่ของ ‘The Last of Us’ ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ในวันนั้น และเพื่อเป็นการต้อนรับวัน ‘Outbreak Day’ เราก็มีเรื่องสั้นที่มาในรูปแบบการจดบันทึกของผู้รอดชีวิตแบบที่ เอลลี่ (Ellie) จดเรื่องราวต่าง ๆ ลงบนสมุดบันทึกของเธอ โดยเราจะแบ่งออกเป็นช่วง ๆ ที่เหมือน 1 หัวข้อนั้นคือ 1 หน้ากระดาษเพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน โดยเราจะอ้างอิงข้อมูลต่าง ๆ มาจาก ‘Naughty Dog’ เพื่อให้เนื้อหาเชื่อมโยงกับในเกมทั้งสองภาค ดังนั้นจึงรับประกันความถูกต้องของเนื้อหาได้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้เขียนบันทึกนี้มาอ่านไปพร้อมกันได้เลย
ค้นพบบันทึกของผู้รอดชีวิต
2 เดือนก่อนเหตุการณ์ในเกม ‘The Last of Us Part II’ วันนี้ก็เป็นวันอันแสนสงบ เอลลี่ตื่นขึ้นมาบนที่นอนทั้งที่ยังคงงัวเงีย เพราะเมื่อคืนเธอนั่งเล่นกีต้าร์คนเดียวตลอดทั้งคืนหลังจากที่เพิ่งดู ‘Curtis and Viper 3’ ที่ โจเอล (Joel) เพิ่งไปได้มาจากการไปสำรวจคราวก่อน พอเช้าก็ต้องมาทำภารกิจต่อโดยมี เจสซี่ (Jesse) หัวหน้านำการสำรวจได้พาเอลลี่ไปยังเส้นทางใหม่ที่แถวทางตะวันออกที่ไกลกว่าปกติเล็กน้อย เอลลี่หาวไประหว่างขี่ม้าอย่างช้า ๆ กลางทุ่ง อากาศในตอนนี้เริ่มเย็นเพราะใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวที่หลายคนไม่ค่อยชอบ การสำรวจคราวนี้คือการเดินหาจุดตรวจใหม่ เพื่อขยายเขตในการตรวจสอบก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งสำหรับเอลลี่แล้วไม่ว่าจะสภาพอากาศแบบไหนก็ไม่ทำให้เธอรู้สึกหวั่นอะไร ทั้งคู่เดินอยู่ราว ๆ ชั่วโมงเศษ ๆ ระหว่างเดินทางก็คุยกันเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงเรื่องของ ดีน่า (Dina) แฟนของเขาที่มักจะมีปัญหาอะไรบางอย่างที่เอลลี่เองก็ไม่ค่อยสนใจฟังเท่าใดนัก จนทั้งคู่มาเจอบ้านพักหลังหนึ่งกลางป่า ทั้งคู่เข้าไปสำรวจเพื่อหาของที่พอจะใช้ได้ จนเอลลี่มาเจอกับสมุดบันทึกเก่า ๆ วางอยู่ตรงเครื่องเกม ‘PlayStation 3’ ในสมุดบันทึกนั้นเขียนเรื่องราวต่าง ๆ มากมายตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องราว เอลลี่จึงเปิดอ่านมันอย่างสนใจ
บันทึกจุดเริ่มต้นในวันที่แสนสุขของฉันที่จบลง
วันที่ 26 กันยายน 2013 ฉันขอจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อหวังว่าบันทึกของฉันจะเป็นประโยชน์ถ้ามีคนได้มันไป เรื่องราวมันเกิดขึ้นในคืนที่แสนสงบสุขในวันนั้น ฉันชื่อ อแมนด้า (Amanda) ในตอนที่เกิดเรื่องราวในตอนนั้นฉันยังคุยโทรศัพท์อยู่กับเพื่อน ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนกับงานเลี้ยง ‘Halloween’ ในเดือนหน้าว่าจะแต่งชุดอะไรไป ระหว่างที่หน้าจอทีวีก็มีการรายงายข่าวความวุ่นวายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วเมือง ที่ในตอนนั้นฉันคิดว่ามันก็แค่การประท้วงของอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นประจำ จนกระทั่งพ่อของฉันวิ่งเข้ามาในห้องในสภาพเปื้อนเลือด พ่อบอกให้ฉันไปแอบที่ห้องเก็บของใต้หลังคาและอย่างลงมา ในตอนนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าพ่อพูดหมายถึงอะไร แต่เมื่อเห็นแผลที่ถูกกัดของพ่อก็ทำให้ฉันเชื่อในสิ่งที่เขาบอก พอฉันขึ้นมาแอบบนนั้นสัญญาณโทรศัพท์ก็ถูกตัด เหลือเพียงเสียงทีวีที่ฉันได้ยินผู้ประกาศบอกว่าตอนนี้เกิดความวุ่นวายของเชื้อโรคประหลาดที่ทำให้คนบ้าคลั่ง คนที่ถูกกัดจะติดเชื้อและไล่ทำร้ายทุกคน ผู้ประกาศบอกให้เราอยู่ในบ้านก่อนที่สัญญาณทีวีจะตัดไป
ฉันที่แอบอยู่ในห้องใต้หลังคามันมีแต่ความเงียบงันสลับกับเสียงระเบิดเสียงรถชนกัน เหมือนข้างนอกนนั้นจะมีแต่ความวุ่นวายจนฉันคิดว่าสิ่งที่นักข่าวคนนั้นพูดถูกต้องที่สุด การออกไปข้างนอกมันมีแต่จะทำให้เรื่องแย่ เดี๋ยวทางรัฐบาลก็คงจะหาทางแก้ไขเรื่องนี้ได้เอง และในตอนนั้นฉันก็เพิ่มคิดออกว่าช่วงหนึ่งนักข่าวบอกว่าคนที่ถูกกัดจะเกิดบ้าคลั่ง ถ้าจำไม่ผิดพ่อของฉันก็ถูกกัดไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะกลายเป็นพวกมันไปแล้วขอให้อย่าเป็นแบบนั้นเลย
ทหารไล่ล่าผู้รอดชีวิตทุกที่มีแต่ความวุ่นวาย
วันที่ 27 กันยายน 2013 ฉันทนความหิวไม่ไหวจึงลงมาข้างล่าง เพราะทุกอย่างตอนนี้มันเงียบสงบไปแล้ว ไฟฟ้ายังไม่ถูกตัดแต่สัญญาณโทรศัพท์อินเตอร์เน็ตไม่มีอีกแล้ว ภายในบ้านของฉันมีแต่ความเงียบงันไม่มีใครอยู่เลย จะมีแค่ข้าวของที่กระจัดกระจายกับคราบเลือด ฉันในตอนนั้นรีบไปเปิดตู้เย็นหยิบนมและอาหารที่พอมีในนั้นมากินด้วยความหิว ก่อนที่จะเดินสำรวจรอบบ้านและเห็นกำแพงรั้วเป็นรูขนาใหญ่ คิดว่าพ่อของฉันที่ติดเชื้อคงจะพุ่งไปทางนั้นที่เป็นบ้านของโจเอลกับ ซาร่าห์ (Sarah) ที่ไม่รู้ว่าทั้งคู่จะเป็นอย่างไรเพราะฉันกลัวเกินกว่าจะไปดูที่บ้านของเขา และตอนนั้นเองฉันได้ยินเสียงปืนและเสียงร้องคนทางหลังบ้าน เมื่อฉันปีนรั้วไปก็เห็นทหารออกมาจากบ้านหลังนั้น ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านอีกหลังพร้อมเสียงปืน ทำไมทหารต้องยิงคนด้วย และถ้าฉันไม่หลบซ่อนตัวฉันคงถูกยิงไปด้วยอย่างแน่นอน แต่ก่อนที่ฉันจะหลบก็เห็นคนที่ติดเชื้อที่เหมือนคนบ้าวิ่งร้องเสียงดังมาทางทหารที่ยิงปืน ก่อนที่คนพวกนั้นจะถูกฆ่า ฉันเดาว่าทางทหารคงไม่รู้ว่าใครติดเชื้อบ้าง จึงคิดฆ่าทุกคนเพื่อกำจัดการติดเชื้อฉันคิดแบบนั้น
ประชาชนที่เหลือรอดปล้นฆ่ากันเองเพื่อแย่งอาหาร
1 ตุลาคม 2013 อาหารในบ้านของฉันหมดแล้ว โชคดีที่น้ำประปากับไฟฟ้ายังคงใช้งานได้ ในตอนกลางวันฉันจะแอบอยู่ที่ห้องใต้หลังคาเพราะยังมีทหารมาตรวจสอบในบ้าน รวมถึงคนติดเชื้อที่ฉันได้ยินพวกทหารพูดถึงอาการติดเชื้อนี้ว่า ‘Cordyceps brain infection’ ที่เป็นการติดเชื้อที่สมองจากเห็ดอะไรบางอย่างที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร พอตกกลางคืนฉันจึงต้องออกมาหาอาหาร ในช่วงแรกฉันจะเริ่มหาอาหารจากบ้านใกล้ ๆ อย่างบ้านของโจเอล ที่นั่นฉันเจอศพพ่อที่ถูกยิงในบ้านของเขา คิดว่าคงจะถูกโจเอลยิงแน่นอน “ขอโทษนะพ่อ” ฉันอ้วกออกมาเพราะเหม็นกลิ่นศพของพ่อ แต่เพื่อความอยู่รอดฉันจึงต้องไปค้นบ้านเพื่อหาอาหาร ที่เมื่อนานไปอาหารก็เริ่มหายากขึ้นฉันต้องออกไปไกลบ้านขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันตัดสินใจว่าจะทิ้งบ้านและออกเดินทางแม้จะตัวคนเดียวก็ตาม ฉันเตรียมกระเป๋าสะพายเพื่อให้ง่ายต่อการใส่ของพร้อมกับมีดที่ก็ไม่รู้ว่ามันจะช่วยได้ไหม ฉันเดินทางในตอนกลางคืนเพื่อหลบพวกทหาร แน่นอนที่แรกที่ฉันจะไปคือร้านขายของแต่เมื่อไปที่นั่นก็ว่างเปล่า เพราะตอนที่เกิดเรื่องทุกคนคงมาที่นี่เป็นที่แรก ฉันจึงไปหาของกินในตึกตามห้องต่าง ๆ เท่าที่ทำได้ และในระหว่างที่ฉันกำลังหาของกินตามห้องต่าง ๆ ฉันก็เจอศพคนที่เพิ่งตายไม่นาน ฉันเดาว่าคนพวกนี้ไม่น่าจะเป็นพวกที่ติดเชื้อ แต่น่าจะเป็นพวกที่ตายเพราะการแย่งอาหารมากกว่า ตอนนี้นอกจากทหารพวกซอมบี้แล้วยังต้องระวังคนอื่นด้วย
การเรียนรู้เพื่อเอาชีวิตรอดในโลกใบใหม่
วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้วฉันก็จำไม่ได้ ฉันลืมที่จะจดบันทึกเลยเพราะทุกวันของฉันมีแต่ต้องเอาชีวิตรอด ฉันได้ยินเสียงระเบิดดังไปทั่วพร้อมแสงไฟ คิดว่าทางรัฐบาลคงจะทิ้งระเบิดฆ่าคนติดเชื้อในเมืองใหญ่ ๆ ของฉันโชคดีที่อยู่แถวชานเมืองเลยมีแค่ทหาร ในตอนแรกที่ฉันได้เจอกับผู้ติดเชื้อครั้งแรกฉันรนรานวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่พวกมันก็วิ่งเร็วมากจนหลายคนตั้งฉายาให้พวกมันว่า ‘Runner’ แต่เห็นแบบนี้พวกมันค่อนข้างอ่อนแอที่ถูกไม้ฟาดแรง ๆ ก็ลงไปนอนชักตายบนพื้นแล้ว แต่ถ้ามันมาพร้อมกันหลายตัวก็คงต้องหนีละซ่อนอย่างเดียว เพราะในเวลาปกติพวกมันจะชอบยินนิ่ง ๆ ไม่ขยับตัวเหมือนมันจะฟังเสียง การขว้างของเพื่อให้เกิดเสียงเป็นการล่อพวกมันที่ดีที่สุด และอย่าลืมว่าถ้าถูกกัดเราจะกลายเป็นแบบพวกมันดังนั้นอย่าถูกกัด นอกจากนี้ฉันยังค้นพบสิ่งใหม่ ๆ อย่างตึกที่อับชื้นจะมีพวกสปอร์เห็นลอยในอากาศ ที่เกิดจากคนที่ติดเชื้อและตายลงจนเชื้อราแพร่ไปทั้งตัว ก่อนจะกลายเป็นดอกเห็ดปล่อยสปอร์เข้าปอดเราโดยตรง ฉันเคยเห็นคนที่สูดสปอร์เข้าไป เขาจะไอออกมาอย่างรุนแรงก่อนจะขาดใจตายและกลายเป็นพวกมัน แต่ในนั้นมีของและอาหารมากมายที่ยังไม่มีใครไปสำรวจ และแค่การเอาผ้าปิดจมูกมันไม่เพียงพอที่จะกันสปอร์ได้(มีคนลองมาแล้ว) ต้องใช้หน้ากากกันแก๊สเท่านั้น ซึ่งโชคดีที่ฉันรู้ว่าจะไปหามาจากที่ไหน เพราะเพื่อนฉันคนหนึ่งนางชอบเพลงเฮฟวีเมทัลมาก ๆ พวกนี้มักจะแต่งตัวแปลก ๆ รวมถึงการสวมหน้ากากกันแก๊สขึ้นเวที ฉันจึงไปที่บ้านของเพื่อนคนนั้น และได้หน้ากากมาสวมจนสามารถเข้าไปในห้องที่มีสปอร์ได้
ลักษณะของการติดเชื้อเบื้องต้น
เมื่อวันก่อนตอนที่ไปสำรวจค่ายทหารร้างเพื่อหายากับของที่จำเป็น เพราะก่อนหน้านี้ฉันเป็นไข้เลือดออกเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะน้ำที่ท่วมขังจึงทำให้มียุงลายเป็นจำนวนมากแม้สวมเสื้อแขนยาวแล้วก็เถอะ แต่ถึงแบบนั้นฉันก็ไม่ตายสงสัยพระเจ้าคงเบื้อขี้หน้าฉันจนไม่อยากให้ไปอยู่ด้วยแน่ ๆ บันทึกสำคัญ ฉันเจอใบปลิวในค่ายทหารร้างมันเป็นใบปลิวเก่า ๆ ที่บอกเราถึงการติดเชื้อแบบต่าง ๆ ที่เราต้องเจอ แต่กระดาษมันเก่าจนฉันอ่านไม่ออกว่าพวกมันชื่ออะไรเป็นอย่างไร จนฉันแอบคิดในใจว่าพระเจ้าไปอยู่ที่ไหนถึงได้ปล่อยพวกนี้ออกมา เพราะแค่พวก ‘Runner’ ก็แย่พออยู่แล้ว ยังมีพวกกลายพันธุ์ที่พัฒนาตัวเองไปได้อีกหรอ ฉันเก็บกระดาษนั้นเอาไว้ด้วย ถ้าใครที่มาอ่านบันทึกนี้จะได้เตรียมตัวรับมือพวกมันได้
Stalker ซอมบี้ที่เราควรระหวังหลังจากการติดเชื้อผ่านไป
พระเจ้าวันนี้ฉันเจอพวกที่อยู่ในใบปลิวนั้นแล้ว มันคือพวกติดเชื้อระยะที่สองของพวกนี้ ที่เราจะเห็นเห็ดราบนใบหน้าของมันที่ต่างกับพวก ‘Runner’ ที่ยังคงมีความเป็นคนอยู่ ซึ่งฉันมารู้ทีหลังจากคนอื่นว่ามันชื่อ ‘Stalker’ ที่ความหมายของชื่อก็ตรงกับสิ่งที่มันทำเลย เพราะพวกนี้จะมีความฉลาดกว่าพวก ‘Runner’ ที่จะแค่วิ่งไล่ตามเราเหมือนคนบ้า แต่พวก ‘Stalker’ จะแอบตามเราอย่างเงียบ ๆ ในความมืด โดยที่เราจะไม่รู้ตัวว่ามีพวกมันอยู่จนเมื่อเราหลงเข้าไปในถิ่นของมัน และเห็นมันวิ่งผ่านไปมาแบบจงใจ ที่มักจะเป็นอาคารมืด ๆ หรือตอนกลางคืน แถมพวกมันยังทำงานกันเป็นทีมไม่สู้ตรง ๆ แต่จะมีการล้อมและเข้ามาโจมตีเราจากมุมอับ พวกนี้ค่อนข้างอันตรายเมื่อรู้ว่าตัวเองหลงเข้าไปในถิ่นของมัน สิ่งที่ควรทำคือการรีบหนีออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด แบบมาทางไหนออกมาทางนั้นอย่าวิ่งไปข้างหน้า เพราะยิ่งลึกเข้าไปเราจะยิ่งติดกับมัน แต่พวกมันก็อ่อนยิ่งกว่า ‘Runner’ มากเพราะแบบนี้พวกมันจึงทำงานเป็นทีมมากกว่าจะลุยเดี่ยว ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยหลงเข้าในไปรังของมัน เพราะตัวล่อที่ทำให้ฉันตายใจว่ามันมีเพียงตัวเดียว แต่เมื่อเข้าไปก็ถูกล้อมจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
การค้นพบซอมบี้แบบใหม่เราเรียกว่า Clicker
โชคดีที่ใบปลิวนั้นช่วยฉันเอาไว้ เพราะครั้งแรกที่ฉันเจอ ‘Clicker’ ซึ่งเป็นร่างพัฒนาร่างที่ 3 ของพวกมันที่ถ้าดูผ่าน ๆ ฉันก็คิดว่ามันคือ ‘Stalker’ เพราะลักษณะภายนอกคล้าย ๆ กันคือบนหัวจะมีเห็ดราขึ้น แต่ของ ‘Clicker’ จะต่างออกไปถ้าดูดี ๆ ใบหน้ามนุษย์ของมันนั้นได้หายไปหมด เหลือเพียงแค่ดอกเห็ดขนาดใหญ่ขึ้นมาบนหน้า พร้อมกับเสียงฟันกระทบกันเหมือนเป็นการสร้างคลื่นเสียงแบบค้างคาว ฉันคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น เพราะพวก ‘Clicker’ จะไวต่อเสียงมาก ๆ แค่เสียงก้าวเดินหรือของตกเล็กน้อยก็เรียกความสนใจมันได้ แถมพวกนี้ยังวิ่งเร็วกว่า 2 ประเภทที่บอกมามาก และเห็นแบบนี้ก็เถอะพวกมันแรงเยอะมาก ฉันเคยเห็นคนที่สู้กับมันด้วยไม้เบสบอล ที่แม้จะถูกฟาดไปเต็มแรงจนหัวเห็นกระจายมันก็ยังไม่หยุดวิ่งมาหา จนชายคนนั้นถูกกัดทีเดียวแผลลึกเข้าไปในคอจนตายในทันที ถ้าเจอมันมีอยู่ไม่กี่ทางที่จะฆ่ามันได้ นั่นคือการใช้ไฟกับการแบบย่องไปข้างหลังและจิ้มคอมันที่เป็นจุดอ่อนเดียวของมัน(ตัวนี้จุดอ่อนไม่ได้อยู่ที่หัว) หรือถ้ามีปืนแรง ๆ ก็ยิ่งมันให้หัวเละไปเลย แต่ทางที่ดีคือหนีให้เงียบที่สุด
ทุกสิ่งที่กล่าวมายังไม่เทียบเท่า Bloaters
ทุกตัวที่ชั้นบอกมาทั้งหมดเราสามารถรับมือได้ถ้ามันมาเพียงตัวเดียว หรือเรามีสติกับอาวุธที่มากพอ แต่สำหรับ ‘Bloaters’ มันคือจุดสูงสุดของวงจรซอมบี้เห็ด(ฉันคิดแบบนั้น) เพราะ ‘Bloaters’ มีทุกอย่างที่มากกว่าทุกสายพันธุ์ที่ฉันเจอมา ไม่ว่าจะเป็นความเร็วที่แม้จะช้าที่สุดในบรรดาทั้งสามแบบแต่มันก็เร็วกว่าเราที่วิ่งสุดกำลัง นอกจากนี้ร่างกายของมันก็ถูกห่อหุ้มด้วยเห็ดจนกลายเป็นเกราะหนายากที่จะยิงเข้า แม้แต่ระเบิดขวดที่สามารถฆ่าพวกมันได้ง่าย ๆ ก็ทำอะไรพี่เบิ้มตัวนี้ไม่ได้เลย ต้องใช้ระเบิดขวดเป็นสิบขวดพร้อมการระดมยิงไปยังจุด ๆ เดียวซ้ำ ๆ ถึงจะเอาอยู่ แต่มันก็ไม่อยู่นิ่ง ๆ ให้เรายิงเพราะพวก ‘Bloaters’ จะบ้าคลั่งเหมือนพวก ‘Runner’ แถมแรงยังเยอะกว่าจนสามารถฉีกแขนเราขาดได้ง่าย ๆ แม้จะมาตัวเดียวก็ยากที่จะปราบมัน แต่โชคดีที่การเจอ ‘Bloaters’ นั้นยากมาก ๆ เรียกว่าถูกหวยนรกถึงจะเจอ ซึ่งฉันก็เคยเจอมันครั้งหนึ่งที่โรงเรียนมัธยมลินคอล์น ตอนนั้นฉันไปเห็นมันก่อนเลยแอบหนีออกมาได้โดยที่มันไม่เห็นฉัน ถ้าคุณได้เจอมันให้หนีอย่างเดียวไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น เกือบลืมบอกว่าตอนหันหลังวิ่งให้ระวังมันปาก้อนสปอร์ใส่ด้วย เพราะถึงจะรอดไปได้ก็ต้องติดเชื้อเพราะสูดสปอร์เข้าไปอยู่ดี ขอพระเจ้าคุ้มครองตอนเจอมัน
ถูกกดขี่แต่อยู่รอดหรือจะออกไปเสี่ยงโชคแต่มีอิสระ
ฉันหนีตายอยู่ข้างนอกมานานหลายปีจนไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าใดแล้ว จนวันหนึ่งฉันก็ทราบเรื่องที่หลบภัยที่มีคนสามารถพาฉันแอบเข้าไปได้ผ่านทางเข้าของพวกนักขนของเถื่อน ฉันเอาอาหารและสิ่งที่มีเพื่อแลกกับการได้เข้าไปอยู่ในเมืองที่มีทหารคุ้มกัน เพราะอย่างน้อยก็ดีกว่าต้องมาหนีตายแบบไม่รู้ว่าจะมีพรุ่งนี้ไหม ซึ่งในตอนแรกฉันก็รู้สึกโอเคกับการอยู่แบบนี้แม้จะถูกพวกทหารมาตรวจตรา หรือเข้ามายุ่งยากแต่เมื่อเทียบกันแล้วเรื่องนี้เล็กน้อยมาก ๆ แต่พออยู่ไปนานเข้ามันก็เริ่มไม่โอเคเพราะอาหารที่มีน้อย แถมยังต้องเจอพวกคนที่ไม่เป็นมิตรที่ไม่ต่างกับข้างนอก จนฉันได้รับการต่อต่อจาก โรเบิร์ต (Robert) นักค้าของเถื่อนเจ้าใหญ่ให้มาช่วยงาน เพราะฉันคือคนที่เคยอาศัยอยู่ข้างนอกจึงมีประสบการณ์ในการเอาชีวิตรอดที่เขาต้องการ โรเบิร์ตให้ค่าตอบแทนที่สูงจนฉันยินยอมรับงานในการขนของเถื่อน อย่างเหล้าบุหรี่อาวุธไปจนถึงของต่าง ๆ จากข้างนอกเข้ามาในนี้ แต่พอโรเบิร์ตตาย(สมควรตายแล้วไอ้ลูกหมา) ฉันก็ไม่กลับเข้าไปในนั้นอีกแล้ว เพราะในนั้นมีสงครามระหว่างทหารกับกลุ่ม ‘Fireflies’ อีกไม่นานที่นั่นก็คงจะล่มสลายสู้ออกมาก่อนดีกว่า
บันทึกสุดท้ายของฉัน
ถ้าคุณได้อ่านมาถึงตรงนี้นี่คงจะเป็นบันทึกสุดท้ายของฉันแล้ว เพราะฉันคงไม่รอดไปจากที่นี่ น่าเสียดายที่อุตส่าห์พยายามเอาชีวิตรอดแทบตาย สุดท้ายก็ต้องมาตายเพราะถูกยิงจากคนแปลกหน้า ระหว่างที่เดินทางมายังเมืองแจ็คสันที่รัฐไวโอมิงเพราะได้ข่าวว่าที่นี่มีชุมชมอยู่ ฉันคิดว่าถ้าไปถึงคงจะช่วยคนที่นั่นได้ไม่น้อย แต่ฉันก็มาพลาดเพราะถูกใครก็ไม่รู้ยิงระหว่างที่กำลังเดินทาง คนพวกนั้นต่างโต้เถียงกันเรื่องฉันว่าจะฆ่าทิ้งหรือปล่อยฉันไป หนึ่งในนั้นที่ห้ามเพื่อนไม่ให้ฆ่าฉัน เธอเป็นผู้หญิงผมเปียร่างใหญ่เหมือนผู้ชาย ที่ห้ามชายที่เหมือนชาวเม็กซิกันไม่ให้ฆ่าฉัน ผู้หญิงคนนี้ดูแลฉันอย่างดีและขอโทษฉันที่เพื่อนของเธอทำ แผลที่ถูกยิงค่อนข้างหนักฉันคงไม่รอดแล้ว ถ้าคุณได้อ่านบันทึกนี้ช่วยส่งต่อสิ่งที่ฉันเขียนไปให้คนอื่น ๆ เพื่อหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ในการเอาชีวิตรอด ก่อนจะไปฉันเจอกระดาษใบที่สมบูรณ์แล้วถ้าคุณสามารถพิมพ์มันได้ก็ดีไม่น้อย หวังว่าจะมีประโยชน์ ลาก่อน
Shambler ตัวประหลาดที่วิวัฒนาการไม่หยุด
เอลลี่อ่านบันทึกในสมุดเล่นนั้นจนจบ ก่อนจะเก็บสมุดเล่นนั้นใส่กระเป๋าติดตัวไปด้วย โดยที่เธอไม่รู้เลยว่ามีกระดาษใบหนึ่งหล่นลงมาจากสมุดบันทึกเล่มนั้น ในกระดาษนั้นเป็นใบปลิวที่เขียนด้วยมือ แต่ถูกพิมพ์ด้วยเครื่องถ่ายเอกสารพร้อมรูปวาดของการติดเชื้อระยะใหม่(รูปประกอบด้านบน) ที่ด้านหลังใบปลิวเขียนว่า ‘Shambler’ อยากรู้จริง ๆ ว่าใครตั้งชื่อให้มัน ฉันบังเอิญเจอกระดาษใบนี้จากศพ ๆ หนึ่งระหว่างที่กำลังเอาตัวรอด ในนี้บอกเอาไว้ว่า ‘Shambler’ จะเป็นพวกกลายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ที่ร้อนชื้น ตัวมันจะอวบอ้วนเหมือน ‘Bloater’ แต่จะมีตุ่มหนองบนหัวที่พ่นกรดออกมาได้ คนที่โดนผิวหนังจะไหม้เหมือนโดนน้ำกรด แถมยังมันรวดเร็วและร้องเรียกพวกเมื่อเจอได้ด้วย แต่ข้อดีคือร่างกายมันอ่อนแอแค่กระสุนไม่กี่นัดก็ฆ่ามันได้แค่อย่าไปเข้าใกล้มันก็พอ ที่แสบไปกว่านั้นคือเมื่อมันตายแก๊สในตัวมันจะระเบิดออกปล่อยสปอร์และกรดออกมาใส่เราให้เข้าทางบาดแผล ถ้าเจอมันฆ่าคงเป็นการตายที่ทรมานน่าดู โชคดีที่ฉันไม่เคยเจอมันไม่อย่างนั้นคงไม่รอดแน่นอน ถ้าคุณบังเอิญไปเจอพวกมันก็หนีให้ห่าง และขอให้โชคดีพระเจ้าคุ้มครอง
เป็นอย่างไรกันบ้างกับบันทึกการเอาชีวิตรอดของอแมนด้า ที่ผู้เขียนแต่งเรื่องราวของเธอขึ้นมาใหม่ แต่ได้แอบผูกเนื้อหาให้เกี่ยวกับเรื่องราวในเกมช่วงต่าง ๆ ลงไป เพื่อให้หลายที่เคยเล่นมาแล้วเข้าใจเนื้อหาและภาพได้ง่ายขึ้น ส่วนใครที่ไม่เคยเล่นแต่ได้มาอ่านคุณก็จะได้รับรู้โลกใบใหม่ของเกม ‘The Last of Us’ ที่การเอาชีวิตของเกมนี้จะต่างกับเกมซอมบี้เกมอื่น ที่เราจะต้องแอบซ่อนเพื่อกำจัดพวกมันมากกว่าที่จะวิ่งและยิงแหลก เพราะทรัพยากรในการเอาตัวรอดของเกมนี้มีจำกัด แถมที่ต่าง ๆ ในเกมนี้ก็แคบวิ่งหนีไม่มีทางทัน แนะนำให้ไปหามาเล่นเองแล้วคุณจะรู้ว่าเกมนี้มันมีอะไรมากกว่าแค่การเอาชีวิต แล้วคุณจะหลงรัก ‘The Last of Us’
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส