เมื่อพูดถึงบริษัท ‘Apple’ เราคงจะคิดถึงบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่เกิดจากชายผู้เป็นตำนานอย่าง สตีฟ จอบส์ (Steven Jobs) ที่ถ้าไม่มีเขาวันนั้นเราคงจะไม่ได้เห็นหลายสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ ‘Mouse’ ที่มี 2 ปุ่มบนคอมพิวเตอร์ ‘Lisa’ หรือจะเป็นเครื่องฟังเพลงอย่าง ‘iPod’ ไปจนถึง ‘iPad’ ที่หลายคนต่างพูดกันในตอนแรกว่า สิ่งเหล่านี้แทบเป็นไปไม่ได้แต่ชายคนนี้ก็สามารถทำให้เกิดขึ้นมาได้ นี่ยังไม่นับบริษัทสร้างภาพยนตร์การ์ตูนยักษ์ใหญ่อย่าง ‘Pixar Studio’ ที่เราเห็นในตอนนี้ก็เกิดมาจากชายคนนี้ จนหลายคนอาจจะสงสัยว่าตอนที่สตีฟ จอบส์ยังมีชีวิตอยู่เขาเคยสนใจวงการเกมบ้างรึเปล่า ซึ่งคำตอบที่ได้รับมาคือไม่ เพราะเท่าที่ทราบมาสตีฟ จอบส์แทบไม่เคยพูดถึงหรือสนใจในตลาดเครื่องเกมเลย แต่ในยุคที่บริษัท ‘Apple’ ไม่มีสตีฟ จอบส์ทาง ‘Apple’ เคยร่วมมือกับบริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง ‘Bandai’ สร้างเครื่องเกมของตนเองขึ้นมาในชื่อ ‘Apple Pippin’
![Apple Pippin](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2022/03/1-12.jpg)
ตัวเครื่อง ‘Apple Pippin’ ตั้งชื่อตามสายพันธุ์แอปเปิ้ล ‘Newtown Pippin’ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่เครื่องเกม ‘PlayStation 1’ กำลังโด่งดังและขายดีเหมือนแจกฟรีทาง ‘Apple’ จึงอยากมาร่วมในตลาดนี้ โดยมี ไมเคิล สปินด์เลอร์ (Michael Spindler) เป็นผู้ออกแนวคิดในครั้งนี้ ซึ่งภายในตัวเครื่องนั้นก็เต็มไปด้วยเทคโนโลยีล่าสุดของบริษัทในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์ม ‘Apple Macintosh’ ที่อยู่บนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ รวมถึงสถาปัตยกรรม ‘Mac OS’ ในการสร้างตัวต้นแบบเครื่องเกม ‘Pippin’ ขึ้นมา ที่เรียกว่า ‘Pippin Power Player’ ซึ่งความพิเศษของเครื่องเกมตัวนี้คือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตามความต้องการของคนเล่นเกมในยุคนั้นที่ ‘PlayStation 1’ ของ ‘Sony’ หรือ ‘Nintendo 64’ ของ ‘Nintendo’ ก็ไม่มี
![Apple Pippin](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2022/03/2-9.jpg)
ตัวเครื่องสามารถแสดงผล 3D ผ่านการเล่นแบบ CD-ROM พร้อมเกมที่จะวางจำหน่ายมากมาย โดยมี ‘Bandai’ เป็นผู้จัดจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นในชื่อ ‘Bandai Pippin’ พร้อมตัวเครื่องสีขาว ที่จะวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นพร้อมเกมจากการ์ตูนมากมาย ที่เรียกความสนใจให้แฟน ๆ ในเดือนมีนาคม 1996 ซึ่งในการพัฒนาเกมลงบน ‘Pippin’ นักพัฒนาจะต้องเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ลงทะเบียนกับ ‘Apple’ เพื่อที่พวกเขาจะได้รับชุดเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาเกม ตลอดจนได้รับส่วนลดอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ สำหรับเครื่อง ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากเมื่อเทียบกับคู่แข่งอีก 3 ที่ในตลาด ส่วนเกมที่วางจำหน่ายเกือบทั้งหมดก็มาจาก ‘Bandai’ ที่ไม่ค่อยน่าสนใจเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ซึ่งนั่นก็เป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะสิ่งที่ทำให้เครื่องเกมตัวนี้ตายสนิทอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงแค่ 1 ปีนั่นคือเรื่องของราคา
![Apple Pippin](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2022/03/3-9.jpg)
โดยราคาเครื่อง ‘Pippin’ วางจำหน่ายนั้นสูงถึง 600 ดอลลาร์ส่วนที่ญี่ปุ่นก็สูงถึง 650 ดอลลาร์ ขณะที่เครื่องเกม ‘PlayStation 1’ กับ ‘Nintendo 64’ ราคาเพียง 299 ดอลลาร์ที่เรียกว่าถูกกว่าถึง 3 เท่า แม้ตัวเครื่องจะบอกว่าภายในนั้นสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและต่อกับคอมพิวเตอร์ได้ พร้อมกับอุปกรณ์เสริมมากมายมาจูงใจผู้คนซื้อ แต่ด้วยตัวเกมที่มีน้อยไม่น่าสนใจ แถมยังราคาแพงเกินไปจนทำยอดขายไปเพียง 12,000 เครื่องในญี่ปุ่น ขณะที่ต่างประเทศทำได้ไปเพียง 42,000 เครื่อง เมื่อเทียบกับค่าลงทุนพัฒนาบวกกับการขาดทุนอย่างต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ ‘Apple’ ในตอนนั้น จึงต้องใช้การ์ดอัญเชิญสตีฟ จอบส์กลับมาเป็น ‘CEO Apple’ อีกครั้งในปี 1997 ซึ่งหนึ่งในโครงการที่สตีฟ จอบส์ยุบทิ้งไปทันทีเมื่อมาเป็น ‘CEO Apple’ คือการปิดโครงการพัฒนาเครื่องเกม ‘Pippin’ จนมาถึงตอนนี้เราก็ไม่เห็นทาง ‘Apple’ สนใจจะมาลงทุนในตลาดนี้เลย ส่วนใครที่สนใจอยากได้เครื่องเกมตัวนี้มาสะสม ก็พอมีขายอยู่ตามตลาดในราคาที่ไม่แพง เพราะแม้จะถูกผลิตมาน้อยแต่ก็ไม่ได้เป็นที่ต้องการของตลาดเลย แม้แต่แฟน ๆ ของ ‘Apple’ ก็ยังสาปส่งเครื่องเกมตัวนี้ ส่วนใครที่มีเครื่องเกมตัวนี้หรือเคยเล่นเครื่องนี้มาแล้วก็เอามาบอกเล่ากันได้
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส