รีวิวเกม Klonoa Phantasy Reverie Series รีเมกตำนานแอ็กชัน 2.5D สุดน่ารัก

Our score

7.5

Klonoa Phantasy Reverie Series

จุดเด่น

1. เกมในตำนาน 2 เกมในชุดเดียว
2. เกมเพลย์สนุกเข้าใจง่าย มีโหมดง่ายให้เล่น

จุดสังเกต

1. กราฟิกธรรมดาไปหน่อยสำหรับยุคนี้
2. ราคาแพงไปนิด

ในยุค 90S หนึ่งในรูปแบบเกมที่นิยมสร้างคือแนว 2.5D หรือแนวทางที่นำเกมเพลย์แบบ 2 มิติมุมมองด้านข้าง มาใส่ในฉากที่แบบ 3 มิติ เพราะทำให้มันดูไม่เชย และยังเล่นได้ง่ายแถมยังสร้างได้ง่ายและไม่ซับซ้อนเท่าเกม 3D แท้ ๆ ทำให้มีการสร้างออกมาต่อเนื่อง

และหนึ่งในซีรีส์ที่เอารูปแบบการเล่น 2.5D มาสร้างตำนานในยุค 90S คือซีรีส์ Klonoa ที่ออกวางขายครั้งแรกบน PS1 ในปี 1997 ในภาค Klonoa: Door to Phantomile และมีภาคต่อออกมาในชื่อ Klonoa 2: Lunatea’s Veil ที่วางขายในปี 2001 บน PS2 ซึ่งมันเคยกลับมารวมฮิตขายใหม่แบบรีเมกแล้วบน Wii ในปี 2008 ทำให้การมาของภาค Klonoa Phantasy Reverie Series ในส่วนของภาคแรกจะเป็นการเอาเวอร์ชัน Wii มาปรับภาพเป็น HD ไม่ได้เอาเวอร์ชัน PS1 มา โดยเกมจะออกบน Nintendo Switch, PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox One, Xbox Series และบน PC ด้วย

ส่วนเนื้อเรื่องใน Klonoa Phantasy Reverie Series จะแยกออกเป็นภาคไม่ได้ยำรวมกัน โดยผู้เล่นสามารถเลือกเล่นได้ตั้งแต่ต้นว่าอยากเล่นภาคไหนก่อนกัน ที่ในภาค Klonoa: Door to Phantomile เกิดขึ้นในโลก Phantomile ที่ตัวเอกอย่าง Klonoa ต้องออกปกป้องโลกไม่ให้ถูกเปลี่ยนเป็นดินแดนแห่งฝันร้าย ส่วนภาค Klonoa 2: Lunatea’s Veil จะเกิดในดินแดนแห่งความฝัน Lunatea ประกอบด้วย 4 อาณาจักรที่แตกต่างกัน

กราฟิกอัปเกรดเป็น HD แต่ธรรมดาไปหน่อย

การรีเมกครั้งนี้ถือว่าเป็นการลงทุนที่น้อยแต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะมีการนำภาคแรกเวอร์ชันสร้างกราฟิกใหม่บน Wii ไปอัปเกรดให้เป็น HD ส่วนภาค 2 ก็มีการปรับเปลี่ยนเป็น HD รวมทั้งตัวละครก็มีการสร้างขึ้นมาใหม่ รวมทั้งแสงสีในเกมก็ถูกปรับให้ดูดีขึ้นด้วย ถือว่าเอามาเล่นในยุคนี้ก็ไม่เชยจนเกินไป แฟนต้นฉบับต้องชอบเพราะมันคือของเดิมที่คุ้นเคย ส่วนแฟนรุ่นใหม่ก็เล่นได้แบบไม่เสียสายตาแน่

ส่วนงานออกแบบก็น่ารักเหมือนการ์ตูนเด็กที่ไม่มีความรุนแรงอะไร ที่มีการเล่าเรื่องผ่านตัวละครหลักที่ออกเดินทางไปกอบกู้โลกกับเพื่อน ๆ และที่เป็นจุดเด่นมากคือระบบเสียงประกอบที่อย่างแรกเพลงประกอบก็ทำได้น่ารักตามมาตรฐานเกมตะลุยด่านทั่วไป แต่ที่มาแปลกคือเสียงพากย์ที่แม้จะมีตลอดเกมแต่ก็เป็นภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่องเพราะเป็นภาษาที่อยู่ในโลกแฟนตาซีในเกมไม่ใช่ภาษามนุษย์ที่มีอยู่จริง ทำให้ตลอดการเล่นเราต้องอ่านซับไปตลอดถึงจะเข้าใจ

รูปแบบการเล่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

เกมเพลย์อย่างที่รู้กันว่ามันเป็นการผสมโลก 2 มิติกับภาพแบบ 3 มิติจนได้นิยามว่า 2.5D ที่การเล่นนั้นง่ายมาก เพราะเราจะบังคับตัวละครเดินได้ซ้าย ทางขวาด้านบนและด้านล่างเหมือนกับเกม 2 มิติทั่วไป และเราต้องบังคับตัว Klonoa ให้โจมตีศัตรูโดยใช้วงแหวนปาใส่แล้วดึงเอาศัตรูมาใช้งานได้เช่นการปาใส่ศัตรูด้วยกัน หรือใช้เพื่อช่วยให้เรากระโดดสูงขึ้นได้ ที่เป็นรูปแบบหลัก ๆ ของเกมที่เราต้องเรียนรู้เพราะจะใช้ทั้ง 2 ภาค

ความโดดเด่นที่ต้องชมทีมงานคือการสร้างด่านที่ออกมารองรับได้ดี แม้ว่าเกมจะเป็นเส้นตรงและแบ่งออกเป็นด่านคล้ายกับ Super Mario แต่ทุกอย่างดูดีมีความซับซ้อนพอตัว มีทางแยกให้เก็บของที่ซ่อนอยู่ มีเนื้อเรื่องให้ทำที่ต้องเดินกลับไปเล่นฉากเก่าด้วย และยังมีเกมเพลย์ที่เราต้องขี่ยานพาหนะเช่นสเกตบอร์ดที่จุดนี้ฉากจะบังคับเหมือนเกม 3 มิติเข้าไปให้เล่น หากมองว่ามันเป็นเกมที่วางขายมาเป็น 10 ปีแล้วถือว่ายังไม่เชย

ฉากออกแบบดีต่อสู้กับบอสสนุกเกินคาด

โดยทั้ง 2 ภาคจะมีเกมเพลย์ 2.5D ที่เหมือนกันกัน แต่ในภาค 2 จะเพิ่มความซับซ้อนของฉากเข้าไป มีจุดที่ต้องแก้ปริศนามากขึ้นที่ในบางด่านเราต้องทำหลายขั้นตอนกว่าจะผ่าน ที่สำคัญคือไม่มีการบอกใบ้อะไรเลยต้องเดาเอาเอง และยังใส่ฉากที่ต้องออกไล่ล่าจับตัวละครที่หน้าตาเหมือนน้องแมวเข้ามาด้วย

นอกจากนี้ยังเสริมด้วยระบบช่วยกันเล่น โดยเราสามารถเรียกเพื่อนมาช่วยเล่นได้แต่จะไม่ได้เป็นการเล่นพร้อมกัน 2 คนแต่จะใช้เป็นผู้ช่วยที่ทำให้เรากระโดดไปยังที่สูงได้ และสามารถใช้ Joy-con เล่นได้บน Nintendo Switch ด้วย ส่วนมือใหม่ที่ไม่ถนัดเกมแอ็กชันหรือเด็ก ๆ ที่อยากสนุกแบบไม่ต้องคิดอะไรมากก็มีโหมดง่ายมาให้เล่นด้วยที่ตัวละครของเราจะแข็งแกร่งขึ้น และจะมีตัวให้ใช้แบบไม่จำกัดด้วย

การกลับมาของตำนานเกม 2.5D อย่าง Klonoa Phantasy Reverie Series ถือว่าไม่ได้สร้างความประหลาดใจอะไร เพราะมันคือการเอาของเดิมมาปรับภาพให้คมชัดขึ้นเท่านั้น หากไม่ใช่แฟนต้นฉบับถือว่าข้ามไปก็ได้เพราะราคาขายก็ไม่ได้ถูกนัก แต่หากคุณเป็นเด็กยุค 90S ถือว่ายังคงมีความสนุกในอดีตที่ปรับกราฟิกให้ทันสมัยมากขึ้น

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส