[รีวิวเกม] Valiant Hearts: Coming Home ภาคต่อของสงคราม ที่ทำให้เราได้สัมผัสความเป็นมนุษย์มากขึ้น
Our score
9.0

[รีวิวเกม] Valiant Hearts: Coming Home ภาคต่อของสงคราม ที่ทำให้เราได้สัมผัสความเป็นมนุษย์มากขึ้น

จุดเด่น

  1. เกมภาคต่อที่มีเนื้อเรื่องเข้มข้น สะเทือนอารมณ์
  2. ภาพลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ ถ่ายทอดบรรยากาศช่วงสงครามได้ดี
  3. เกมเพลย์แนวสำรวจ ไขปริศนา เหมาะกับผู้เล่นแทบทุกกลุ่ม
  4. สอดแทรกแง่มุมทางสังคมและวัฒนธรรม

จุดสังเกต

  1. ไม่สามารถเซฟเกมเองได้ ต้องเล่นให้จบเป็นตอน เกมถึงจะเซฟ
  2. ไกด์แนะนำช่วงต้นเกมน้อยไปหน่อย บางอย่างต้องลองผิดลองถูกเอง

Valiant Hearts: Coming Home เกมมือถือภาคต่อที่ Netflix เลือกหยิบมาปั้น

เปิดให้บริการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับเกม Valiant Hearts: Coming Home เกมมือถือภาคต่อจากเกม Valiant Hearts: The Great War ที่กวาดรางวัลไปหลายสาขา ซึ่งมาคราวนี้ ทาง Netflix ก็จับมือกับ Ubisoft ร่วมกันส่งต่อเรื่องราวสุดประทับใจและดึงเสน่ห์ของเกมภาคแรกมาต่อยอดกลายเป็นเกมภาคต่อที่เข้มข้น สะเทือนอารมณ์ ดำเนินเรื่องราวด้วยเกมเพลย์แนวสำรวจ ไขปริศนา ที่ไม่ว่าจะเป็นเกมเมอร์ระดับไหนก็เล่นได้ เกมนี้จึงเป็นอีกหนึ่งเกมที่น่าสนใจจาก Netflix เลยทีเดียว

สานต่อเรื่องราวจากภาคแรก

สำหรับเนื้อเรื่องนั้น ต่อยอดจากเรื่องราวจากภาคแรกก็คือในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ในภาคนี้จะดำเนินมาสู่ช่วงท้ายของสงครามแล้ว ตัวเกมจะยังคงให้บทบาทแก่ตัวละครเดิมจากภาคแรก และเล่าต่อจากภายหลังการต่อสู้อันดุเดือดของสงคราม ในปีสุดท้ายก่อนสงครามจะสิ้นสุด สหรัฐอเมริกาตัดสินใจประกาศสงครามกับประเทศเยอรมนี และกองทัพสหรัฐฯจึงได้เปิดรับอาสาสมัครเพื่อเข้าสู่สงคราม หนึ่งในนั้นมีหน่วยรบที่ชื่อว่า ฮาร์เลม เฮลไฟเตอร์ (Harlem Hellfighters) ซึ่งเป็นหน่วยรบทหารราบชาวแอฟริกัน-อเมริกันหน่วยแรก และหนึ่งในตัวละครหลักของเรื่องประจำอยู่ นั่นก็คือ เจมส์ น้องชายของเฟรดดีจากภาคแรก เขาตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพเพื่อมุ่งหวังจะร่วมรบและจบสงคราม อนึ่งก็เพื่อไปต่อสู้ร่วมกับพี่ชาย ที่ประจำอยู่แนวหน้า

ตัวเนื้อหาจะมีการบอกเล่าเรื่องราวตามหมุดเวลาของประวัติศาสตร์ สอดแทรกกับเรื่องราวที่แต่งเติมขึ้นมาเพื่อสร้างความบันเทิงและอารมณ์ร่วม เต็มไปด้วยมิตรภาพ ความเจ็บปวด หดหู่ และสะเทือนอารมณ์ของสงคราม เราจะได้พบปัญหาการเหยียดสีผิวภายในกองทัพ ชีวิตความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่กว่าทหารผิวขาวทั่วไป และการถูกเลือกปฏิบัติ ได้พบกับมิตรภาพที่ทลายกำแพงเชื้อชาติและความขัดแย้ง ก่อให้เกิดคำถามว่าการสู้รบนั้นทำเพื่อใครกันแน่ ได้พบกับความสูญเสียที่เกินกำลังจะหยุดยั้ง ได้พบกับการเสียสละโดยไม่หวังการสรรเสริญ ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามผ่านมุมมองของเหล่าพลทหารธรรมดา ๆ ไร้ชื่อไร้นาม ที่ทำเพียงดิ้นรน ยืนหยัด และวาดหวังว่าสงครามครั้งนี้จะจบลงเสียที

งานภาพเป็นเอกลักษณ์

สำหรับภาพของเกมนี้นับว่าลายเส้นมีเอกลักษณ์พอสมควร ใครเห็นภาพก็รู้เลยว่าเกมนี้แน่นอน ด้วยเส้นที่ค่อนข้างแข็ง หนักหน่วง โทนสีหม่น สะท้อนความแข็งกระด้างและยากลำบากของสงครามออกมาได้ดีมาก ๆ สร้างประสบการณ์แก่ผู้เล่นอย่างได้ผลสุด ๆ การออกแบบตัวละคร การแบ่งแยกสีผิว ก็ทำออกมาได้ลงตัว สามารถสะท้อนประเด็นการเลือกปฏิบัติกับชาวแอฟริกัน-อเมริกันออกมาได้อย่างค่อนข้างนุ่มนวล คาแรกเตอร์ไม่ได้ออกมาดูน่าขบขันหรือถูกมองเป็นเรื่องตลก แต่ยังคงทิ้งบริบทที่จิกกัดสังคมในสมัยนั้นเอาไว้ได้ ซึ่งตรงนี้ทีมผลิตใส่ใจรายละเอียดดีมาก ๆ ไม่ผิดหวังเลย

เกมเพลย์ที่ทุกคนเล่นได้

ในส่วนของเกมเพลย์จะเป็นแนวเกมบรรยายเนื้อเรื่องสลับกับเกมเพลย์แนวสำรวจ หาเก็บของ และไขปริศนา อาจมีมินิเกมสอดแทรกในรูปแบบต่าง ๆ เช่น วิ่งหลบระเบิด กดโน้ตดนตรี บังคับเครื่องบิน ทำให้เกมนี้มีเกมย่อย ๆ ให้เล่นหลากหลาย และวิธีเล่นและบังคับก็ไม่ยาก เพียงแค่ลากนิ้ว จิ้ม ๆ กดค้าง ปัดขึ้นลงซ้ายขวา ประมาณนี้

เกมจะมีกล่องสำหรับเก็บความทรงจำ อาทิ เหตุการณ์จริงประกอบภาพถ่ายจริงในสงคราม กรณีที่เราเล่นเนื้อเรื่องผ่านช่วงเหตุการณ์นั้น ๆ มีสิ่งของตามฉากให้เดินหา เก็บสะสม และซึมซับเรื่องราว ตัวละครมากมายในเรื่องมีทั้งที่สามารถปฏิสัมพันธ์ได้และไม่ได้ การแสดงแง่มุมของทั้งฝั่งสัมพันธมิตร ซึ่งก็คือฝั่งของเจมส์ และฝั่งมหาอำนาจกลาง (เยอรมนี) อย่างเอิร์นส์ ทำให้เราได้เห็นมุมมองของทหารธรรมดา ที่ก็มีความคิด ความรู้สึก และมีความเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกด้วยกัน ทำให้ขณะที่เล่น นอกจากที่เราจะได้เห็นความรุนแรงของสงคราม เรายังได้เห็นความอ่อนโยนและความเป็นมนุษย์ที่เพิ่มพูนท่ามกลางไฟสงคราม สิ่งนี้จึงค่อนข้างประทับจิต สะเทือนอารมณ์ และรู้สึกว่าในทุก ๆ ด่าน ทุก ๆ ตอน ผ่านไปอย่างมีคุณค่า ไม่เสียเปล่า

สอดแทรกแง่มุมทางสังคมและวัฒนธรรม

ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยสำหรับเนื้อหาของเกม และนับเป็นอีกหนึ่งจุดที่ผู้เขียนคิดว่าน่าจะสำคัญ ทำให้ตัวเกมสอดแทรกสิ่งนี้เข้ามาบ่อยครั้ง นั่นก็คือดนตรี ท่ามกลางความโหดร้ายของสงคราม และการกดขี่ในกองทัพ สิ่งที่ชุบชูจิตใจผู้คนได้ และอาจแข็งแกร่งพอที่จะทำลายกำแพงแห่งความขัดแย้งทั้งมวลได้ก็คือเสียงดนตรี เราจะพบว่าตัวเอกของเรามีใจรักในดนตรี เริ่มจากเจมส์ที่ใช้เวลาอันน่าเบื่อในห้องพักชั้นล่างสุดของเรือ (ที่มีไว้สำหรับทหารชาวแอฟริกัน-อเมริกัน) กับเพื่อนผองร่วมเชื้อชาติคือการตั้งวงเล่นดนตรี เราจึงได้เห็นวัฒนธรรมดนตรีแจ๊สของชาวแอฟริกัน-อเมริกัน โดยตัวของเจมส์นั้นชื่นชอบการเล่นแคลริเน็ต และมันก็เป็นเหมือนสิ่งสำคัญที่เขาพกมันติดตัวตลอดเวลา

หรือแม้กระทั่งเอิร์นส์ ทหารชาวเยอรมันที่ก็ชอบเล่นเครื่องดนตรีเหมือนกัน ทั้งคู่จึงค้นพบความสนใจที่มีร่วมกันและกลายมาเป็นเพื่อนกัน แม้ต่างฝ่ายจะมาจากประเทศที่อยู่คนละฝั่งของสงคราม และมิตรภาพที่แข็งแกร่งนี้สะท้อนความเป็นมนุษย์เหนือบทบาทหน้าที่ เราจะเห็นได้ถึงการเลือกที่จะเมตตาแทนการทำตามคำสั่งเพื่อคงสถานะในกองทัพของตัวละครในเรื่อง ประหนึ่งชัยชนะที่แท้จริงในสงคราม คือชัยชนะของมนุษยธรรมที่อยู่เหนือความขัดแย้ง

เล่นได้เลย ไม่ต้องเล่นภาคแรกก็ได้

ตรงนี้หลายคนคงอยากรู้แล้ว ว่าถ้าไม่ได้เล่นภาคแรกมา จะเล่นภาคนี้รู้เรื่องไหม ขอบอกว่าเล่นได้แน่นอน เพราะตัวเนื้อหาอิงตามบริบทตามประวัติศาสตร์ อาจมีตัวละครที่มาจากภาคแรก แต่ในภาคสองจะดำเนินเนื้อเรื่องด้วยตัวละครใหม่เป็นหลัก เนื้อหาเกมภาคนี้สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวของมันเองอย่างไม่ต้องสงสัย เกมเพลย์ก็ค่อนข้างเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ผสมกับการเล่าเนื้อหาอย่างตรงไปตรงมา กลายเป็นข้อดีอย่างคาดไม่ถึง เกมนี้จึงรองรับผู้เล่นได้แทบทุกกลุ่ม สามารถดื่มด่ำไปกับเนื้อหาในภาคนี้แบบไม่มีสะดุดได้เลย

สรุปแล้ว

เป็นเกมเนื้อเรื่องอิงประวัติศาสตร์ที่เข้มข้น ประทับใจ สะเทือนอารมณ์ ตัวละครมีเอกลักษณ์ สะท้อนแง่มุมความเป็นมนุษย์ท่ามกลางสงครามไว้ได้ครบรส ภาพลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ เกมเพลย์แนวสำรวจ ไขปริศนา เข้าใจง่าย

จุดสังเกต เป็นเกมเซฟอัตโนมัติ เซฟด้วยตัวเองไม่ได้ ดังนั้นต้องเล่นรวดเดียวให้จบตอน หรือจบบท เกมถึงจะเซฟ ผู้เล่นจึงต้องมีเวลากับเกมพอสมควร ต่อมาคือไกด์ช่วงต้นเกมน้อยไปหน่อย ทำให้ผู้เล่นใหม่อาจต้องใช้เวลาลองผิดลองถูกเล็กน้อย

ดาวน์โหลด

iOS

Android

ภาพโดย : millet

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส