รีวิวเกม Vengeful Guardian Moonrider ตำนานนินจาไซบอร์กฉบับ 16 Bit
Our score
8.5

Vengeful Guardian Moonrider

จุดเด่น

  1. แอ็กชันสนุกในแบบย้อนยุคแท้ ๆ
  2. ผสมผสานหลายแนวได้ลงตัว
  3. กราฟิกดูดีในแบบย้อนยุค

จุดสังเกต

  1. เกมสั้นไปหน่อย
  2. ยากเกินไปสำหรับมือใหม่

ในช่วงต้นยุค 90S เกมแนวแอ็กชัน 2 มิติได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะด้วยสเปกของเครื่องเกมยังไม่แรงพอที่จะสร้างเกม 3D และผู้สร้างยังคงมีไอเดียสานต่อมาจากภาพแบบ 8Bit ยุค 80S ก้าวข้ามมาสู่ยุค 16 Bit ได้ แม้ทุกวันนี้เกมแนว 2D อาจจะกลายเป็นย้อนยุคเฉพาะกลุ่มไปแล้ว

แต่มันก็ยังได้รับความนิยมจากแฟนเก่า (แก่) ที่เกิดทันเล่นทำให้มีผู้สร้างเกมที่เอารูปแบบเก่ามาปัดฝุ่นทำใหม่กันอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดมีการเปิดตัว Vengeful Guardian Moonrider เกมนินจาที่ใช้รูปแบบ 16Bit ที่มีความคล้ายกับ Shinobi ของค่าย SEGA ผสมกับ Rockman ของ Capcom และวางขายบนคอนโซลอย่าง Nintendo Switch, PlayStation 5, PlayStation 4 และ PC ด้วย

เรื่องราวใน Vengeful Guardian Moonrider จะเขียนมาแบบเรียบง่ายตามแนวทางย้อนยุค ในโลกอนาคตที่มนุษยชาติถูกกดขี่ และรัฐเผด็จการต้องการทำสงครามกัน ทำให้มีการทดลองสร้างสุดยอดนักรบแต่ความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อมีการจับนักรบในตำนานนาม Moonrider มาทดลอง แต่เขาไม่ยอมก้มหัวให้เผด็จการและได้พังห้องทดลองออกไปล้างแค้นคนที่จับเขามาทดลอง

กราฟิก 16Bit แท้ ๆ ที่สมบูรณ์แบบ

ภาพในเกมอย่างที่รู้กันว่าผู้สร้างตั้งใจทำให้เหมือนกราฟิก 16Bit สมัย Super Famicom และ Mega Drive ที่ทำออกมาได้ดีมาก เพราะนอกจากจะไม่ได้ใส่อะไรที่เป็นยุคสมัยใหม่เข้าไปจนมันดูเลอะเทอะ และกราฟิกแบบนี้สามารถสร้างบนคอนโซลยุค 90S ได้จริง ๆ ไม่เหมือนบางเกมที่บอกว่ามาแนวย้อนอดีตแต่กลับใส่ของใหม่เข้าไปมากจนไม่สามารถสร้างได้จริงในอดีตเหมือนเอาใจแฟนเกมรุ่นใหม่มากกว่า

อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้ดูเชยเกินไป เพราะมีการใช้รูปแบบการซูมภาพ และมีการเล่นกับภาพพื้นหลังของฉากแบบเดียวกับ Mode 7 บน Super Famicom ด้วย ส่วนคัตซีนในเกมทำออกมาแบบภาพนิ่งที่เล่าเรื่องได้ดี ที่มาแปลกหน่อยคือเพลงประกอบถือว่าทำออกมาพอใช้ มีการใส่ดนตรีแนวญี่ปุ่นผสมกับเพลงแนวไฮเทคเข้าไปได้ลงตัว แต่มันไม่ได้เป็นซาว์ดที่ถอดแบบจากอดีตแบบ 100% มีการผสมผสานความเป็นยุคใหม่เข้าไปได้ลงตัวและไม่เสียของ

เกมเพลย์ผสมผสานที่ลงตัว

รูปแบบการเล่นในตอนแรกดูจากตัวอย่างคิดว่าจะมาแนวเกมตะลุยด่านธรรมดา แต่พอเล่นดูแล้วผู้สร้างต้องการนำความคลาสสิกมายำรวมกัน รูปแบบแรกคือแอ็กชันตะลุยด่านแบบที่เห็นได้กับเกมทั่วไปในยุค 90S ในส่วนนี้เราจะบังคับตัวละครที่มีความสามารถแบบนินจาที่ใช้ดาบเลเซอร์เป็นอาวุธ และยังวิ่งได้ด้วยความเร็วสูงแถมยังกระโดดเกาะกำแพงได้ด้วย ที่ส่วนนี้จะคล้ายกับซีรีส์ Ninja Shinobi ที่มีความยากสูงพอตัว

เพราะฉากในเกมออกแบบมารองรับความสามารถแบบนินจา ที่ผู้เล่นต้องกระโดดให้ถูกจังหวะรวมทั้งศัตรูที่แม้จะมีการเคลื่อนไหวและโจมตีเป็นจังหวะซ้ำไปมาแบบเกมยุคเก่า แต่ก็เสริมด้วยความโหดชนิดเราอาจจะพลาดตายได้ง่าย ๆ จนหัวร้อน ส่วนบอสก็มีความแปลกตาเพราะมีทั้งตัวที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ที่ทรงพลัง และตัวเล็กขนาดพอ ๆ กับตัวเอกที่มีความรวดเร็วและมีท่าไม้ตายที่น่ากลัว

ฉากออกแบบมาดีพอตัว เพราะมีทั้งด่านที่ต้องกระโดดไปตามพื้นผิว ที่มาพร้อมกับกับดักสุดโหดที่เราต้องใช้ความสามารถในการกระโดดเกาะกำแพง และการพุ่งตัวเพื่อกระโดดไปที่สูงด้วยความรวดเร็วและต่อเนื่อง รวมทั้งยังเสริมในขี่รถมอเตอร์ไซค์สุดไฮเทคที่ใช้มุมกล้อง 3D แบบเกมรถแข่งในยุค 90S อย่าง F-Zero ผสมกับเกมยิง 2 มิติ ที่ใครเกิดทันเล่นต้องชอบฉากนี้แน่เพราะเหมือนกับเกมที่เคยเล่นในวัยเด็ก

มีความหลากหลายในเกมเพลย์

อีกส่วนของเกมเพลย์ที่ Vengeful Guardian Moonrider เอามาใช้คือการนำเอาอาวุธพิเศษของศัตรูมาใช้งาน แบบเดียวกับเกม Rockman และอาวุธพิเศษนี้จะใช้ได้จำกัดเหมือนกันด้วย ถือว่าเป็นไอเดียที่ดี แต่การออกแบบตัวละครที่ไม่มีจุดเด่น และการที่เกมแบ่งเป็นฉากไม่ได้เป็นเอาชื่อตัวละครมาตั้งเป็นชื่อด่านแบบเดียวกับ Rockman ทำให้มันไม่โดดเด่นเท่า

นอกจากแอ็กชันตะลุยด่านแล้ว ผู้สร้างยังแอบเสริมการแก้ปริศนาในฉากเพื่อเปิดทางไปต่อ แม้จะไม่ได้ซับซ้อนมากมายเท่ากับแนวทาง Metroidvania แต่ก็มีอะไรให้ทำมากกว่าต่อสู้ศัตรู เช่นการหาทางเปิดประตูที่ต้องออกไปหาสวิตช์ที่ซ่อนอยู่เพื่อกดเปิดทาง ถือว่าเป็นการใส่เข้ามาเพื่อเบรคความเป็นแอ็กชันทำให้มีอะไรให้ทำมากกว่าแค่ต่อสู้กับศัตรู

การมาของ Vengeful Guardian Moonrider เป็นการผสมผสานเกมเพลย์หลายรูปแบบของยุค 90S ยำรวมกันได้ลงตัว กราฟิกก็ทำออกมาได้ดีเหมือนเกมย้อนยุคแท้ ๆ ต้องชมทีมงานสร้างที่สามารถดึงเอาจิตวิญญาณความหอมหวานของเกมในอดีตมาสร้างในยุคนี้ได้ ใครชอบแนวทางย้อนอดีตไม่ควรพลาด

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส