Our score
9.0Battlefield 1
จุดเด่น
- โหมด Campaign ที่สนุกและน่าจดจำ มีความแตกต่าง ทั้งรูปแบบการเล่น และ ภารกิจ ที่แตกต่างออกไปในแต่ละด่าน
- โหมดการเล่นใหม่ Operations Mode ที่เป็นมิติใหม่ของวงการเกม FPS
- ระบบ Progressing ของตัวเกมที่ออกแบบมาดี เหมาะกับการนำมาเล่นใหม่ได้ตลอด
- ระบบการเล่น Multiplayer ที่ทำออกมาได้ตามมาตรฐานที่ตั้งเอาไว้
- Graphics ที่สวยงาม และไม่กินสเป็คคอมพิวเตอร์มากจนเกินไป
จุดสังเกต
- ตัวเกมไม่มีโหมด Commander แบบภาคที่ผ่านๆมา
- ตัวเกมถูกตั้งเป้าไว้ให้ขาย DLC ต่อไปในอนาคต Content ต่างๆในโหมด Mutiplayer จึงมีไม่เยอะอย่างเต็มที่
-
Gameplay
9.0
-
Graphics
10.0
-
Story
8.0
-
Sound
8.0
-
value
10.0
Welcome to World of Battlefield
Battlefield 1 นั้นจะเล่าเรื่องโดยใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาเป็นรากฐาน ที่ในขณะนั้น ทหารมากกว่า 60 ล้านนายต่อสู้อยู่กับ “สงครามเพื่อยุติสงครามทั้งหมด” แต่สุดท้ายแล้ว สงครามมันก็จบลงไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ไปมากกว่าประวัติศาสตร์ที่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาความหายนะของสงคราม และมันก็เปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล อย่างที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน
สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่านครับ ผม Mirajane Aurora (Mirajane-AR) หลังจากงาน Battlefield World Premiere 2016 ที่ผ่านมา EA และ DICE ได้เปิดตัวเกมเดินหน้ายิงภาคต่อชื่อดังอย่าง Battlefield โดยในครั้งนี้ตัวเกมจะย้อนยุคกลับไปอย่างจุดเริ่มต้นของสงครามในสมัยปี 1914-1918 The First World War หรือ สงครามโลกครั้งที่ 1 นั้นเอง แน่นอนว่าทำเอาแฟนๆ รวมไปถึงเกมเมอร์ทั้งโลกได้จับตามองกันอย่างมากมายเลยทีเดียว เพราะนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมาที่เกม FPS กลับมาย้อนยุคใช้ Theme สงครามโลกยุคเก่าๆ เป็นธีมหลักของเกมนั้นเองครับ
และแน่นอนว่ามันก็ไม่ทำให้เกมเมอร์ทั่วโลกต้องผิดหวัง Battlefield 1 นั้นทำออกมาได้ดีในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นทั้งโหมด Single Player ที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นมาจากภาคที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่อง รูปแบบการเล่น Gameplay ต่างๆ ที่ทำออกมาได้ดีจนน่าตกใจ รวมไปถึงโหมด Mutiplayer ที่ทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานของ Battlefield อีกทั้งในส่วนของ Graphics & Sound ที่ทำมาดีสมชื่อ Battlefield แล้ว ก็ยังมีการปรับปรุงเกมเพลย์ให้ดีขึ้น สนุกมากกว่าเดิม และเข้ากับธีมสงครามโลกครั้งที่ 1 อีกด้วยครับ
โหมดผู้เล่นคนเดียว – The War Stories
War Stories หรือโหมด Single Player Campaign ของ Battlefield 1 นั้นจะเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมของของทหารและบุคคลต่างๆแต่ละประเทศต่างๆทั่วโลก ตัวเกมจะให้เราเลือกเล่น War Stories ของใครก่อนก็ได้ โดยที่ในแต่ละ Story นั้นจะมี Theme การเล่าเรื่อง รูปแบบการเล่น ตัวละคร และช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเล่นแบบ “Kill em all” หรือ “Stealth” สนามรบบนอากาศ การรบแบบกองโจร หรือการบุกประจันหน้า พร้อมชุดเกราะและปืนกลหนัก ก็มีให้เล่นกันหมด เรียกได้ว่ามีครบทุกอารมณ์เลยล่ะครับ
เราขอเล่าเจาะลึกนะครับ มีสปอยเนื้อเรื่องแน่นอน!
สรุปโหมด Single Player ทำได้ดี แต่สั้นมว้าก
สรุปภาครวมแล้วโหมด Single Player ของ Battlefield 1 นั้นได้รับการพัฒนาขึ้นมามากจากภาคที่ผ่านๆมา ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่อง ตัวละคร รูปการเล่น ที่ในครั้งนี้เพิ่มความหลากหลายในการเล่นเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นครั้งแรกในซี่รี่ส์ Battlefield เลยทีเดียว
โหมด Multiplayer
“Squad คือหัวใจหลักในทีม Teamของ Battlefield”
หากพูดถึง Battlefield สิ่งแรกที่หลายๆ คนจะนึกถึงก็เลยก็คือ โหมด Multiplayer เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของเกมนี้มาตั้งแต่ Battlefield 1942 แล้วหลังจากนั้นระบบการเล่นของโหมดนี้ก็ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนเข้าสู่ยุค Battlefield Bad Company 2 และ Battlefield 3 ที่ตัวเกมเน้นการเล่นไปอย่างโหมด Mutiplayer อย่างจริงจัง และสร้างชื่อเสียงให้คนรุ่นใหม่ที่ไม่รู้จัก Battlefield มาก่อนได้รู้จักกันในตอนนั้นพอดี และต่อมาใน Battlefield 4 ที่เป็นการรวมเอาจุดเด่นทั้งหมดของซีรี่ส์ Battlefield มารวมไว้ในจุดๆเดียวกัน และกลายเป็น Battlefield ภาคที่มีคนเล่นเยอะที่สุดในตลอดเวลาที่ผ่านมา
“ความสนุก ความตื่นเต้น ยังมีอยู่ครบใน Battlefield 1 Multiplayer”
สิ่งแรกที่จะขอพูดถึงในส่วนของ Multiplayer เลยก็คือ โหมดการเล่นครับ แฟนๆ Battlefield หลายคงรู้จักโหมดการเล่นหลักๆของเกมนี้อย่าง Conquest / Rush กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะมันคือสิ่งที่อยู่คู่ Battlefield เกือบทุกภาค และใน Battlefield 1 นั้นจะมีโหมดการเล่นใหม่ ชนิด Brand new เพิ่มมา 2 โหมดก็คือ War Pigeons และ Operations Mode นั้นเองครับ
โหมด War Pigeons
“ทีมของผมส่งนกสำเร็จไป 1 ตัวแล้ว”
War Pigeons เป็นโหมดที่ผมรู้สึก “ตลก” พร้อมกับ “ตื่นเต้น” ไปพร้อมๆกัน ในโหมดนี้ตัวเกมจะแบ่งทีมออกเป็น 2 ฝ่าย โดยเมื่อเกมเริ่ม ก็จะมีนกพิราบสุ่มเกิดในแผนที่ ผู้เล่นและละทีม ก็ต้องไปแย่งกันเอานกพิราบตัวนั้นมากลับไปที่ฐานหลัก เพื่อที่จะไปส่งนกพิราบได้ครบ 3 ตัวก่อนเวลาหมด ทีมใดทีมนึงส่งครบ 3 ตัวก่อนก็จะเป็นฝ่ายชนะไปทันที ในขณะผู้เล่นที่กำลังถือนกพิราบอยู่นั้น ก็จะโดน Mark ขึ้นมาในเกมแล้วก็จะเกิดการปะทะกันอย่างไม่ทันได้หายใจในจุดๆนั้น
หากผู้เล่นที่ถือนกอยู่ตาย นกก็จะตก และรอใครคนใดคนนึงไปเก็บ และเมื่อนำนกไปส่งตามจุดสำเร็จแล้ว ขณะที่เจ้านกกำลังบินไปอยู่นั้น ฝ่ายตรงข้ามสามารถยิงนกของเราให้ร่วงได้ด้วย แต่เป้าหมายมันเล็กมากๆ ยิงโดนคงแม่นสุดๆ และที่บรรเทิงไปกว่านั้นคือ เมื่อนกของฝ่ายใดฝ่ายนึงส่งไปได้สำเร็จแล้ว ไม่ใช่แค่จะได้แต้มเพิ่ม แต่ฝ่ายที่ขัดขว้างไม่สำเร็จก็จะโดนห่าฝนระเบิดชนิดที่ว่า คอมไม่แรง อาจจะมีกระตุกได้ และตัวเกมก็จะวนไปแบบนี้จนกว่าทีมใดทีมนึงจะส่งนกครบ 3 ตัวนั้นเองครับ ฟังดูอาจจะคล้ายๆกับโหมด Capture the Flag ของเกมอื่นๆ แต่สำหรับ War Pigeons นั้นจะเรียกว่าเป็นโหมด Capture the Flag ในรูปแบบของ Battlefield ก็ได้ครับ และอีกต่างจุดนึงของโหมดนี้คือ แผนที่ ฉากมันจะแคบมากๆ แคบกว่าโหมดอย่าง Team Deathmatch หรือ Dominator เสียอีก แบบนี้การันตีเลยว่าเมื่อเลือกจุดเกิดแล้วละก็ไม่เกิน 5 วิได้ยิงคนแน่ๆ
“ศัตรูส่งนกออกไปแล้ว ใครจะยิงโดนกัน เล็กขนาดนั้น”
“แผนที่จะแคบไปไหม !!”
Operations Mode
“มิติใหม่ของ Battlefield คือ Operations Mode”
Operations Mode เป็นอีก 1 โหมดการเล่นใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในโหมด Multiplayer ของ Battlefield 1 ในโหมดนี้ผู้เล่นจะได้ความรู้สึกเหมือนสงครามจริงๆ ไม่ใช่แค่การวิ่งยึดธง หรือวางระเบิด M-COM อะไรแบบนั้น แต่ในโหมดนี้ ผู้เล่นทั้ง 2 ทีมจะถูกแบ่งออกเป็นทีม Attack ฝ่ายโจมตี กับทีม Defend ฝ่ายป้องกัน
เมื่อเกมเริ่ม ผู้เล่นฝ่ายโจมตี จะต้องเข้าไปยึดฐานที่มั่นของฝ่ายตั้งรับทั้ง 2-3 จุดในเวลาเดียวกันให้ได้ โดยที่ผู้เล่นฝ่ายตั้งรับก็ต้องคอยป้องกันทุกวิธีทางไม่ให้ฝ่ายโจมตีบุกเข้า โดยฝ่ายตั้งรับจะได้เปรียบในเรื่องของอุปกรณ์ภาคสนาม และแผนที่ที่จะดีกว่า โดยถ้าหากฝ่ายโจมตีสามารถยึดฐานได้ครบเมื่อไร ตัวเกมก็จะเปลี่ยน Zone เป็น Zone ถัดไป ในฉากเดียวกัน หากฝ่ายตั้งรับ ไม่สามารถป้องไว้ไว้ได้ จนฝ่ายโจมตีบุกเข้ายึดได้ทุก Zone แล้ว ฝ่ายตั้งรับก็จะเป็นฝ่ายแพ้ แต่ถ้าหากฝ่ายโจมตีใช้ Ticket ของทีมหมด จนครบ 150 ตัวเมื่อไร ก็จะมีโอกาสบุกแก้ตัวใหม่อีก 2 ครั้ง โดยในทุกๆ ครั้งฝ่ายโจมตีจะมีกำลังเสริม เช่นยานอากาศ เรือเหาะ มาช่วยเหลือเสมอ ในทุกๆรอบ หากฝ่ายป้องกันลด Ticket ของฝ่ายโจมตีเหลือ 50 หน่วย และเมื่อเปลี่ยน Zone แล้ว ฝ่ายโจมตีก็ยังคงเหลือ Ticket 50 หน่วยเช่นเดิม เพราะฉนั้นหมายความว่าฝ่ายโจมตีจะมีโอกาสทั้งหมด 3 ครั้งในการโจมตี และยึดทุก Zone ของฝ่ายตั้งรับ ก่อนที่ Ticket ของตัวเองจะหมด ไม่งั้นก็จะเป็นฝ่ายแพ้นั้นเองครับ
“โซนของจุดเกิดฝ่ายโจมตี และเป้าหมาย”
“จุด A เป้าหมายที่ต้องไปยึดของฝ่ายโจมตี”
“ฝ่ายโจมตีแพ้ในรอบแรก เนื่องจากยึดฐานไม่ได้ และ Ticket หมด”
“Sniper จากระยะไกลคอยช่วยเพื่อนก็เป็นความคิดที่ดี”
“ยึดเป้าหมายของ Zone แรกได้แล้ว มุ่งหน้าไปอย่าง Zone ถัดไป !!”
“ฝ่ายโจมตีไม่สามารถยึดฐานทั้งหมดได้ เป็นฝ่ายแพ้”
“ภาพรวมทั้งหมดของรอบที่่ผ่านมา”
“และจบด้วยการนับ Score นั้นเองครับ (ติด Best Scout ด้วย !!)”
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจหลักของโหมด Multiplayer เลย คือการปลดล๊อคของต่างๆ
ใน Battlefield 1 นั้นตัวเกมได้เปลี่ยนระบบการปลดล็อคของไปแตกต่างจากภาคที่ผ่านๆมาครับ เช่นในภาคนี้ จะมีคลาสให้เลือกอยู่ 4 คลาส Assault , Medic , Support , Scout แบบที่หลายๆคนคุ้นเคยโดยในแต่ละคลาสนั้นก็จะมี Level ของคลาสนั้นๆในตัวมันเอง แยกกับ Rank ของตัวผู้เล่น โดยทุกๆการ Up Rank ของตัวผู้เล่นเองนั้น ผู้เล่นจะได้ค่าเงินในเกมที่เรียกว่า Warbound มาเอาไว้ใช้ปลดล็อคปืน อุปกรณ์ต่างๆประจำคลาสที่ตัวเองเล่น โดยที่หากผู้เล่น เก็บ Level ของ คลาสนั้นๆมาระดับสูงขึ้น ก็จะมีสิทธิ์ปลดล็อคปืนระดับสูงขึ้นในคลาสนั้นๆอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ปืนแต่ละกระบอก รวมไปถึงทั้งรถถัง เครื่องหรืออะไรต่างๆ นาๆ ผู้เล่นสามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบโดยที่ไม่ต้องใช้เงิน Warbound ปลดล็อคของแต่งปืนมา เพราะถ้าหากผู้เล่นใช้เงิน Warbound ปลดล็อคปืนมาแล้ว ก็จะสามารถแต่งปืนกระบอกนั้นได้อย่างเต็มที่ แต่ถึงแบบนั้น ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 มันก็ไม่มีอะไรให้แต่งมากมายนัก นอกจากดาบปลายปืน ระยะใกล้ ไกลของลำกล้อง รูปแบบเป้าปืน เท่านั้นเองครับ
“ค่าเงิน Warbound เอาไว้ใช้ปลดล็อคปืนต่างๆในเกม”
และนอกจากระบบ ต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ใน Battlefield 1 ก็ยังคงมีระบบ Battlepack อยู่เช่นเคย แต่ใน Battlefield 1 นั้นระบบ Battlepack จะมาในรูปแบบ Skin ของปืนต่างๆแทน โดยจะมี Skin ระดับธรรมดาไล่ไปจนถึงระบบ Legendary เลยทีเดียว มีครบตั้งแต่ปืนหลัก ยันปืนพก และรวมไปถึงมีด ที่จะมี Skin ระดับหายากสุดๆอยู่อีกด้วย อารมณ์คล้ายๆกับเกมอย่าง CSGO ที่มีระบบ Skin ปืน แต่เสียดายที่เกมนี้ไม่อยู่ในระบบ Steam ไม่งั้นคงได้มีระบบขายของเป็นเงินจริงกันอีกแน่แท้ (ว่าไปนั้น)
“อาวุธระยะประชิด ชนิดต่างๆ”
อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ สำหรับใน Battlefield 1 นั้น อาวุธระยะประชิดในเกมภาคนี้จะมีความแตกต่างกันออกไปตามชนิดต่างๆอีกด้วย ในภาคก่อนๆ อาวุธระยะประชิดนั้นมันมี Damage ที่เท่ากัน ทำงานเหมือนกัน ใช้งานเหมือนกัน ต่างกันแค่รูปร่าง แต่ใน Battlefield 1 นั้นอาวุธระยะประชิดแต่ละอันจะมี Damage / Speed / Kill Zone ที่แตกต่างกันออกไป รวมไปถึงอาวุธบางชนิดสามารถทำ Damage กับยานพาหนะได้ หรือสามารถใช้ตัดลวดหนาม หรือตัดไม้ได้ บางชนิดก็ไม่สามารถทำได้ นับว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ และมีมิติมากๆครับ
และสำหรับโหมด Multiplayer ใน Battlefield 1 นั้นก็อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าตัวเกมทำมาได้ดีตามมาตราฐานของ Battlefield อยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้ติไปมากกว่านี้นอกจากที่ อุปกรณ์ และอาวุธปืนในเกมที่มีให้เลือกใช้น้อยไป ยกตัวอย่างเช่นปืนใน Class Scout อย่าง ปืน SMLE MKIII ที่จะมีให้ปลดล๊อคอยู่ทั้งหมด 3 รุ่น นั้นก็คือ SMLE MKIII Marksman / SMLE MKIII Carbine / SMLE MKIII Infantry โดยทั้งหมด 3 รุ่นนี้จะแตกต่างกันแค่ รุ่น Marksman จะติดลำกล้องปืนทำให้ส่องเป้าหมายจากระยะไกลได้ รุ่น Infantry จะเหมือนกับรุ่น Masksman ทุกประการ แค่ถอดลำกล้องออก ส่วนรุ่น Carbine จะทำให้น้ำหนักเบาขึ้น ลด Damage ลงแต่จะมีแรงถีบที่น้อยลง ความรู้สึกของผมคือ มันไม่จำเป็นเท่าไรที่ต้องใส่ปืนมาหลายๆรุ่นแบบนี้ เช่นในรุ่น Marksman กับรุ่น Infantry ที่เหมือนกันหมด แค่ถอดลำกล้องออก ในส่วนนี้ไปทำเอาในโหมด Custom ปืนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาแยกให้ปลดล็อคแบบนี้ครับ แต่ถ้ามองในทางกลับกัน ปืนในยุคนั้นมันก็ไม่ได้มีเยอะเหมือนในยุคนี้ เพราะฉนั้นการแยกรุ่นปืนออกมาหลายๆรุ่นเหมือนจะเป็นทางออกให้ DICE สามารถหาทางให้ผู้เล่น เก็บเงิน Warbound เพื่อมาปลดล็อคของได้ นั้นเองครับ
กราฟิกดีเลิศ แต่เสียงประกอบแย่ลง
สิ่งที่สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงใน Battlefield 1 ก็คือเรื่อง Graphics และ Sound ครับ อย่างอื่นขอพูดในส่วนของ Sound ก่อน เพลงประกอบในเกมที่ผมยกให้ว่าเป็นเพลงประกอบที่ดีที่สุดใน Battlefield ทุกๆ ภาค มันสื่อถึงอารมณ์ของตัวเกมได้เป็นอย่างดี แต่ถึงแบบนั้นในส่วนของ Sound Effect ก็ทำออกมาได้ดีเช่นเคย แต่ตัวผมกลับรู้สึกว่ามันดูดรอปลงหากเทียบกับภาคก่อนๆ อย่างเห็นได้ค่อนข้างชัด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันแย่ไปซักทีเดียวนะครับ มันทำออกมาดีแล้ว แต่ถ้าเทียบกับภาคก่อนๆ ถือว่ายังดรอปลงไปบ้าง ตรงนี้อาจเป็นเพราะว่าตัวเกมมาใช้ Theme WW1 หรือป่าวก็ไม่แน่ใจ ทีนี้กลับมาพูดถึงในส่วนของ Graphics ที่ผมบอกได้คำเดียวเลยว่า ไม่มีอะไรให้ติ เพราะมันทำมาได้สวยและสมบูรณ์แบบแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น ตัวเกมกลับ Optimization ออกมาได้ดีเกินกว่าที่คาดเอาไว้ สเป็คคอมพิวเตอร์ที่ตัวผู้เขียนใช้ ไม่ได้แรงอะไรมากมาย และเป็นสเป็คที่ค่อนข้างเก่าโดยการ์ดจอที่ตัวผู้เขียนใช้คือ GTX 680 ที่วางจำหน่ายมาตั้งแต่ปี 2012 แล้ว ก็ยังสามารถเล่น Battlefield 1 ปรับ Graphics สูงสุดที่ Ultra เปิด TXAA ได้ 50-60 Frame Rate ต่อวินาทีเลยทีเดียว แบบนี้ PC Gamer ท่านไหนที่มีคอมพิวเตอร์สเป็คกลางๆ ก็คงเล่นกันได้สบายๆอย่างไม่มีปัญหาแน่นอนครับ
สรุป Battlefield 1 เกมที่ยอดเยี่ยม
สรุปโดยรวมแล้ว Battlefield 1 นั้นเป็นเกมที่ทำออกมาได้ดีมากๆ ในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Gameplay Story Mode Multiplayer หรือ ความคุ้มค่าที่นำกลับมาเล่นใหม่ได้เรื่อยๆ และนี่อาจจะเป็นการจุดกระแสใหม่ๆ ให้ค่ายเกมต่างๆหันกลับมามองสนใจ Theme แนวสงครามโลกได้อีกครั้งหลังจากที่ Call of Duty / Medal of Honor เคยทำมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว และการเริ่มต้นนับ “1” ใหม่ของ Battlefield ก็เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีของซีรี่ย์นี้อีกด้วยครับ ตัวเกมวางจำหน่ายแล้วเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ที่ผ่านมาโดยลงให้กับ PS4 Xbox One และ PC งานนี้ใครที่ว่างๆ ผมแนะนำให้จัดมาเล่นตอนนี้ ก็คุ้มค่าครับ ส่วนใครที่รอลด ก็คงรอกันต่อไป …