[รีวิวเกม] Dordogne เกมสุดอาร์ตที่เต็มไปด้วยความทรงจำวัยเด็ก
Our score
7.0

Dordogne

จุดเด่น

  1. ภาพสวยงามเหมือนภาพวาดสีน้ำ
  2. เล่าเรื่องราว 2 ยุคสมัยพร้อมกัน

จุดสังเกต

  1. เกมเพลย์เรียบง่ายและขาดความท้าทาย

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะได้เห็นเกมค่ายอินดี้จะใช้กราฟิกที่ดูสวยงามหรือแปลกแหวกแนวเพื่อดึงดูดผู้เล่นให้สนใจ เพราะเนื่องจากไม่มีทุนโปรโมตทำให้สัมผัสแรกต้องโดนใจผู้เล่น และกราฟิกที่เหมือนได้เสพงานศิลป์ไปพร้อมกับการเล่นเกมถือว่าเป็นสิ่งที่เราได้เห็นมาตลอดสำหรับเกมฟอร์มเล็ก ๆ

ล่าสุดกับการมาของ Dordogne เกมอินดี้สุดแปลกจากค่าย Umanimation ที่หลังจากเห็นตัวอย่างแรกที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์เพราะกราฟิกเหมือนกับภาพวาดสีน้ำ บวกกับการนำเสนอที่น่าสนใจทำให้ต้องลองหามาเล่น โดยเกมวางขายบน Nintendo Switch, PlayStation 4, PlayStation 5, Xbox One, Xbox Series X/S และ PC

ส่วนเรื่องราวใน Dordogne จะเล่าเรื่องผ่านตัวละครหญิงสาวนาม Mimi ที่จะเกิดขึ้นในปี 2002 โดยเธอได้เดินทางกลับสู่บ้านในชนบทหลังจากไม่ได้กลับไปนาน สาเหตุที่ต้องเดินทางกลับไปเพราะการเสียชีวิตของคุณย่าของเธอ และหลังจากสำรวจบ้าน เกมจะเล่าเรื่องย้อนอดีตไปในยุค 80S และผู้เล่นจะได้บังคับ Mini ในวันเด็ก ที่มีการเล่าเรื่องสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และจะมีการเชื่อมต่อกันเป็นเรื่องราวที่แสนจะอบอุ่นด้วย

กราฟิกภาพวาดสีน้ำที่สวยงาม

ส่วนที่โดดเด่นที่สุดของ Dordogne ก็คือกราฟิกในเกมที่ไม่ได้มีความละเอียดระดับ 4K หรือสวยงามอลังการงานสร้างเหมือนเกมฟอร์มยักษ์ทั่วไป แต่มีจุดเด่นที่งานออกแบบที่เหมือนภาพวาดสีน้ำ และเหมือนมากจนราวกับว่าเรากำลังเล่นไปพร้อมกับเสพงานศิลปะที่สวยงามไปพร้อม ๆ กัน เชื่อว่าหากคุณชอบภาพวาดที่ใช้สีน้ำต้องหยุดชมกับบางฉากด้วย

นอกจากนี้ภาพในเกมยังมาพร้อมกับการเคลื่อนไหวที่สวยงามเหมือนเราได้ดูการ์ตูน หรือนิทานแนวกราฟิกโนเวล และยังนำภาพมาผสานกับเพลงประกอบที่แม้จะดูเรียบ ๆ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าผู้สร้างทำออกมาให้เข้ากับภาพและบรรยากาศในเกมที่ดูเรียบ ๆ แต่ฉากที่มีความประทับใจหรือน่าตื่นเต้นมันก็มีการใส่เพลงธีมที่เข้ากัน นอกจากนี้ยังมีเสียงพากย์ใส่เข้ามาตลอดการเล่นด้วยแม้จะไม่ได้มีทุกจุดก็ตาม

เกมเพลย์เน้นสำรวจสร้างความทรงจำที่ดี

รูปแบบการเล่นก็มาแนวการสำรวจเพื่อค้นหาสิ่งของหรือการเปิดทางไปต่อเพื่อทำเนื้อเรื่อง ผู้เล่นจะได้บังคับตัวละครเดินในฉากในมุมกล้องที่มองผ่านกล้องวงจรปิดคล้ายกับ Resident Evil สมัยออกบน PS1 กับ Final Fantasy 7 บน PS1 เช่นกันทำให้เข้าใจง่ายแต่ก็ขาดความสดใหม่เพราะมันเหมือนเกมย้อนยุคที่เปลี่ยนมุมกล้องไม่ได้

ส่วนฉากในเกมจะอยู่ในเมืองชนบทที่ดูสงบเงียบมีฉากที่หลากหลายพอสมควร เพราะไม่ได้มีแค่บ้านเรายังมีป่าที่ดูลึกลับ และในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คน ที่เราต้องออกค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ในฉากโดยการเดินสำรวจ และเมื่อค้นพบแล้วฉากจะตัดเข้าสู่มุมกล้องมุมมองบุคคลที่ 1 เพราะว่ามันจะโฟกัสกับสิ่งของและเราจะต้องกดสำรวจเพื่อค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ นอกจากนี้ยังมีการใช้ไอเทมพิเศษเพื่อร่วมบันทึกความทรงจำเช่นกล้องโพลารอยด์เพื่อถ่ายรูปเก็บไว้ในหนังสือได้ด้วย

เกมเพลย์เล่น 2 ยุคสมัยไปพร้อมกัน

จุดเด่นของเกมคือการเล่าเรื่อง 2 ยุคสมัยพร้อมกันแต่จะค่อย ๆ สลับเรื่องราวออกมาให้เล่นกันทั้งตอนที่ Mimi เป็นเด็กน้อยที่ท่องโลกไปกับคุณย่า กับในวัยผู้ใหญ่ที่สำรวจเพื่อคืนความทรงจำในวัยเด็กแน่นอนว่าการกระทำในอดีตจะส่งผลกับอนาคตด้วย ถือว่าเป็นไอเดียที่ดีเพราะเราจะได้ท่องไปใน 2 ยุคสมัยไปพร้อมกัน

นอกจากนี้ระหว่างเล่นจะมีการเลือกการกระทำผ่านการเลือกเมนู และงานออกแบบเมนูการเลือกทำได้แนวมากเพราะจะลอยอยู่ในฉากให้เลือกแบบเดียวกับที่ภาพยนตร์ยุคใหม่ใช้กันด้วย และต่อให้ไม่ถนัดภาษาอังกฤษก็ไม่น่าห่วงนักเพราะว่ามันใช้คำศัพท์ที่ไม่ยากนัก และเกมไม่มีการตายเน้นการสำรวจทำให้ไม่มีอะไรให้เครียดแม้ว่าบางจุดอาจจะมีสิ่งที่ดูเหนือธรรมชาติอย่างไรก็ตามมันก็ดูเชยและเรียบง่ายไปหน่อยเพราะบางจุดดูง่ายและไม่ค่อยท้าทาย

ส่วนนี้เองทำให้ผู้ที่ไม่ได้ทำความเข้าใจกับแนวทางการนำเสนอของ Dordogne อาจจะมองว่ามันดูเชยและชวนหลับ แต่หากคุณชอบแนวทางที่เน้นสำรวจและทำเนื้อเรื่องที่ดูเรียบง่ายมันถือเป็นเกมที่น่าจะหยิบหามาเล่นอย่างยิ่ง เพราะทั้งกราฟิกที่สวยงามเหมือนได้อ่านนิทานที่วาดด้วยสีน้ำแถมยังบังคับให้เคลื่อนไหวได้ด้วย บวกกับเรื่องราวสุดประทับใจแถมมีราคาขายที่ไม่แพงถือว่าคุ้มค่าที่จะหามาเล่น

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส