Our score
8.5Red Dead Redemption
จุดเด่น
- เกมเพลย์สนุกเหมือนเดิม เพิ่มเติม DLC
- กราฟิกดูดีขึ้นเล็กน้อย เฟรมเรตดี โหลดเร็ว
จุดสังเกต
- ราคาขายแพงไปหน่อย
- กราฟิกอัปเกรดเล็กน้อยเท่านั้น
หลังจากค่าย Rockstar เปิดตัว Red Dead Redemption ตำนานเกมคาวบอยบน PS4 และ Nintendo Switch ก็ตามมาด้วยดราม่าในทันที เพราะว่าดูจากตัวอย่างเปิดตัวแทบจะเป็นการยกเอาของเก่ามาขายใหม่แบบไม่ได้ทำอะไรเลย แถมขายในราคาเกือบเท่ากับเกมใหม่ ทำให้แฟน ๆ บ่นเพราะดูเหมือนไม่ลงทุนอะไรหากดูแค่ในคลิปตัวอย่าง
โดยเกม Red Dead Redemption ต้นฉบับออกวางขายในปี 2010 บนคอนโซล PS3 และ Xbox360 ถือว่าเป็นหนึ่งในเกมแนว Open World ที่เปลี่ยนจากโลกยุคใหม่แบบ GTA มาสู่ดินแดนเถื่อนในโลกตะวันตกยุคคาวบอย ที่ประสบความสำเร็จได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่บวกแถมยังขายดีแบบถล่มทลายจนมีการสร้างภาคต่อและถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้เกม Open World ในยุคนั้น
อีกหนึ่งปัจจัยความสำเร็จคือเรื่องราวที่เข้มข้นที่เนื้อเรื่องในเกมจะเกิดในปี 1911 ตัวละครหลักของเกมอย่าง จอห์น มาร์สตัน (John Marston) ที่เขาเป็นอดีตอาชญากรที่วางมือไปแล้ว แต่หลังจากครอบครัวของเขาโดนลักพาตัวไป ทำให้เขาต้องกลับมาสู่โลกมืดอีกครั้ง เรื่องราวถูกเขียนออกมาได้ดีมีการหักหลังรวมทั้งมีบทดราม่าสุดเข้มข้นตลอดการเล่น
กราฟิกอัปเกรดเล็กน้อย
หนึ่งในดราม่าการเอากลับมาขายใหม่คือการที่มันไม่ได้เป็นการรีมาสเตอร์แต่ยกเอาของเดิมมาขายแบบแทบไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรเลย แต่พอได้สัมผัสจริง ๆ ถือว่าทำได้ดีพอสมควร อย่างแรกคือบนคอนโซลที่แรงกว่าเดิมอย่าง PS4 จะรองรับความละเอียด 1080p ส่วนบน PS4 Pro และ PS5 จะมีความละเอียด 4K ถือว่าดูดีพอตัวเลย
แต่ที่ประทับใจมากคือบน Nintendo Switch ที่สเปกไม่ได้แรงมาก แต่ทีมงานก็สร้างกราฟิกให้ดูดีในระดับน่าพอใจเพราะเมื่อเล่นบนทีวีจะมีความละเอียด 1080p เท่ากับ PS4 เรียกว่าดูดีกว่าต้นฉบับบน PS3 แม้จะไม่มากก็ตาม ส่วนเฟรมเรตของเกมของทุกเวอร์ชันอยู่ในระดับ 30 FPS ที่เพียงพอกับการเล่นเพราะมันคงที่ตลอดไม่มีตก ทำให้การเล่นลื่นไหลไปตลอด
เกมเพลย์โลกคาวบอยที่มีอิสระสูง
หากคุณเคยเล่นมาก่อนก็แทบไม่ต้องบอกอะไรมากเพราะในส่วนของเกมเพลย์ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังคงมาในรูปแบบ Open World ที่นำเสนอในมุมมองบุคคลที่ 3 ผู้เล่นสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจในโลกตะวันตกที่กว้างและเต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย แต่หลัก ๆ เราจะต้องทำภารกิจหลักที่อยู่ในฉากที่จะเป็นตัวอักษรชื่อย่อของตัวละครที่อยู่บนแผนที่ ซึ่งระบบนี้เหมือนกับเกมรุ่นพี่อย่าง GTA ที่เข้าใจง่ายมาก
นอกจากนี้โลกกว้าง ๆ ยังมีสิ่งให้ทำมากมายเช่นภารกิจเเสริมที่อยู่บนแผนที่ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์ และยังมาพร้อมกับอิสระให้เราสามารถสิ่งดี ๆ เช่นช่วยชาวบ้านปราบโจรหรือช่วยคนที่โดยทำร้าย ซึ่งเมื่อทำแล้วเราจะได้รับความเชื่อใจจากชาวเมืองมากขึ้น และตรงกันข้ามหากเราทำตัวเป็นโจรหรือทำร้ายคนก็จะโดนทางการหมายหัวซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของแนวนี้อยู่แล้วและ Red Dead Redemption ถือเป็นแนวหน้าของเกมแนว Open World มาตั้งแต่ต้นฉบับ
คุ้มหรือไม่ที่จะซื้ออีกรอบ
มาถึงประเด็นสำคัญในการซื้อหามาเล่นเพราะเนื่องจากมันเป็นการเอามาขายใหม่ ที่แทบไม่ได้ทำอะไรมากมายกราฟิกก็ดูดีขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นเกมเพลย์ก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ยังดีที่มันมาพร้อมกับตัว DLC อย่าง Undead Nightmare ใส่เข้ามาให้ด้วย แถมการเล่นยังลื่นไหลกว่าเดิมเพราะการโหลดทำได้เร็วกว่าต้นฉบับมาก ๆ แม้แต่บน Switch ก็โหลดเร็วทำให้การเล่นลื่นกว่าเดิม
แล้วมันคุ้มค่าหรือไม่ที่จะหามาเล่นในเมื่อราคาขายอยู่ที่ 50 เหรียญ หรือประมาณ 1,750 บาทถือว่าสูงพอสมควรสำหรับเกมเก่ามาขายใหม่แบบไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไร ซึ่งหากคุณเคยเล่นต้นฉบับมาแล้วและยังมีอยู่ เช่นการเล่นบน Xbox Series X ที่สามารถเล่นเกมเก่าบน Xbox 360 ได้ แนะนำว่าคงไม่คุ้มค่านักเพราะมันเป็นเกมเดียวกัน
แต่หากคุณไม่เคยเล่นต้นฉบับมาก่อนหรือเคยเล่นแต่ไม่ได้มีตัวเกมเก็บไว้ และอยากกลับไปเล่นอีกรอบถือว่าพอจะไปหามาลองได้ เพราะเนื่องจากมันไม่สามารถหาเล่นได้บน PC ทำให้เป็นทางเลือกเดียวที่จะหามาเล่น บวกกับเกมเพลย์ที่ยอดเยี่ยมเป็นแถวหน้าของเกมแนว Open World ที่แม้จะผ่านมา 13 ปีก็ยังคงสนุกไม่เปลี่ยน
ทำให้โดยรวมแล้วการกลับมาของ Red Dead Redemption บน PS4 และ Nintendo Switch ถือว่าพอจะคุ้มค่าที่จะหามาเล่นหากคุณชอบเกมแนว Open World จากค่าย Rockstar แม้ว่าราคาขายจะค่อนข้างแพงไปหน่อยก็ตาม แต่อย่างที่บอกไปว่าคุณภาพของเกมสามารถข้ามกาลเวลาเอามาเล่นในปี 2023 ก็ยังสนุกและดูไม่เชย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส