Our score
8.0Granblue Fantasy : Relink
จุดเด่น
- เป็นเกมที่สร้างความรู้สึกเดิม ๆ ให้กับผู้เล่นเก่าได้อย่างดี ถ้าเคยเล่นภาคหลักมาก่อน สามารถเล่นต่อได้ง่าย ๆ
- เกมเพลย์อลังการ สกิลสวยงาม และการควบคุมก็ทำได้ลื่นไหลด้วย
- ระบบของเกมที่ลึกมาก สามารถปรับแต่งตัวละครได้ทั้งในด้านเกมเพลย์ และดีไซน์
- กราฟิกที่ผสมผสานความเก่า-ใหม่ได้อย่างลงตัว ใช้นักพากย์ชุดเดิม และตัวละครเดิมด้วย
- ระบบการเล่นแบบ Co-Op ที่สนุก และมี Replayability สูง
จุดสังเกต
- เนื้อเรื่องถือว่าค่อนข้างจบเร็วเมื่อเทียบกับเกมอื่น ๆ และเดินเรื่องแบบเส้นตรง
- เนื้อหาส่วนมากของเกมที่จะทำให้เราเล่นได้นาน ๆ ควรจะต้องเล่นเนื้อเรื่องให้จบก่อน
- เกมมีความเหมือนเกมหลักมาก หมายความว่าการฟาร์มของเพื่อปั้นตัวละครก็หนักพอ ๆ กับเกมหลักด้วยเช่นกัน
- ผู้เล่นใหม่ควรต้องผ่านการเล่นเกมภาคหลักบนมือถือมาก่อนถึงจะได้ประสบการณ์ที่ดีกว่า
- ระบบบอสที่ตอนนี้ยังมีระบบการต่อสู้ที่คล้าย ๆ กันอยู่ คาดว่าจะมีการอัปเดตเข้ามาเพิ่มในอนาคต
รอคอยกันมาอย่างยาวนานถึง 8 ปี กับ Project Relink โปรเจกต์ที่ประกาศเปิดตัวในปี 2016 ผ่านร้อน ผ่านหนาว โดนเลื่อนกันจนโดนล้อ และในที่สุด ปี 2024 นี้ เราจะได้เล่นเกมนี้กันสักที กับเกม Granblue Fantasy: Relink เกม Action RPG ที่ต่อยอดมาจากเกมมือถือในชื่อเดียวกัน เปิดบริการต่อเนื่องยาวนานมาถึง 10 ปี โดยผู้พัฒนา CyGames และนี่คือ รีวิวแบบจัดเต็ม Granblue Fantasy: Relink!
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักซีรีส์ Granblue Fantasy ขอสรุปสั้น ๆ แค่ว่า Granblue Fantasy เป็นเกมที่ขึ้นชื่อในเรื่องการฟาร์มกันอย่างหูดับตับไหม้ แบบ ‘Browser Game’ กล่าวคือเป็นเกมเล่นบนเว็บ และกราฟิกแบบ 2 มิติ แบบเทิร์นเบสครับ เห็นแบบนี้ แต่เกมนี้เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2014 นู่นเลย ! (แถมทุกวันนี้ก็ยังเปิดให้ได้เล่น ฟาร์ม กิลด์วอร์กันอย่างต่อเนื่อง–)
ซึ่ง Granblue Fantasy: Relink ได้ผันตัวจากเกมเบราว์เซอร์ทั่วไป มาเป็นเกม Action RPG เต็มรูปแบบ ซึ่งจากมุมของทีมผู้เขียนแล้ว ถือว่าสานฝันแฟนเกมไม่มากก็น้อยนะ Setting ของเกม ออกมาเป็นฉากแฟนตาซียิ่งใหญ่อลังการ งาน Combat ก็มันส์ และเป็นจุดเด่นของเกมเลย รวมไปถึง Boss Fight ก็ดีไซน์ออกมาได้สนุก เล่นใหญ่ทุกตัว แถมยังมีเนื้อเรื่องที่นำเสนอได้อยู่ในระดับดีเลย ใครที่เป็นแฟนเกมซีรีส์นี้ พูดเลยว่าอิ่มอกอิ่มใจอิ่มเอมกันไปข้าง ตัวเกมถอด element ต่าง ๆ จากภาคดั้งเดิมมาแบบที่เรียกว่า แฟนซีรีส์ต้องร้องอ๋อหลายจุดแน่นอน รวมไปถึง Mechanic หลักของเกม เรียกได้ว่าแทบจะถอดแบบมาจากเวอร์ชันดั้งเดิมเลย ทำให้คนที่เล่นเกมเวอร์มือถือมา ก็คงจะได้อินไปกับภาค Relink กันได้แทบจะทันที เดี๋ยวรีวิวนี้จะขอเล่าให้ฟังในมุมผู้เล่นเก่า ที่จะพยายามอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจนะ !
ประสบการณ์หลังลองเล่น
ทางทีมงานทดลองเล่นเกมนี้ไปราว ๆ 30 ชั่วโมงครับ ซึ่งเนื้อเรื่องหลักจะอยู่ที่ประมาณ 20 ชั่วโมง และ Epilogue อีกประมาณ 5-10 ชั่วโมง ซึ่งในส่วนของ Epilogue จริง ๆ ก็เป็นเนื้อหา End Game Content ที่จะคอยปลดระดับความยากที่มากขึ้นแหละ แต่เดี๋ยวเราค่อยว่ากัน ในส่วนของ 20 ชั่วโมงแรกในเนื้อเรื่องหลัก เราจะรับบทเป็น Captain หรือดันโจว แห่งแก๊ง Skyfarer บนเรือ Grandcypher ที่ได้พาเหล่าลูกเรือของเรา (Lyria, Katarina, Rackham, Io, Rosetta และ Eugen) ออกเดินทางต่อจากเนื้อเรื่องหลัก ไปยัง ‘Zegagrande Skydom’ หมู่เกาะลอยฟ้าทางตะวันตก (ที่เกมหลักไม่ได้กล่าวถึง) เพื่อออกตามหาเกาะ Estalucia หมู่เกาะในตำนาน ที่อยู่ของเผ่าพันธุ์ Astral ที่เชื่อกันว่ามีความรู้ที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหน และจะบันดาลพรได้ทุกสิ่ง แต่ก็เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น !
ด้านการพากย์จัดได้ว่าให้ความรู้สึกแบบเดิม ด้วยการพานักพากย์ตัวละครดั้งเดิมแบบในเกมหลัก แถมยังมีนักพากย์ดัง ๆ มาพากย์ตัวละครใหม่ในภาคนี้ด้วย แม้กระทั่ง Captain มีเสียงพากย์ทั้งเวอร์ชันหญิง และชาย ผู้เล่น GBF เก่าจะว้าวมาก เพราะปกติดันโจวจะไม่พูดเป็นเสียงพากย์เลย ยกเว้นที่เราเห็นกันในฉบับอนิเมะนะ
เกมเพลย์ที่ คุ้ น ต า
โดยเนื้อเรื่องก็จะดำเนินเป็น Chapter ไล่ ๆ ไป รับ Quest เสร็จก็ลงดันตามเนื้อเรื่อง ซึ่งก็จะเป็นการปลดล็อกเนื้อหาส่วนที่เล่นได้เพิ่มขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 2 พาร์ตใหญ่ ๆ คือ Dungeon และ Raid Boss ซึ่งเมื่อเล่นเนื้อหา Story หลักจบแล้ว ก็จะมีการปลด Quest ต่าง ๆ ให้เราไป ‘Thăm Ngàn’ ใช่แล้วครับ แม้แต่เกมเวอร์ชัน Relink นี้เราก็ยังต้องฟาร์มกันอีก โดยตัวเกมก็ไกด์มาดีมากเลยนะ ว่าเราอยากจะต้องการอัปเกรดอะไร ตัวละคร อาวุธ หรือ Skill Tree เค้าก็จะแบ่งไทป์การฟาร์มมาให้ เขียนกำกับไว้ชัดเจน ซึ่งก็จะแบ่งออกเป็นหลายส่วน เช่น Boss, Dungeon, Survival, Horde ล้วนก็แต่เป็นการเอาเนื้อหาจาก Story, Map จาก Story มาทำให้เป็นเควสต์สำหรับ ‘ฟาร์ม’ โดยเฉพาะ แหม่ ไม่รู้ว่าพูดคำว่าฟาร์มซ้ำ ๆ จะไป Trigger คนเล่นเกมเวอร์ชันดั้งเดิมหรือเปล่า
แน่นอนว่าจุดเด่นของเกมแฟรนไชส์นี้คือการฟาร์ม โดยคอนเทนต์ End Game ของเกมนี้ออกจะคล้าย ๆ กับเกม MMO อยู่หลายเกม รวมถึงต้องฟาร์มค่อนข้างหนักระดับหนึ่งในช่วงท้าย ๆ เกม หากเราอยากจะรับประสบการณ์ของเกมนี้แบบเต็มรูปแบบ ตัวเกมวางช่องคอนเทนต์ของคอนเทนต์หลังจบเกมมาค่อนข้างดี ในการวางระดับคอนเทนต์ให้เรารู้สึกว่า เรายังคงไปต่อได้อีกเรื่อย ๆ ระบบการเติบโตของตัวละคร (Progression) ก็ออกมาค่อนข้างลึก เหมือนเกมพยายามให้เราหาของที่ดีที่สุดมาใส่ตัวให้ได้ โดยแต่ละอย่างกว่าจะได้มาเราต้องผ่านการฟาร์ม ฟาร์มเสร็จนำมาสุ่ม สุ่มเสร็จไม่ได้ ก็กลับไปฟาร์มใหม่ เช่นระบบ Mastery ที่หากเราปลดล็อกจนครบ 100% ทั้งหมดแล้ว และเลเวลตัวละครตันแล้ว ยังมีระบบ Over Mastery ให้คุณฟาร์มพอยต์มานั่งสุ่ม stats ซึ่งกว่าจะสุ่มได้ครบดี ๆ 3 ช่องก็เล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกัน หรือระบบ Sigill ประจำตัว ที่จะดรอปในระดับความแรร์ Legendary เท่านั้น เราก็ต้องนั่งฟาร์ม Voucher มาเปิดสุ่มธรรมดา เพื่อเอาการันตีมาเปิด ‘สุ่ม’ ต่ออีกที สุ่มเสร็จก็ต้องลุ้นอีกว่าจะติดทั้งสองช่องเลยไหม ซึ่งก็ค่อนข้างเป็นการวางระบบให้ผู้เล่นติดพันได้อย่างดี
และแน่นอนว่าเมื่อเราเดินทางมาถึงเลเวลสูงสุดของเกมที่เลเวล 100 Raid Boss ของเกมนี้ไปได้มากสุด ณ ตอนนี้ที่เลเวล 150 โดยคุณจะต้องไปบิลด์ในส่วนอื่น ๆ เช่น Sigil และอาวุธแทนเพื่อตาม Gap ระหว่าง 50 เลเวลนี้ให้ได้ แถม เรด ที่ยากที่สุดในเกมตอนนี้ก็เป็นด่านฟาร์มอาวุธที่แน่นอนว่า ‘สุ่มดรอป’ อีก เล่นกว่าจะผ่าน แล้วยังต้องมาลุ้นดรอป ดรอปออกมาก็ไม่รู้ว่าจะได้ของตัวที่ตัวเองเล่นไหม แต่ก็ต้องทำ หากคุณอยากจะลง Raid ยากอันต่อไปที่เกมจะอัปเดตมาให้ เพราะไม่งั้นคุณจะติด Damage Check แน่นอน
ส่วนระบบ Co-Op ของเกมนี้ช่วงแรกอาจจะดูแปลก ๆ เพราะเกมไม่มีระบบ Level Sync เช่นเพื่อนคุณ level 100 คุณ level 20 พามาตบบอส level 20 เหมือนกัน ก็ตบทีเดียวตายได้ แต่พอช่วงหลัง แม้ระดับพลัง และเลเวลจะต่างกันเยอะ ก็เริ่มจะมีความห่างของความแตกต่างน้อย เพราะมันจะไปหนักอยู่ที่การ Build Sigil หรือเครื่องประดับประจำตัวแทน บางทีคน level น้อยกว่าก็อาจจะทำประโยชน์ได้มากกว่าคนเลเวลเยอะกว่า ถ้าบิลด์มาดี
อ่านมาทั้งหมดนี้ ถ้าคุณเป็นผู้เล่นเก่า ก็บอกตรง ๆ ว่าคงจะเข้าใจได้ไม่ยากนัก เพราะมันแทบจะถอดแบบจากเกมภาคหลักมาเลยครับ คือเอาจริง ๆ เรียกว่าแทบจะยกเกมภาคหลัก ย้ายสำมะโนครัวเข้ามาในนี้เลยก็คงไม่ผิดนัก ซึ่งทั้งหมดนี้ โดยส่วนตัวของผู้เขียนก็รู้สึกว่าผู้เล่นใหม่ ๆ อาจจะงงได้ง่าย ๆ เลย ต้องใช้เวลาศึกษากันพักใหญ่แน่นอน
ระบบการต่อสู้แบบใหม่ ที่คนเล่นเก่าก็อ๋อได้
ในด้านระบบการต่อสู้นี้ต้องยกให้เป็นหนึ่งในเครื่องปรุงที่อร่อยที่สุดของตัวเกมเกมนี้เลย กล่าวคือระบบการต่อสู้ของเกมมีความยืดหยุ่น และลึกมาก และยังสามารถสร้างบิลด์ของตัวละครให้ไปโฟกัสที่เพลย์สไตล์แบบที่เราต้องการได้ โดยแต่ละตัวจะมี Sub-Playstyle ประมาณ 1-2 สาย ให้เราสามารถบิลด์ตามที่เราชอบ และเข้ามือเราที่สุดได้ ระบบ Skill Tree ก็มีความยืดหยุ่นมาก และแน่นอนว่าเราต้องฟาร์ม MSP หรือ Mastery Point มาปลดล็อก Skill แต่ละตัว โดยจะแบ่งออกเป็น Skill หลัก, Defense และ Weapon Collection ซึ่งทั้งหมดนี้เราสามารถตามไปฟาร์มในดันเจี้ยนต่าง ๆ ที่ให้เราเลือกได้ในเมือง
โดยระบบ Combat ของแต่ละตัวละครจะโฟกัสไปที่อะไรต่างกัน และยังสร้างความแตกต่างของประสบการณ์เล่นได้ด้วยจากการปลดล็อก Skill Tree หรือ Mastery อีกที โดยแต่ละตัวละครจะเลือก Skills มาใช้ได้มากสุด 4 Skills โดยตัว Skill นี่แหละจะเป็นตัวปรับเปลี่ยน Gameplay ให้เหมาะสมกับเรามากที่สุด ซึ่งการผสม Combo จะไม่มีผิดมีถูก ยกเว้น Combo หลัก เช่น แต่ละตัวจะมีท่า Buff และท่าเก็บเกจ ซึ่งถ้าเราวางแผนดี ๆ เราจะสร้างความเสียหายกับศัตรูได้มากสุด ซึ่งจุดนี้ตัวเกมจะไม่ได้สอน เช่นตัวละคร ‘Zeta’ จะมี Combo พื้นฐานคือการตีแล้วกดตีอีกครั้งให้ตรงกับจังหวะกระโดดสูง แล้วกดไปเรื่อย ๆ เพื่อเพิ่มพลังโจมตี แล้วจบที่ท่า Finisher ซึ่งก่อนเราจะใช้ Combo นี้ ถ้าเราใช้ท่า Buff ATK ก่อน เราก็จะได้ Damage มากกว่าแค่กดจาก Combo ธรรมดา
ซึ่งจุดนี้แหละที่ทำให้ระบบ Combat ของเกมนี้สนุกมาก เพราะตัวเกมค่อนข้างเปิดกว้างให้เราได้ผสมท่าต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งใครเคยเล่นเกมที่มีระบบ Combat ลึก ๆ น่าจะมานั่งลองกันสนุกเลยแหละ แล้วยิ่งเล่นกับเพื่อนที่ Build ตัวละครสาย Support มา Buff ตี Buff Critical Damage บ้าง ทีนี้เราจะทำจังหวะกดกันเป็น Rotation ดัน Damage ออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้กันสนุกเลย (ถ้าไม่โดนบอสขัดจังหวะ Combo ไปก่อน)
โดยในเกมจะมีระบบ ‘ตัวละครเสริม’ หรือตัวละครอื่น ๆ ที่มาพร้อมกับ Playstyle ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในแต่ละตัวละคร ซึ่งพอเราเล่นไปจนถึงจุดหนึ่ง Sierokarte ก็จะแจก ‘ตั๋วเลือกตัวละคร’ ให้เราเลือกตัวละครใดก็ได้ในลิสต์ตัวละคร และนำตัวละครนั้นไปใช้ได้เลย ซึ่งตั๋วจะคอยแจกจาก Story และ Side Quest รวมไปถึงคอนเทนต์หลังเกมจบ โดยรวม ๆ ประมาณ 20-30 ชั่วโมงนิด ๆ ก็น่าจะได้ตัวละครครบทั้งหมดแล้ว หลังจากจบเนื้อเรื่องหลัก โดยอัปเลเวลตัวละคร, Masteries และอาวุธประจำตัวจะอัปเกรดมาบ้างแล้ว ไม่เหมือนกับตัวละครหลักในเนื้อเรื่องที่ต้องอัปเกรดเองตั้งแต่แรก (แหม่ อยากให้เกมหลักแจกกันง่าย ๆ แบบนี้บ้าง) ซึ่งด้วยระบบธาตุของตัวละคร และมอนสเตอร์ รวมถึงการคำนวณแพ้-ชนะธาตุของแต่ละตัวละครแล้ว การมีเตรียมพร้อมไว้หลาย ๆ ทีม ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว (คุ้น ๆ เหมือนจัดพูลในเกมหลักยังไงก็ไม่รู้)
และในอีกจุดเด่นหนึ่งที่ผมว่าค่อนข้างแพรวพราวมากของเกมนี้ ก็คือ Boss Fight ที่มีการออกแบบได้ยิ่งใหญ่ และมีแนวทางในการเล่นที่น่าสนใจ บอสแต่ละตัวจะมีการดีไซน์เฉพาะตัว มีวิธีการที่เราต้องต่อสู้ด้วยที่ไม่เหมือนกัน โดยส่วนตัวผมประทับใจกับ Boss Fight ทุกตัวเลย ตลอดเนื้อเรื่อง ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากที่เราปราบมันได้ใน Story แล้วเนี่ย ตัว Quest ที่ให้เราฟาร์มของก็จะปลดล็อกตัวนั้น ๆ มาด้วย แต่ที่น่าเสียดายคือบอสบางตัวจะไม่มีให้เล่น และบอสที่ถูกนำมาใส่ใน Raid Quest ก็จะปรับ Mechanic ให้มีความยากขึ้นอีกด้วย ตามระดับความยากที่เราปลดในภายหลัง
ระบบ Fight ในเกมนี้ถือว่าออกแบบมาสนุกมาก ตัวเกมมีหลายอย่างที่เอามาปรับเปลี่ยนจากภาคมือถือ และเห็นได้จากเกมอื่น ๆ อย่างระบบ Damage Check ที่ Boss จะคอยมีท่าที่พร้อมจะฆ่าทีมคุณตายทั้งทีม หากคุณทำ Damage ไม่มากพอ แต่ก็ต้องบอกว่า ถึงแม้ Boss Fight จะดีไซน์มาดี อลังการ แต่ก็ยังเป็นการทำรูปแบบของ Mechanics ที่สับไปสับมา ไม่กระโดดเชือก ก็หลบวง AOE ถ้ามีอะไรที่สร้างสรรค์กว่านี้ หรือหลายรูปแบบกว่านี้ก็อาจจะถึงขั้นเทพแบบ FFXIV เลย
เนื้อเรื้องที่เหมือนจะมาดี แต่ว่า…
ในด้านเนื้อเรื่องเกมถือว่าทำการนำเสนอออกมาได้อย่างน่าสนใจไม่น้อยนะ ตัวเกมใช้วิธีการเล่าเรื่องที่ทำให้ผู้เล่นเก่าให้รู้สึกเหมือนถูกพากลับบ้าน กลับมาเจอเหล่าลูกเรือ Skyfarer ที่ยังคงมีชีวิตชีวาเหมือนเดิม แต่เหมือนได้เปิดตำนานครั้งใหม่หมด ฝั่งผู้เล่นใหม่เอง เมื่อเข้ามาครั้งแรก อาจจะต้องมีงง ๆ กันบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง เพราะตัวละคร หรือศัพท์เฉพาะของโลกแห่ง ‘เกาะลอยฟ้า’ เหล่านี้ จะโผล่มาให้งงกันแบบทันทีทันใด แต่ไม่ต้องห่วงไปครับ เพราะระหว่างเรื่องดำเนินไป เกมจะมี ‘Glossary’ ที่ขอเรียกว่าเป็น ‘ดิคชันนารี’ เพื่อแนะนำโลกนี้ให้ผู้เล่นใหม่ได้เข้าใจโลกนี้่มากขึ้นด้วย แถมยังมี ‘Lyria’s Journal’ บันทึกของ Lyria ให้ได้อ่านเรื่องราวต่าง ๆ ของโลกใบนี้ และ ‘Fate Episode’ ให้ได้รู้จักตัวละครต่าง ๆ มากขึ้นด้วย ใช่ครับ ชื่อเดียวกับในเกมหลักเลย
ส่วนเนื้อเรื่องในตัวเกม ประกอบไปด้วย เนื้อเรื่องหลัก 10 Chapter และ Epilogue ช่วงท้ายอีก 5 Chapter ซึ่งในเนื้อเรื่องหลัก ‘ดันโจว’ หรือกัปตันของเรือ Grandcypher ของเราจะเป็นตัวดำเนินเรื่องหลักครับ นั่นคือตัวละครหลักของเราจะต้องอยู่แทบจะตลอดเวลาที่มีการเล่นฉากเนื้อเรื่องหลัก แต่ที่น่าสนใจก็คือ ตัวละครเสริมที่เราใช้บัตรเลือกตัวมา จะมีการคอมเมนต์กับสถานการณ์ตรงหน้า เวลามีการต่อสู้กับมอนสเตอร์อยู่ด้วยครับ และตัวละครในทีมเรายังมีการกล่าวถึงตัวละครเสริมที่เราเตรียมมาไว้ด้วย ! กล่าวคือไม่ว่าเราจะจัดทีมไว้แบบใด เนื้อเรื่องก็เดินทางต่อไปได้โดยไม่สูญเสียความ ‘Immersive’ หรือความดื่มด่ำกับเนื้อเรื่องแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เนื้อเรื่องโดยรวมจัดว่านำเสนอออกมาได้สนุกมากอยู่ครับ สามารถทำให้ทั้งคนที่เคยเล่น และไม่เคยเล่น Granblue Fantasy ภาคหลัก สนุกไปกับเกมและเนื้อเรื่องได้โดยไม่ลำบากในด้านความเข้าใจโลกมากนัก ด้วยการแนะนำเกาะนอกเหนือจากเนื้อเรื่องหลัก และตัวละครหลักเป็นตัวละครใหม่ซะเยอะ แต่ถ้าอยากจะสนุกกับเนื้อเรื่องเกมนี้แบบเต็ม 100% ผมว่ายังไงก็ต้องไปเล่นภาคหลัก และเก็บเนื้อเรื่องในนั้นมาด้วยครับ จะทำให้ในภาค Relink นี้สนุกกว่าเดิมอีกเยอะแน่นอน ! (ขอไม่สปอยล์ไปกว่านี้นะ อยากให้ได้ไปรู้เองจริง ๆ)
เนื้อเรื่องหลักของเกม ใช้เวลาทั้งหมดราว ๆ 30 ชั่วโมงเพื่อเคลียร์ทุกอย่าง ซึ่ง เห็นจากความยาวที่เขียนส่วนนี้ ที่แตกต่างจากระบบเกมอื่น ๆ ก็คือชัดเจนเลยครับว่า ส่วนเนื้อเรื่องของเกมนี้ยังทำมาได้ไม่เข้มข้นเท่ากับในระบบการเล่นจริง ๆ นะ คือส่วนของเนื้อเรื่อง เขาทำเป็นรูปแบบคล้าย ๆ เกมหลักเลยก็ว่ไาด้ เพราะเกมหลัก จุดเด่นคือการลงเรดครับ ทำให้ภาพนี้ก็ยังไม่สามารถทิ้งห่างเกมภาคหลักที่เน้นการลงเรดมากนักได้ แถม การจะลงเรดในระดับลึก ๆ แรง ๆ หรือการทำทีมเล่นกับเพื่อนให้ได้ ก็จะต้องเล่นเนื้อเรื่องหลักให้จบก่อนด้วย แถมเนื้อเรื่องเอาจริง ๆ จัดว่าค่อนข้าง Linear มาก ๆ อยู่นะ กลายเป็นว่าเกมนี้ จุดเด่นไปอยู่กับระบบการลงเรดหลังเนื้อเรื่องจบมากกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งเอาจริง นี่ก็เหมือนเป็นการ ‘กลับบ้าน’ ไปกลาย ๆ เหมือนกันนะ (ฮา)
กราฟิกที่ผสมผสานความเก่า – ใหม่อย่างลงตัว
ด้านกราฟิกของ Granblue Fantasy : Relink ถือเป็นอีกจุดแข็งของเกมนี้เลยก็ว่าได้ครับ เพราะหลาย ๆ คนที่เคยผ่านภาคหลักมา จะต้องติดกับภาพจำของเกมหลักที่เป็นเกมเบราว์เซอร์หรือเล่นบนเว็บ ที่ภาพในเกมจะเป็นภาพวาดแบบ 2 มิติ แต่ในภาค Relink นี้ เหมือนเป็นการผสมผสาน Artstyle แบบในเกมเดิม ผสมเข้ากับการทำเกมแบบ Action RPG สมัยใหม่ และเอฟเฟกต์ของสกิลที่อลังการมากยิ่งขึ้น ในรูปแบบของเกมยุคปัจจุบัน ซึ่งในด้าน Aesthetic ของเกม ทั้งในแง่ของลายเส้น, ฉากหลัง, บ้านเมือง, ดีไซน์ตัวละคร, ไปถึงการออกแบบ UI ภายในเกม, ฟอนต์/สีของเลขการโจมตีที่เปลี่ยนไปตามธาตุ, Key Visual, Typography ในเกม เช่น VS บอส, Level Up ไปจนถึงการออก Link Skill ที่ผมยังไงก็ยืนยันคำเดิมครับ ว่านี่แหละ คือการพากลับบ้านของชาวแกงบูดที่แท้จริง
ในเชิงเทคนิคแล้ว กราฟิกของ Granblue Fantasy Relink เป็นแบบ Cel Shade เรียกง่าย ๆ ก็คือการใส่ Shader บนตัวละคร หรือวัตถุต่าง ๆ ให้เหมือนอยู่ในการ์ตูน (ตามสไตล์ภาคหลัก) แต่ยังคงเน้นไปที่การคำนวณแสง และเงาที่สมจริง ทำให้ได้ภาพออกมาได้แปลกตา แต่ก็ดูสวยงามทั้งในมุมมองของคนที่เคยผ่านและไม่เคยผ่านเกมภาคหลักมาก่อนครับ แต่ทั้งนี้ เกมอาจจะออกมาไม่ได้ดูดุดัน สมจริง เว่อวังอลังการ เหมือนเกม 3 มิติยุคสมัยใหม่นะครับ แต่ Artstyle แบบนี้ เหมาะสมกับเกมนี้แล้วแน่นอนครับ
คอมเราต้องแรงขนาดไหนถึงจะเล่นเกมนี้ได้ ?
ด้าน Performance ของตัวเกม ตอนนี้เราได้ลองเล่นบน 2 อุปกรณ์ด้วยกันครับ คือโน้ตบุ๊ก ที่ใช้ CPU i7-11800H + การ์ดจอ RTX3050Ti กับแรมอีก 16GB บนจอ 1080P ซึ่งสามารถเล่นแบบปรับสุดที่ Ultra ได้ค่อนข้างนิ่งที่ 50 FPS และบนคอมพิวเตอร์ CPU Ryzen 5 5600x + RTX 3070 Ti และแรม 32GB ปรับภาพ Ultra บนจอ Ultra Wide ได้เฟรมเรตอยู่ที่ 40 – 50 และตกลงไปต่ำสุดที่ราว ๆ 20 ปลาย fps ซึ่งในตอนนี้ ตัวเกมยังไม่มีเทคโนโลยี Upscaling ซึ่งควรเป็นพื้นฐานในเกมยุคใหม่แล้วนะ
โดยรวมแล้วด้าน Performance ทำออกมาได้ค่อนข้างโอเคครับ ตัวเกมบอกว่าสเปกขั้นต่ำของเกมนี้จะอยู่ที่ i3-9100, Ryzen 3 3200G และการ์ดจอ GTX1060 และถ้าอยากให้ลื่น ๆ ที่ 1080P 60FPS ควรขยับไป i7-8700, Ryzen 5 3600 และการ์ดจอ RTX2080 และ Radeon RX6700XT 8GB ครับ ซึ่งผมว่าใช้สเปกระดับที่อยู่ตรงกลางระหว่างกันก็พอเล่นได้แล้วนะ คือตัวเกมใช้วิธีการโหลดแบบสลับฉากไปมาเรื่อย ๆ ระหว่างเมือง, ฉากในเนื้อเรื่อง, ฉากเควสต์ต่าง ๆ ดังนั้น เกมจะมีการโหลดเพื่อข้ามไปมาอยู่ตลอด ก็จะดีที่ไม่หนักเครื่องมาก แต่จะเจอการโหลดฉากบ่อยหน่อยนะ ซึ่งถ้าลงเกมบน SSD ก็จะไม่มีปัญหาเลย เกมโหลดแต่ละฉากเร็วจนเราไม่ต้องมานั่งรอนานครับ
สรุปส่งท้าย
โดยสรุปแล้ว Granblue Fantasy : Relink เป็นอีกเกมที่คุ้มค่าการรอคอยกว่า 8 ปีที่เกมพัฒนามาครับ คือเกมนี้ เรียกได้ว่าเป็นการพาผู้เล่น Granblue Fantasy ภาคหลัก กลับบ้านมาเจอกับกลุ่มลูกเรือที่เรารัก ยิ่งถ้าเราตั้งชื่อตัวดันโจวของเราตามในเกมหลักเป๊ะ ๆ นะ ยิ่งอินเลย เหมือนเล่นต่อจากที่ค้างไว้ยังไงงั้นเลย ซึ่งคนที่ไม่เคยเล่น หรือไม่เคยรู้จัก Granblue Fantasy มาก่อนก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องจะต่อไม่ติดไปครับ เพราะเกมจะแนะนำให้เราได้รู้จักกับทุกตัวละครจนเราคุ้นชิน และหลงรักตัวละครแบบไม่ยากนัก รวมถึงระบบการเล่นที่เรียกว่า Easy to Learn, Hard to Master นี้ จะเหมาะสมกับทั้งเหล่าผู้เล่นหน้าเก่าและหน้าใหม่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ทั้งนี้ อย่างที่บอกครับว่า ถ้าอยากรับประสบการณ์ของเกมนี้ให้ครบ 100% ผมแนะนำให้กลับไปเล่นภาคหลัก เล่นเนื้อเรื่องยาวไปจนถึงที่เราได้รู้จักกลุ่มลูกเรือของเราครบทุกคนก่อน จะทำให้คุณสนุกไปกับ Granblue Fantasy : Relink นี้ได้อย่างเต็มที่แน่นอนครับ (หรือจะเล่นภาคหลักยาวจนลงกิลด์วอร์กันไม่หวั่นไม่ไหวก็ได้นะ)