Our score
8.7Final Fantasy XV
จุดเด่น
- กราฟิกงามๆ
- ระบบการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม
- มีโลกกว้างๆให้สำรวจ
- เพลงประกอบอลังการ
จุดสังเกต
- ฉากท้ายๆเป็นเส้นตรง
- ระบบลอบเร้นที่น่าเบื่อ
- ไม่อิสระเท่าที่ควร
-
กราฟิก
9.0
-
รูปแบบการเล่น
8.5
-
ความแปลกใหม่
8.5
-
ความคุ้มค่า
9.0
-
ภาพรวม
8.5
หากเราคาดหวังไว้มากมักจะผิดหวัง เป็นหนึ่งในสิ่งที่อยู่ในหัวผู้เขียนก่อนได้เล่น Final Fantasy XV ตัวเต็ม เพราะหลังได้ลองเดโม ทุกเวอร์ชั่นที่ค่ายเกมปล่อยออกมาแล้ว กลับไม่ได้รู้สึกประทับใจมากมายอะไรนักเพราะด้วยรูปแบบการเล่นที่เปลี่ยนไปมากจนแทบไม่เหลือคำว่า Final Fantasy ทำให้หลังจากนั้นก็ไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว แต่ในฐานะที่เป็นแฟนของซีรีส์มายาวนานตั้งแต่ภาคแรกบน แฟมิคอม ทำให้ยังไงก็ต้องหามาเล่นอยู่ดี
เกม Final Fantasy XV เป็นหนึ่งในเกมที่ใช้เวลาสร้างยาวนานมากที่สุด โดยโครงการเริ่มตั้งแต่สมัย PS3 เปิดตัวใหม่ๆในชื่อ Final Fantasy Versus XIII แต่ก็ได้เลื่อนวันจำหน่ายมาเรื่อยๆจนถึงยุค PS4 ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็นภาคหลักในชื่อ Final Fantasy XV และยังเลื่อนวันวางขายมาตลอดจนในที่สุด 10 ปีที่แฟนเกมรอคอยก็ได้สิ้นสุดลงในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2016
และสัมผัสแรกกราฟิกอยู่ในระดับน่าประทับใจ แม้ว่ามันจะออกหลังจากเราได้สัมผัสเกมแนว Open World บน PS4 , XboxOne กันมาหลายเกมแล้ว ทำให้ภาพในเกมอาจไม่ได้สร้างเซอร์ไพรส์เท่าตอนแรกที่เราได้เห็นกราฟิกบนเครื่อง PS4 แต่หากมองว่ามันคือเกมโลกอิสระที่มีฉากกว้างๆให้สำรวจ ก็ถือว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยมไม่มีที่ติ การเก็บรายละเอียดทำได้อยู่ในระดับที่ผู้สร้างตั้งใจทำ และมีการออกแบบให้ดูดีราวกับว่าหลายเมืองหรือฉากในเกมมีอยู่ในโลกนี้จริงๆ ซึ่งผู้สร้างก็สร้างมาจากมหานครที่มีอยู่จริงเช่น Altissia ที่จำลองเมืองเวนิสในอิตาลี ทำให้ไม่แปลกใจที่มันจะดูสมจริงมากสำหรับฉากในเกม แม้แต่รถก็มีค่าย Audi มาออกแบบให้
แม้ว่ามันอาจจะไม่ค่อยมีความเป็น Fantasy เท่าที่ควรแต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่โตมากับ Final Fantasy 7 ถือว่ามันคือการอัพเกรดงานออกแบบที่เรียบหรูดูดีเข้ากับโลกมหัศจรรย์ แม้ว่าบางอย่างอาจดูขัดๆอยู่บ้าง ซึ่งส่วนตัวแล้วมันดูไม่เข้ากันเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับสมัยการออกแบบโลกของเกม Final 7 แต่อย่างไรก็ตามการท่องไปในโลกของเกมในภาคนี้ถือว่าไม่มีอะไรน่าผิดหวังโดยเฉพาะงานออกแบบที่ Final Fantasy XV ถือว่าทำได้เยี่ยมไม่แพ้ใคร
เพลงประกอบถือเป็นไฮไลท์ที่บอกได้เลยว่าไม่ผิดหวังเพราะได้อีกหนึ่งตำนานของวงการเพลงประกอบเกมอย่างคุณ Yoko Shimomura เจ้าของผลงานเพลงจากเกมดัง Front Mission , Super Mario RPG , ซีรีส์ Kingdom Hearts และเกม RPG ดังๆอีกหลายสิบเกม ที่คราวนี้เธอยังคงสร้างสรรค์เพลงประกอบเกมที่จำลองโลก Fantasy ได้อย่างลงตัวและน่าอัศจรรย์ที่นอกจากธีมแบบอลังการงานสร้างแล้วยังมีดนตรีหลายแนวที่บางเพลงเพราะถึงขนาดเอาไปฟังกันจริงจังได้เลย
แม้ว่าการใส่จังหวะของเพลงประกอบในบางครั้งดูจะไม่ค่อยเข้าและดูมากเกินไปเพราะเราต้องได้ยินธีมอลังการกันไปตลอดเกมจนบางทีเกิดอาการเลี่ยน แต่โดยองค์รวมมันคืองานศิลปะชั้นเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย รวมทั้งมีการนำเพลงธีมในตำนานของซีรีส์ Final Fantasy มาใส่ในเกมไม่ว่าจะเป็นฉากสำคัญ หรือเพลงประกอบที่ไว้ฟังตอนขับรถที่เปลี่ยนได้ตามใจ
รูปแบบการเล่นอย่างที่รู้ๆกันว่ามันเปลี่ยนจาก RPG เดิมๆ ที่ใช้การใส่คำสั่ง มาเป็นแอ็คชั่น RPG แบบเต็มสูบแม้ว่าก่อนหน้านี้ ซีรีส์นี้ก็เคยปรับเปลี่ยนมาแล้ว แต่คราวนี้ดูจะเข้มข้นกว่าเดิมมากเพราะเราต้องกดปุ่มเพื่อโจมตี ป้องกัน หลบหลีก รวมทั้งใช้ท่าไม้ตายรวมทั้งเวทย์ อย่างจัดเต็มผ่านรูปแบบที่แทบจะเป็นเกมแอ็คชั่นไปแล้ว เรียกว่าจะมานั่งคิดว่าจะใช้ท่าไม้ตายอะไรกันไม่ได้อีกแล้วเพราะศัตรูในเกมจัดเต็มมากแทบไม่ปล่อยให้มีเวลาว่างกันเลย
โดยรวมแล้วมันก็เหมือนรูปแบบเกมแนว RPG ในยุคหลังมีการใส่ความเป็นแอ็คชั่นมากขึ้น แม้ว่าอาจจะไม่เท่ากับเกมแอ็คชั่นแท้ๆแต่ก็เป็นแนวลูกผสมที่ยอดเยี่ยมและเล่นได้สนุกมากกว่าเกมอื่น โดยผู้เล่นสามารถบังคับคัวละครได้แค่ตัวเดียว แต่เราสามารถสั่งการใช้เพื่อนร่วมทีมใช้ท่า Technique อันทรงพลังได้
และยังมีหลายฉากที่เราต้องกดปุ่มแบบควิกไทม์อีเว้น และยังมีการผสานท่าพุ่งตัวด้วยความเร็วสูงที่ผู้เล่นสามารถนำไปประยุกต์ในการต่อสู้ได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นเพื่อการหลบหลีกไปยังที่สูงเช่นเสาไฟ หรือโจมตีด้วยความเร็วแต่ใช้ได้จำกัดเพราะต้องเสีย MP ซึ่งระบบการต่อสู้ถือว่าเป็นจุดเด่นที่ดีที่สุดของภาคนี้โดยรวมแล้วมันเป็นการยกระดับเกมแอ็คชั่น RPG ให้มีความสนุกมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตามหากคุณไม่ชอบแนวแอ็คชั่น ผู้สร้างก็ได้ใส่โหมด “Wait Mode” เพื่อใส่คำสั่งเข้าไปด้วย เพื่อให้คอเกมที่ไม่ถนัดความรวดเร็วแบบเกมแอ็คชั่นเข้าไปเพราะในโหมดนี้ตัวเกมจะหยุดรอเพื่อให้เราได้ใส่คำสั่งแบบไม่ต้องกังวล แต่แนะนำว่าอย่าใช้น่าจะดีกว่าเพราะทำให้เกมไม่สนุก เพราะพื้นฐานมันคือแอ็คชั่น RPG ที่ไม่ต้องมานั่งหยุดเพื่อรออะไร
แต่โดยองค์ประกอบแล้วมันคือการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อว่าหลายคนอาจชอบสำหรับคนรุ่นใหม่ หรือคุณอาจไม่ชอบหากยังยึดติดการเล่นแบบเดิมๆของภาคเก่า ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วมันคือการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยที่เชื่อว่าค่ายเกมต้องทำ เพราะในตอนนี้เกม RPG แบบเดิมๆอาจจะขายไม่ออกแล้วทุกเกมต้องปรับเพื่อความอยู่รอดกันหมด
นอกจากประเด็นระบบการต่อสู้แล้ว ในภาคนี้มีความเป็น Open World หรือโลกอิสระอยู่พอสมควรราวกับว่าผู้สร้างนำเสียงวิจารณ์ของ Final Fantasy 13 ที่โดนตำหนิเรื่องความเป็นเส้นตรงของตัวเกมมาเป็นบทเรียน ทำให้ภาคนี้เราสามารถเดินสำรวจโลกได้กว้างมากขึ้น แต่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทางเพราะมีจุดบอกว่าต้องไปทำอะไรที่ไหนกันอย่างละเอียดตลอดเกม
แต่น่าเสียดายที่มันยังอยู่ในกรอบของเกม JRPG เพราะตัวเกมจะถูกแบ่งออกเป็นตอนๆเหมือนเดิม และมันก็ไม่ได้มีความอิสระเท่าเกม Open World RPG อย่าง Skyrim , The Witcher 3 หรือแม้แต่เกมญี่ปุ่นบน WiiU อย่าง Xenoblade Chronicles X ก็ยังมีโลกที่กว้างและทำอะไรได้มากกว่า แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยรายละเอียดพื้นฐานเช่นระบบกลางวัน กลางคืน หรือสภาพอากาศที่ส่งผลต่อการเจอศัตรู
อย่างไรก็ตามอย่าเพิ่งมองว่าในเมื่อเกมมีรถมันจะกลายเป็น Open World แนวเดียวกับ GTA เพราะการขับรถในเกมไม่มีอิสระในการบังคับเท่าที่ควรถนนหนทางก็น้อย เมืองใหญ่ก็มีไม่มาก แต่มันถือว่าเป็นข้อดีเพราะทำให้เราสะดวกในการเดินทาง และยังมีระบบขับรถอัตโนมัติ และจะแบบรวดเร็วสุดๆแบบกดข้ามไปเลยก็ทำได้ทำให้โลกในภาคนี้ดูจะสะดวกในการเดินทาง ส่วนถ้าใครอยากสำรวจโลกแบบอิสระแนะนำเช่านก Chocobo ขี่น่าจะดีกว่า
แต่สำหรับซีรีส์ Final Fantasy ความอิสระในระดับนี้ถือว่าเป็นข้อดีเพราะเราจะได้ไม่นอกเรื่องนอกราวจนมากเกินไป และอินไปกับตัวละครหลักได้มากกว่า แต่ที่แน่ๆหากจะทำเควสทั้งหมดในเกมคงต้องใช้เวลาเกิน 100 ชั่วโมงแน่ แต่มีข้อเสียอยู่หน่อยที่บางส่วนของเกมมีการนำรูปแบบการเล่นแนวสายลับที่ต้องค่อยลอบเร้นหรือหลบซ่อนที่ยังไม่ลงตัวโดยเฉพาะฉากท้ายๆที่ดูน่าเบื่อมากกว่าสนุก
เรื่องราวในภาคนี้จะเน้นหนักไปที่ตัวเอก Noctis ที่เมื่อเล่นไปเนื้อเรื่องจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ตัวเอกจะได้รับรู้ความจริงที่น่าเศร้า แน่นอนว่าต้องมีดราม่าแบบจัดเต็มที่หากใครดูภาพยนตร์ Kingsglaive: Final Fantasy XV มาก่อนคงจะอินกับมันมาก แต่หากคุณยังไม่ดูก็ควรไปหามาชมเสียก่อนจะเล่นโดยเรื่องราวยังคงเป็นการกลับมาทวงคืนบัลลังก์ มีการเล่าเรื่องเชิงสัญลักษณ์ของพลังความดี พลังธรรมชาติ และมิตรภาพของความรักของตัวละครหลักออกมาได้อยู่ในระดับภาพยนตร์มหากาพย์ตามแนวทางที่แฟนค่ายนี้คุ้นเคยกัน
ซึ่งนอกจาก Noctis แล้วตัวละครหลักที่เหลือสร้างมาเพื่อสอดรับกับการเล่าเรื่องที่มีทั้ง Gladiolus ผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งและทรงพลังโดยบทเขียนให้เขาเป็นพี่ชายที่แสนดีคอยดูแล Noctis และยังมี Ignis ผู้ปราดเปรื่องและเขาถูกวางตัวให้เป็นผู้ช่วยตัวเอก (และทำอาหารเก่ง) , Prompto เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของ Noctis ที่มีบุคคลิกสนุกสนานเพิ่มสีสันในการเล่าเรื่อง(และชอบถ่ายรูป) โดยรวมส่วนนี้เองทีมงานยังคงทำได้ดี กับเกมที่เน้นหนักไปยังการเล่าเรื่องผ่านตัวละครที่มีปมในอดีต
และด้วยกราฟิกงามๆที่ราวกับได้ชมภาพยนตร์ไปพร้อมกับเล่นเกม ทำให้การท่องไปในโลกของเกมไม่เสียชื่อความเป็น Final Fantasy แต่รีวิวนี้ขอไม่บอกเรื่องราวว่าเป็นอย่างไร (ไม่มีการspoil) ใครอยากรู้ก็ต้องลองไปเล่นเอง แต่แอบบอกใบ้ไว้นิดว่าตอนจบอาจทำออกมาขัดใจแฟนเกมอยู่บ้าง หรือการต่อสู้กับบอสใหญ่ที่ไม่สะใจเท่าที่ควรก็ตาม แต่หากมองในอดีตเกม Final Fantasy บางภาคก็เคยมีฉากจบแบบนี้มาก่อน และการสร้างเกมของผู้กำกับอย่างคุณ ทาบาตะ ก็มาในแนวทางนี้ตลอด และถ้าหากคุณเล่นแบบเสพเนื้อเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบก็จะรู้เลยว่าการจบแบบนี้นั้นถือว่าดีแล้ว
อย่างไรก็ตามมันยังจัดเต็มทั้งการเล่าเรื่อง การแสดงของสีหน้าท่าทางของตัวละครที่เหมือนกับเราได้ชมภาพยนตร์ยาวๆมากกว่าแค่เล่นเกมและการเดินเรื่องที่ทำให้เราค่อยๆอินไปกับเรื่องราวไปตลอดเกมจนไม่ว่าตอนจบมันจะออกมาในแนวทางไหนมันก็หลายเป็นอีกหนึ่งเกมที่ยิ่งใหญ่ระดับมหากาพย์แห่งปีอยู่ดี
ส่วนอีกไฮไลท์ในภาคนี้คือมนต์อสูรที่โผล่มาแบบอลังการงานสร้างทุกตัว ที่ตอนต่อสู้กับมันยิ่งใหญ่ราวกับได้สู้กับสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ที่มีเกมเพลย์ตอนสู้ที่รวดเร็วเหมือนเกมแอ็คชั่นเต็มสูบแบบ Bayonetta หรือ God Of War ที่ขนมาทั้ง Titan, Ramuh, Carbuncle, Leviathan, Shiva, Ifrit และยังมีอีกหนึ่งตัว (ขอปิดชื่อไว้ก่อน) ที่ล้วนเป็นระดับตำนานแห่งซีรีส์ Final Fantasy ทั้งสิ้น
การอัพเกรดตัวละคร ทำได้เรียบง่ายเช่น ระบบการอัพเลเวลที่ปรับให้เข้ากับความเป็นเกมแอ็คชั่นมากขึ้น และยิ่งเล่นไปตัวละครในทีมจะค่อยๆเข้าขากันมากขึ้นทำให้การต่อสู้จะลื่นไหลมาก ส่วนการอัพสกิลมีการทำเป็นการเดินตามเส้นสาย เลือกได้ว่าจะอัพเกรดตัวละครไปในแนวทางไหนคล้ายกับการอัพเกรดของ Final Fantasy ภาคก่อนๆเช่นระบบ Ascension ที่คล้ายกับการเดิน Sphere ของภาค 10 (แต่รายละเอียดน้อยกว่า) ในส่วนนี้ผู้เล่นต้องคำนึงถึงให้มากเพราะการอัพเกรดไม่ใช่แค่ส่งผลต่อค่าพลัง ยังมีการเพิ่มความสามารถของตัวละครที่ทำให้เกมง่ายขึ้น เช่นเดียวกับระบบอาวุธที่มีการแบ่งประเภท เช่นดาบ, หอก โล่ หรือแม้แต่ปืน ที่ผู้เล่นปรับแต่งได้ตามใจและไม่มีอะไรยุ่งยาก ส่วนเครื่องป้องกันและเครื่องประดับถูกย่อลงมาเหลือไม่กี่อย่างเหมือนภาคก่อนๆ
แถมยังนำอาวุธมาปรับใช้เป็นท่าคอมโบ หรือท่าไม้ตายได้หลากหลาย รวมทั้งอาวุธในตำนานที่ตัวเอกต้องตามหาที่มีพลังทำลายมหาศาลและยังส่งผลต่อตัวผู้ใช้ด้วย และอีกส่วนที่ต้องพูดถึงคือการอัพเกรดตัวละคร ที่ในภาค 15 จะเลเวลขึ้นให้ก็ต่อเมื่อกลับไปนอนในโรงแรม, ที่พัก หรือตั้งแคมป์ และค่อยมาคิดค่าประสบการณ์ที่ได้มาทั้งหมดมาอัพเกรดที่ดูแปลกตาไปมาก
ส่วนระบบเวทมนตร์ที่ภาคนี้เปลี่ยนไปเป็นการดูดเอาพลังของธาตุที่อยู่ตามฉาก ที่มีทั้ง ไฟ,น้ำแข็ง,สายฟ้า และเราเอามาสร้างเป็นพลังเวทมนตร์ไว้ใช้งานได้ และยังปรับแต่งผสมผสานเพิ่มความแรงได้ แม้ฟังดูแปลกๆแต่เชื่อเถอะว่าตอนเล่นจริงมันจำเป็นมาก เพราะหากเราเลือกใช้กับศัตรูที่แพ้ทางแล้วต่อให้เก่งแค่ไหนก็สามารถเอาชนะได้ง่ายๆ
และด้วยความที่มันเป็นเกมแอ็คชั่น RPG ทำให้ระบบ HP, MP เปลี่ยนไปมีความเป็นเกมแอ็คชั่นมากขึ้นเพราะมันจะค่อยๆฟื้นคืนขึ้นมาช้าๆ และส่วนของ HP จะมีพลัง 2 ระดับที่ผู้เล่นต้องคำนึงเพราะหาก HP ลดไปถึงจุดที่ใช้ยาธรรมดาอย่าง Potion ก็เติมกลับมาไม่เต็มต้องใช้ยาแรงอย่าง Elixir เท่านั้น และทำให้ภาคนี้ถือว่ากลายเป็นเกมที่ต้องใช้ยาเติมพลังกันเป็นหลักตลอดเกม ซึ่งทำให้ยาเทพๆมีราคาถูกและหาง่ายขึ้นมาก
ข้อนี้ต้องชมผู้สร้างเพราะก่อนหน้านี้เองเคยกังวลเกี่ยวกับระบบการต่อสู้และอาวุธ แต่พอได้เล่นรู้สึกประทับใจในความเรียบง่ายแต่หลากหลายที่ไม่น่าเชื่อว่าเกม RPG ที่มีประวัติยาวนานแต่จะมีเกมเพลย์ที่ปรับเข้ากับยุคสมัยได้ดีเยี่ยมขนาดนี้ แต่ใช่ว่าข้อเสียจะไม่มีเพราะความอิสระในครึ่งแรกของเกมจะหายไปเมื่อคุณเดินทางมาถึงช่วงครึ่งหลังของเกม โดยมีบางฉากที่ผู้สร้างพยายามจะใส่อะไรใหม่ๆเข้าไปแต่กลับทำให้เกมน่าเบื่อแทน แต่อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดมันก็กลับมาสู่แนว Open World เหมือนเดิมอยู่ดี
และปิดท้ายด้วยส่วนเสริมที่ทำให้เกมมีอะไรให้ทำก็ยังคงมีมากมายไม่ว่าจะเป็นเควสย่อย เช่นการออกล่ามอนสเตอร์ที่มีมากมายอยู่เต็มโลก หรือพวกมินิเกมอย่างการตกปลา, ทำอาหารที่จำเป็นอย่างมากเพราะการกินจะส่งผลต่อค่าพลังด้วย และมีการปรับแต่งรถที่เป็นยานพาหนะหลักที่นอกจากวิ่งไปบนถนนแล้วมันยังบินได้ด้วย และยังมีเกมตู้ที่ถูกบรรจุมาอยู่ในเกมหลักก็ล้วนสร้างสีสันให้กับการเล่น ทำให้เราสนุกไปกับการท่องโลกกว้างๆที่สวยงาม และไล่ทำเควสย่อย หรือหาดันเจี้ยนลับกันจนคุณอาจลืมเนื้อเรื่องหลักไปได้เลย
โดยรวมแล้ว Final Fantasy XV ถือว่ายังคงความยอดเยี่ยมอยู่ในระดับเกมฟอร์มยักษ์ที่แม้เราจะคาดหวังไว้สูงก็ยังคงสุขสมหวังกับการเล่นได้ (แม้จะแอบผิดหวังเล็กๆ กับเรื่องราวบางส่วนก็ตาม) เทียบได้กับการได้นั่งชมภาพยนตร์ Star Wars: The Force Awakens ที่เป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของซีรีส์เก่าแก่ แม้ว่าจะไม่ได้โดดเด่นหรือคลาสสิกเท่าของเดิมก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นการเปิดตำนานบทใหม่ให้กับเกมที่มีประวัติยาวนานให้อยู่คู่วงการไปอีกนานแสนนาน
ขอบคุณร้านเกม Nadz Project ดิจิตอล เกตเวย์ ชั้น 2