[รีวิวเกม] ‘Princess Peach: Showtime!’ คราวนี้เจ้าหญิงขอลุยเดี่ยว

ปรกติแล้วซีรีส์เกม ‘Super Mario’ ตัวเอกต้องออกไปช่วยเจ้าหญิงพีช จนกลายเป็นภาพจำเกือบทุกภาคจนมีหลายคนเอาไปล้อเลียน แต่ก็มีหลายภาคที่เจ้าหญิงของเราจะไม่ได้โดนจับแต่จะรวมทีมกับลุงหนวดออกต่อสู้กับศัตรู ซึ่งก็มีตั้งแต่ ‘Super Mario 2’ ฉบับอเมริกาแล้ว และเธอยังเคยมีเกมเป็นของตัวเองในชื่อ ‘Super Princess Peach’ วางขายบน NDS ไปเมื่อหลายปีก่อน

ทำให้การมาของ ‘Princess Peach: Showtime!’ ไม่ได้สร้างความแปลกใจนักเพราะภาพลักษณ์ของเจ้าหญิงพีชเป็นสาวแกร่งมานานแล้ว แต่คราวนี้ไม่ธรรมดาเพราะนอกจากจะกลับมาลุยเดี่ยวอีกครั้งยังมาพร้อมกับความสามารถใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนทำให้มันน่าสนใจตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรก โดยเกมจะวางขายบน Nintendo Switch

ส่วนเนื้อเรื่องในเกมจะเริ่มจากเจ้าหญิงพีชของเราไปดูละครเวที แต่แล้วแม่มด Grape ผู้ชั่วร้ายก็มาบุกที่โรงละคร “Sparkle” แล้วได้ทำการเข้ายึดและจับผู้ชมไปรวมทั้งยังขโมยมงกุฎของเจ้าหญิงไปด้วย ทำให้เจ้าหญิงพีชต้องร่วมมือกับ Stella ซึ่งเป็นเทพผู้พิทักษ์โรงละคร เพื่อออกไปต่อสู้กับแม่มดและทวงคืนมงกุฎกลับมาอีกครั้ง

กราฟิกดูดีแต่ยังไม่สุด

เกม ‘Princess Peach: Showtime!’ ผู้สร้างระบุว่าได้ใช้ Unreal Engine 4 ในการสร้างทำให้มีความคาดหวังว่ามันจะออกมาดูดีมาก ยิ่งเกมมาแนวที่ไม่สามารถปรับมุมกล้องได้ยิ่งทำให้การสร้างภาพน่าจะใส่รายละเอียดออกมาได้ดี ยิ่งรุ่นพี่อย่างเกม ‘Luigi’s Mansion 3’ ทำออกมาดีมากยิ่งเพิ่มความคาดหวังให้สูงเข้าไปอีก

แต่พอเปิดเกมมาถือว่าโดยรวมทำออกมาดูดีแบบน่าพอใจ แต่ไม่ได้สุดยอดเท่า ‘Luigi’s Mansion 3’ แต่ก็ดูดีกว่า ‘Yoshi’s Crafted World’ เพราะรายละเอียดของตัวละครทำออกมาดี แต่ฉากดูธรรมดาอาจจะเป็นเพราะผู้สร้างต้องการจำลองฉากให้เหมือนกับว่าเรากำลังชมละครเวทีทำให้ไม่จำเป็นต้องทำให้สมจริง โดยรวมไม่ได้เลวร้ายแต่ก็ไม่ได้โดดเด่นเช่นกัน อย่างไรก็ตามหากผู้สร้างตั้งใจทำก็สามารถทำได้ดีกว่านี้

ส่วนเพลงประกอบถือว่าเป็นข้อดี เพราะผู้สร้างตั้งใจที่จะไม่เดินตามรอย ‘Super Mario’ ทำให้มีการทำเพลงเป็นแนวทางของตัวเอง ซึ่งมีข้อเสียที่ธีมหลักยังไม่ติดหูเท่าซีรีส์ลุงหนวด แต่ก็มีความหลากหลายทดแทน เพราะด้วยฉากในเกม ‘Princess Peach: Showtime!’ มีหลายรูปแบบมากทำให้ต้องมีการแต่งเพลงใหม่ให้เข้ากับด่านซึ่งทำให้ผู้เล่นได้พบกับอะไรใหม่ ๆ ตลอดการเล่น

เกมเพลย์แอ็กชันที่เรียบง่าย

รูปแบบการเล่นในตอนแรกถือว่าทำได้น่าผิดหวังเล็กน้อย เพราะสัมผัสแรกมันคือเกมแอ็กชันที่จำกัดด้านมุมกล้องไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ฉากจะมีทั้งแบบ 3 มิติและ 2 มิติผสมผสานกันเกือบจะเรียกว่าเป็นแบบ 2.5D ก็ได้แต่ก็มีหลายฉากที่เป็น 3D อย่างไรก็ตามมุมกล้องทั้งหมดจะถูกล็อกไม่สามารถปรับได้เอง บวกกับเกมเพลย์ช่วยแรก ๆ ที่เรียบ ๆ เหมือนเป็นการแนะนำการเล่นเสียเยอะทำให้ค่อนข้างน่าเบื่อไปหน่อย

จุดเด่นที่การเปลี่ยนชุด

แต่หลังเล่นไปสักพักมันจะพบว่าเกมสนุกขึ้นเพราะเจ้าหญิงพีชของเราจะสามารถเปลี่ยนชุดและใช้พลังจากชุดได้ ที่เวลาเปลี่ยนร่างมีความคล้ายกับการ์ตูนเซเลอร์มูน และแต่ละชุดจะมีด่านเป็นของตัวเองผู้เล่นไม่สามารถเอาพลังของชุดไปใช้ในฉากอื่นได้ โดยมีทั้ง Swordfighter Peach ที่ใช้ดาบโจมตีทำให้เกมออกมาเป็นแนวแอ็กชัน, Detective Peach นักสืบผู้ค้นหาความจริงทำให้เกมเพลย์มาแนวสำรวจไม่มีแอ็กชัน ต่อเนื่องกับ, Patissiere Peach นักทำขนมเค้กที่เกมเพลย์ของด่านนี้มาแนวมินิเกมทำอาหาร

ตามด้วย Kung Fu Peach กังฟูสาวสุดแกร่งที่มีฉากต่อสู้ที่รวดเร็วเร้าใจที่สุดแล้ว นอกจากนี้ยังมี Ninja Peach นินจาสาวที่รวดเร็วแต่เกมเพลย์มาแนวลอบโจมตีและสำรวจฉาก ส่วน Cowgirl Peach จะใช้เชือกจับศัตรูและมีม้าให้ขี่, Figure Skater Peach นักสเก็ตน้ำแข็งที่เกมเพลย์จะอยู่บนน้ำแข็งและต้องทำลีลาท่าทางตามที่เกมกำหนดคล้ายกับมินิเกมทั่วไป

และยังมี Dashing Thief Peach จอมโจรสาวที่ต้องออกช่วยเหลือคนที่จะมาพร้อมความสามารถในการห้อยโหนด้วยการใช้เชือก ตามด้วย Mermaid Peach เจ้าหญิงเงือกน้อยพีชที่ใช้เสียงเพลงในการสั่งปลาในทะเลเพื่อแก้ปริศนา และ Mighty Peach ที่มาแนวซูเปอร์ฮีโร่ต่อสู้กับเอเลี่ยนบุกโลก นอกจากนี้ยังมีชุดพิเศษที่รอเราปลดล็อกอยู่อีก

โดยรวมแล้วทำให้เกมเพลย์ในแต่ละด่านไม่ซ้ำกันเลย แม้จะมีด่านที่ใช้ชุดซ้ำแต่เกมเพลย์จะปรับหรือเพิ่มเติมเข้าไปเช่นเพิ่มฉากยานยิงแบบ 2D หรือฉากที่ต้องลอบเร้นแบบเกมสายลับ แม้แต่การต่อสู้กับบอสในเกมก็ไม่ได้มาแบบเกมแอ็กชันทั่ว ๆ ไปเพราะมีการเสริมการแก้ปริศนาเข้ามาในหลายส่วนด้วย อย่างไรก็ตามหลายฉากทำออกมาได้เรียบ ๆ เกินไปหน่อย

การกลับมาเป็นตัวเอกอีกครั้งของเจ้าหญิงพีชใน ‘Princess Peach: Showtime!’ ถือว่าทำออกมาได้สนุกพอตัว แต่ไม่ได้โดดเด่นเท่าซีรีส์ ‘Super Mario’ และแม้จะมีชุดมากมายแต่เกมเพลย์กลับทำออกมาได้เรียบและจืดไปหน่อย ยังดีที่ครึ่งหลังของเกมทำออกมาได้ดีมีอะไรให้ปลดล็อกอยู่เพียบ โดยรวมมันคือเกมแอ็กชันที่สนุกตามมาตรฐานของ Nintendo แม้จะไม่ได้โดดเด่นหรือมีอะไรแปลกใหม่มากนัก