หลังจากที่ชาว PlayStation 5 ได้เอนจอยกับภาคต่อน้องเอวลอยสอยหุ่นยนตร์ Horizon Forbidden West ที่เป็น Time Exclusive ตั้งแต่ปี 2023 ล่าสุดนี้ก็ถึงคราวที่ Sony, PlayStation จะพอร์ตตัวเกมมาให้ชาว PC ได้สัมผัสหนึ่งในเกม 1st Party นี้กันบ้าง ! มาดูกันว่าในแง่ประสิทธิภาพการเล่น จะถูก Optimize ออกมาได้ดีขนาดไหน

สเปกที่ใช้ในการเล่น (โน้ตบุ๊ก)

  • CPU: i7-12700H Gen 12th
  • RAM: 16GB DDR4
  • GPU: NVIDIA GeForce RTX 3050 Ti 4GB GDDR6, 60 Watt
  • SSD NVMe M.2 1TB

ก่อนจะเข้าเรื่องประสิทธิภาพ ผู้เขียนขอแวะมาพูดความประทับใจเล็กน้อยเกี่ยวกับเกมโดยตรงก่อนนะ ด้วยความที่ผู้เขียนไม่ได้เล่นภาค 2 ตอนสมัย PlayStation 5 (ใครอยากอ่านรีวิวฉบับเต็มเกมเวอร์ชันเดิมอ่านได้ที่นี่เลยนะจ๊ะ) เลยเพิ่งรู้ว่าในภาคนี้สกิลบางส่วนจากภาคที่แล้วเราสามารถใช้ได้เลย โดยไม่ต้องผ่านการอัปเกรด ! คือแบบ เอ้อ มันต้องแบบนี้สิเกมภาคต่อ ส่วนบรรดา Skill Tree ใหม่ ๆ ก็เป็นท่าที่มีแค่ในภาคนี้ไปเลย กับอีกเรื่องคือการแสดงสีหน้าของต้าวเอวลอย (Aloy) ที่ยักคิ้วหลิ่วตาดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น แสดงอารมณ์ได้หลากหลายมากขึ้น กับเนื้อเรื่องที่พอมันไม่ต้องไปเล่าเท้าความอะไรเพิ่มก็มีความกระชับปะติดปะต่อมากขึ้น

โอเคมาในเรื่องประสิทธิภาพกันเลยละกัน จากสเปกโน้ตบุ๊กที่ผู้เขียนได้แจกแจงไป เมื่อเอาไปเทียบเคียงกับสเปกขั้นต่ำของเกม เป็น CPU: Intel Core i3-8100 or AMD Ryzen 3 1300X, RAM 16GB, GPU: NVIDIA GeForce GTX 1650 4GB หรือ AMD Radeon RX 5500XT 4GB ก็ทำให้จำเป็นต้องปรับกราฟิกอยู่ในพรีเซตระดับกลาง มีเปิดใช้ตัวช่วย Dynamic Resolution Scaling ให้เฟรมเรตคงที่ไว้ที่ 144 (ตาม Hz ที่หน้าจอโน้ตบุ๊กผู้เขียนทำได้สูงสุด) ซึ่งผลที่ได้เมื่อเริ่มเข้าสู่คัตซีนช่วงต้นเกม เฟรมเรตจะวิ่งอยู่ราว ๆ 47 – 56fps ที่ถือว่าค่อนข้างแกว่ง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกับเกมการเล่น

เขยิบมาอีกสักนิดจะเป็นฉากที่เราควบคุมการเล่นได้แล้ว ในจังหวะนี้เฟมเรตจะวิ่งราว ๆ 50 – 60fps อาจจะไปไม่ถึง 60fps ได้บ่อยนัก แต่คิดว่าเป็นเพราะโน้ตบุ๊กของผู้เขียนเองที่แรงไม่พอ ฮ่า ๆ และถึงจะเป็นเฟรมเรตที่ไม่เสถียร แต่บรรดาเอฟเฟกต์ที่พรีเซตกลางทั้งหมดยังคงเปิดให้อยู่นะ พวกแสงแฟร์, คุณภาพวัตถุโปร่งแสง, คุณภาพน้ำ, คุณภาพเมฆ ฯลฯ

ถัดมาเป็นจังหวะการต่อสู้ อันนี้เฟรมเรตที่ทำได้จะราว ๆ 46 – 60fps ขึ้นอยู่กับว่าในตอนนั้นจำนวนศัตรูและฉากที่สามารถ Interactive ผ่านการกระทำของเรามีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งโดยมากเฟรมที่เกิดขึ้นจริง ๆ จะอยู่ที่ 45 – 48fps ถามว่ามีผลต่อเกมการเล่นไหม? ก็ต้องว่ากันตามตรงว่ามี เพราะเกมนี้ศัตรูแต่ละตัวจะมีมูฟเซตที่แตกต่างกัน ทำให้เฟรมที่คลาดเคลื่อนไปหลัก 10 ก็ทำให้จังหวะการต่อสู้เปลี่ยนไปเหมือนกัน วิธีแก้ง่ายที่สุดสำหรับใครที่สเปกคอมฯ หรือโน้ตบุ๊กใกล้เคียงกับแอด คือการปรับกราฟิกให้เป็นต่ำที่สุด คราวนี้ในจังหวะต่อสู้เฟรมก็จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 55 – 60fps แล้วละนะ แต่ทีนี้…ก็น่าจะมีคำถามต่อมากันอีกว่า ภาพต่ำสุดแล้วมันจะสวยเหรอ? เอาเป็นว่าหาคำตอบด้วยตัวเองในย่อหน้าถัดไปเลยละกันครับ

ภาพที่เห็นกันอยู่นี้คือการปรับพรีเซตกราฟิกในระดับต่ำสุดนะครับ ซึ่งในมุมมองผู้เขียนก็ต้องบอกว่ามันยังสวยอยู่นะ แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือแสงเงาทั้งขั้นพื้นฐานและขั้นสูง (คุณภาพแสงเงา, คุณภาพวัตถุโปร่งแสงที่มีผลกับเงา, แสงแฟร์ที่น้อยลง ฯลฯ) ส่วนเฟรมเรตที่เห็นว่าทำได้ในฉากนี้คือ 41fps ซึ่งก็เป็นเพราะนี่คือฉากที่มี Asset เต็มไปหมดถูกแสดงผลในคราวเดียว ถ้าตอนเล่นจริงเฟรมเรตที่ทำได้นี่คือ 55 – 60fps อาจจะไม่ได้ลื่นสายตาแบบพริ้วไหว แต่ก็เป็นจำนวนเฟรมเรตที่มากพอจะให้ความรู้สึกของเรามันสัมผัสได้ถึงความลื่นไหลละนะ

ภาพพรีเซตกราฟิกต่ำสุด
ภาพพรีเซตกราฟิกต่ำ
ภาพพรีเซตกราฟิกกลาง
ภาพพรีเซตกราฟิกสูง
ภาพพรีเซตกราฟิกสูงสุด

โดยรวมก็ถือว่า Horizon Forbidden West Complete Edition ทำการ Optimize มาให้ PC ได้ดีนะ ถ้าใครมีคอมฯ หรือโน้ตบุ๊กที่แรงกว่าผู้เขียนก็น่าจะฟินกับภาพของเกมได้มากกว่าบทความนี้ ฮ่า ๆ เอาเป็นว่าใครที่สนใจก็สามารถไปหาซื้อใน Steam ได้เลย สนนราคาอยู่ที่ 1,690 บาท