Our score
8.3

Senua’s Saga: Hellblade II: เกมที่ขายความอาร์ตของหนัง ตีบวกกราฟิกสมจริง และคอมแบตมัน ๆ

โดยรวมนี่คือแนวเกมที่มีน้อยมากในตลาด เน้นนำเสนอเรื่องที่แปลกใหม่ และการรวมเอาเกมเพลย์ และการถ่ายทอดเนื้อหาแบบหนังโรงดี ๆ มารวมกันเป็นอย่างเดียว ปิดท้ายด้วยกราฟิกสุดสวย และระบบคอมแบตสุดมันส์ มันก็เป็นเกมที่อยากจะแนะนำให้มาลองกันสักครั้งนึงดูครับ

จุดเด่น

จุดสังเกต

  • Gameplay

    7.0

  • Story

    8.0

  • Graphics

    10.0

Senua’s Saga: Hellblade II ภาคต่อโดยตรงจาก Hellblade ภาคแรก พัฒนาโดยทีม Ninja Theory พึ่งวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการไปล่าสุด สำหรับใครที่ไม่รู้จักเกมนี้มาก่อน ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในเกมอินดี้ที่แหวกแนวมาก ทั้งการเล่าเรื่อง ระบบการเล่น และที่สำคัญคือการชูโรงเทคโนโลยีของ Unreal Engine 5 และ Metahuman ทำให้ตัวเกมออกมามีความสมจริง และการแสดงสีหน้าท่าทางก็มีความสมจริงอย่างมาก แต่นอกเหนือจากความเจ๋งของระบบกราฟิกแล้ว การดำเนินเรื่อง รวมไปถึงเนื้อหาก็ถือว่าทำออกมาได้ดี

ส่วนตัวผมเคยเล่นภาคแรกมานานแล้ว ภาคนี้ก็มีเนื้อหาต่อมาโดยตรง (โดยในรีวิวตัวนี้จะไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญเลยนะครับ) โดยตัวเกมยังสั้นพอ ๆ กับภาคแรกคือประมาณ 6-7 ชั่วโมง ซึ่งแอบเสียดายที่หลาย ๆ อย่างในเกมนี้น่าจะต่อยอดเป็นเกมยาวหลัก 10 ชั่วโมง++ ได้ แต่ก็เข้าใจว่าทีมงานน่าจะเอาเวลาไปลงแรงลงทุนคราฟต์แต่ละพาร์ตของเกมให้ออกมาดีที่สุด

สำหรับใครที่ไม่รู้จักทีมงาน Ninja Theory มาก่อน เขาคือทีมที่ทำเกม DMC: Devil May Cry ภาครีบูตนั่นเอง ซึ่งที่น่าทึ่งคือตอนที่ทีมงานพัฒนาเกมภาคแรก ในจำนวนทีมงานทั้งหมดมีไม่กี่คนเท่านั้นเอง ทีมเล็กมาก กับคุณภาพผลงานที่ออกมา

Cinematography But Playable…

ขอเข้าสู่จุดที่ชอบมากที่สุดของเกมนี้กันเลย และเป็นจุดที่จะแนะนำให้คนที่ไม่เคยลองเกมที่ชูความ Cinematic ในการนำเสนอ ที่สามารถ blend เข้าเกมเพลย์ได้แบบสมูทไหลลื่นให้ได้มาลองเกมนี้กันสักที

Senua’s Saga: Hellblade II มีการนำเสนอเกมเพลย์ และเนื้อหาต่าง ๆ เหมือนกับการนั่งดูหนังไม่ผิดเพี้ยน ทั้งการตัดซีนไปมา หรือการเล่า การดำเนินไปในฉากต่าง ๆ ถ่ายทอดออกมาได้เหมือนกับมีผู้กำกับออสการ์การันตีมานั่งกำกับเลยทีเดียว (กำกับโดยคุณ Tameem Antoniades) ที่สำคัญคือมันไม่ได้มีจุดที่ทำให้เรารู้สึกกับเหมือนว่าเรานั่งเล่นเกม หรือนั่งดูหนังไปเลยอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่มันกลับมีจุดตรงกลางให้เรารู้สึกได้ว่ามันเป็นหนังที่เรานั่งดู และนั่งเล่นไปได้ในเวลาเดียวกัน

ตัวเกมยังใช้การถ่ายทอดมุมมองของบุคคลที่มีความ traumatize อยู่เช่นเดียวกับภาคแรก (ภาวะ PTSD ผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือบอบช้ำทางจิตใจมาก ๆ) ซึ่งตัวเกมก็ใช้ตัวเอกอย่าง Senua ในการนำเสนอมุมมองของคนที่มี trauma ตลอดทั้งเกม ความเจ๋งคือตัวเกมใช้ระบบเสียงแว่วในหูทั้งการเล่าเรื่องราว และไกด์ให้เราเดินตามเส้นทางในเกมด้วย ก็คือตลอดเวลาการเดินทาง เราจะมีเสียงของตัวเองในหัวคอยทะเลาะกัน แต่สิ่งที่เสียงในหัวพูด เป็นจุดที่คอยไกด์ให้ทั้งตัวเกมและเนื้อเรื่องดำเนินไปตลอด

สมมติมีฉากเจอซีนที่พบตัวละครที่ไม่เคยเจอมาก่อน ถ้าเป็นเกมอื่น ๆ ก็อาจจะใช้ flashback หรือซ่อนเอกสารไว้ให้อ่านสักที่ หากไม่อยากต้องไปหาทางเล่าใหม่ทั้งซีน ซึ่งเกมนี้ก็ใช้เสียงในหัวนี่แหละ ทะเลาะกันในหัวให้ฟังเลย ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง

หรือสมมติเราแก้ Puzzle ไม่ผ่านสักที เสียงในหัวก็จะคอยไกด์เราครับว่าต้องทำยังไงต่อ ถือว่าเป็นการนำเสนอเนื้อหาที่เจ๋งมาก และ creative เอามาก ๆ

Combat มัน ๆ Puzzle งง ๆ

หากใครเคยเล่นภาคแรกมาแล้วหงุดหงิดกับ Puzzle ที่เยอะมาก จนรู้สึกว่ากลบระบบ Combat สนุก ๆ ของเกมนี้ไปหมด ก็ขอให้ทำใจเพราะว่าภาคนี้ก็ยังไปในทิศทางเดิม แต่อาจจะบาลานซ์ได้ดีขึ้น

ส่วนตัวยังคิดว่า potential ของเกมนี้ยังลากเอาระบบ Combat ออกมาได้มากกว่านี้ ยังสามารถเติมอะไรเข้าไปได้มากกว่านี้ แต่พอจะมองได้ว่าตัวเกมไม่ได้อยากขายความ Combat ของเกมมาก แต่อยากขายความอาร์ตของทั้งเนื้อเรื่อง และการนำเสนอมากกว่า แต่ทีมทำดันทำระบบคอมแบตดีเกินเนี่ยสิ

Senua’s Saga: Hellblade II เป็นเกมที่ส่วนตัวผมชอบระบบคอมแบตมาก ต้องรวดเร็ว แม่นยำ คล้าย ๆ กับ God of War ยุคใหม่ ซึ่งเอาเข้าจริงก็แอบคล้ายทั้งเนื้อเรื่อง และระบบคอมแบตเลย แต่เป็นในเชิงที่เป็นระบบแบบเดียวกัน ไม่ได้ลอกกันมานะ แค่จะพยายามพูดให้เห็นภาพ

ตัวเกมมีทั้งระบบ Parry / Block สกิลพิเศษ (Focus) กับระบบต่อสู้ที่ให้เราผสมระหว่างตีหนัก ตีเบา และกดวิ่งเพื่อโจมตีจากระยะไกล ซึ่งตัวเกมพยายาม keep it simple แบบนี้มาตั้งแต่ภาคแรก แล้วค่อย ๆ ยัดศัตรูโหด ๆ มาเยอะ ๆ ในตอนหลัง หลังจากเราเริ่มชิน timing แล้ว

ส่วนตัวคิดว่าภาคนี้ไม่ได้มีระบบคอมแบตที่ดีไปมากกว่าภาคแรกสักเท่าไหร่ ก็คือยังดีในบรรทัดฐานเดิม แต่ผมอาจจะแค่คาดหวังไปเองว่าระบบคอมแบตจะดีแบบกระโดดไปมากกว่านี้ และที่สำคัญคือศัตรูใหม่ ๆ รวมไปถึงบอสก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่กว่าเดิมเท่าไหร่

ส่วนระบบ Puzzle ใหม่ ถือว่าค่อนข้างเหมือนกับว่าทีมงานมาถึงทางตันแล้ว ระบบ Puzzle ยังใช้เอาของเดิม ๆ มาทำใหม่ซะส่วนใหญ่ เช่นสัญลักษณ์บนประตูที่ต้องเดินหาเหมือนเดิม ซึ่งเกมก็เอาไปซ่อนไว้ในแมปเหมือนเดิม อยู่ที่มุมมองของการเดินหา มันไม่ค่อยมีอะไรใหม่ ๆ ที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับความรู้สึกตอนเล่นภาคแรก มันเลยกลายเป็นจุดที่ว่า ถ้าคุณไม่ชอบระบบ Puzzle เป็นทุนเดิมจากเกมภาคแรกอยู่แล้ว คุณอาจจะเกลียดมันไปเลยในภาคนี้ เพราะสัดส่วนมันก็เยอะพอ ๆ กับภาคแรกเลย

เนื้อเรื่อง ดุ เดือด ดิบ

เนื้อเรื่องของเกมนี้ยังถือว่าเป็นเกมที่มีความเดือดและดิบตลอดทั้งเกม การเดินทางของ Senua นั้นเต็มไปด้วยความโศก และความแค้นเป็นหลักต่อเนื่องจากเนื้อหาในภาคแรก ทั้งยังมีเนื้อหาที่เน้นเลือด และแสดงให้เห็นถึงความ traumatize ของตัวเอกอีก จึงอาจจะเป็นเกมที่ไม่ได้เหมาะสมสำหรับทุกคน แต่ถ้าเป็นอะไรที่คุณลองไหว ก็อยากให้มาลองเล่นดูสักครั้ง

เนื้อเรื่องในภาคนี้ถือว่าสนุกน่าติดตามเหมือนกับภาคแรก ซึ่งมันเป็นจุดขายของเกมนี้อยู่แล้ว ไม่งั้นพาร์ตของการนำเสนอเนื้อหาก็จะน่าเบื่อไปเลย ตัวเกมคอยหาวิธีการเล่าเรื่อง การเล่นกับภาพและซีนใหม่ ๆ มาตลอด พอมันมารวมกับเนื้อเรื่องเดือด ๆ น่าติดตามมันก็ทำให้เราติดเกมนี้ และอยากรีบเล่นให้รู้เนื้อเรื่องต่อไปเรื่อย ๆ จน อ้าว จบแล้วเหรอ

ซึ่งจุดนี้แหละ ก็อาจจะทำให้ใครหลายคนยอมนั่งเล่น Puzzle (ฮา)

กราฟิกล้ำสุดในยุค โมแคปสมจริง การแสดงสีหน้าเหมือนคนจริง + ประสิทธิภาพ

พูดถึงอาหารจานหลักไปหมดแล้ว มาดูเครื่องเคียงที่เด็ดไม่แพ้กัน คือเรื่องของกราฟิก หรือจริง ๆ บางคนอาจจะมองว่าเป็นจุดชูของเกมก็ได้นะ ที่เข็นเอา Unreal Engine 5.4 และระบบ Metahuman มาใส่เอาไว้แบบตึง ๆ มันทำให้ระบบการแสดงกราฟิกทั้งแสง เงา Shading, Ray Trace มันทำได้ดีแบบ ล้ำกว่าเกมในปีเดียวกันไปหลายขุม บางซีนคือได้ Uncanny Vibe ไปเลย นึกว่าดูภาพจริงอยู่

รวมไปถึงของดีอย่าง Metahuman รวมกับพลังการแสดงของ Melina Juergens ที่ทำเอาหลายซีนเหมือนกันที่หลุดคิดไปว่าเหมือนดูหน้าคนจริง ๆ อยู่ ไม่ใช่กราฟิกเรนเดอร์

ส่วนในเรื่องประสิทธิภาพถือว่าทำออกมาได้ดี แต่ถ้าจะปรับสุดอาจจะต้องใช้เซตอัปที่รถถังหน่อย อย่างผมเองใช้ Ryzen 5 5600x + RTX 3070 Ti ปรับสุดกับ 2K Ultrawide ไม่ไหว ต้องยอมลดลงมาเล่นระดับ 1080p Ultrawide แทน ได้เฟรมเรตราว ๆ 50 – 60 fps ก็ถือว่ายอมแลกความละเอียดลงไปหน่อย แต่พอใช้ DLSS (Balanced) + อัด Sharpening เข้าไปก็ได้ฟีลภาพความละเอียดสูงกว่า 1080p อยู่บ้าง

โดยรวมนี่คือแนวเกมที่มีน้อยมากในตลาด เน้นนำเสนอเรื่องที่แปลกใหม่ และการรวมเอาเกมเพลย์ และการถ่ายทอดเนื้อหาแบบหนังโรงดี ๆ มารวมกันเป็นอย่างเดียว ปิดท้ายด้วยกราฟิกสุดสวย และระบบคอมแบตสุดมัน มันก็เป็นเกมที่อยากจะแนะนำให้มาลองกันสักครั้งหนึ่งดูครับ

ตัวเกมลง Steam / Microsoft Store และลง Xbox Series X/S พร้อมทั้ง Xbox PC Game Pass ด้วยนะครับ ก็แนะนำให้ไปชิมภาคแรกกันก่อน แล้วต่อด้วยภาคนี้ ซึ่งสิริรวมสองภาคก็ไม่เกิน 15 ชั่วโมง กำลังดี