Our score
9.0The Legend of Zelda: Echoes of Wisdom
จุดเด่น
- เกมเพลย์แบบ Zelda 2 มิติคลาสสิกเพิ่มความหลากหลายได้ลงตัว
- ลูกเล่นการสร้างสิ่งของที่มีความอิสระในการสร้าง
- กราฟิกน่ารักดูไม่เชย
จุดสังเกต
- เฟรมเรตตกในบางจุด
-
กราฟิก
8.3
-
เกมเพลย์
9.5
-
ภาพรวม
9.0
-
ความคุ้มค่า
9.3
หนึ่งในความเข้าใจผิดของคนทั่วโลกที่ไม่ได้เป็นแฟนตัวจริงของเกม The Legend of Zelda คือชื่อของตัวละครหลักที่เราเล่น ที่ความจริงแล้วคือ Link แค่หลายคนเข้าใจว่าชื่อ Zelda ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไรเพราะหลายเกมของปู่นินเลือกที่จะไม่เอาชื่อตัวละครหลักมาเป็นชื่อเกม เช่น Metroid ก็ไม่ใช่ชื่อตัวเอกในเกม แต่กับการมาของภาคใหม่ในซีรีส์ Zelda นั้นไม่ธรรมดา
เพราะว่า The Legend of Zelda: Echoes of Wisdom เป็นภาคที่เจ้าหญิง Zelda ของเราเป็นตัวเอก แม้อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้ออกบู้เพราะบนภาคที่วางขายบน CD-I เจ้าหญิงของเราก็เป็นตัวเอกแต่มันไม่ได้ถูกสร้างโดย Nintendo และออกมาห่วยมาก ส่วนเวอร์ชันอื่นหรือภาคสปินออฟเจ้าหญิง Zelda ก็เคยร่วมต่อสู้กับ Link มาแล้วแต่เธอจะไม่ใช่ตัวละครหลัก ทำให้การมาครั้งนี้น่าสนใจมากเพราะปู่นินทำเองเลย (เกมวางขายบน Nintendo Switch)
โดยเรื่องราวในเกม Zelda: Echoes of Wisdom จะเริ่มจาก Link ที่ได้เข้าสู่กับ Ganon เพื่อช่วยเจ้าหญิง แต่หลังจากเอาชนะได้ Link ได้ถูกดูดกลืนเข้าไปในโลก Still World และทั่วดินแดน Hyrule ก็เกิดรอยแยกของมิติและทำให้ผู้คนถูกดูดตาม Link ไปด้วย ทำให้คราวนี้ Zelda ต้องรับบทตัวเอกเพื่อช่วยเหลือ Link และกอบกู้อาณาจักร Hyrule และเธอยังได้รับการช่วยเหลือจากนางฟ้าลึกลับนาม Tri ซึ่งมอบไม้เท้า Tri Rod ให้กับ Zelda และร่วมออกผจญภัยไปพร้อมกัน
กราฟิกแบบเดียวกับ Link’s Awakening
ภาพใน Zelda: Echoes of Wisdom ออกมาแนวน่ารักตัวละครมาแบบ SD หัวโตตัวเล็กที่ดูน่ารักมาก แต่รายละเอียดของฉากและตัวละครทำออกมาได้ดีมีการใส่รายละเอียดเข้าไปพอสมควร และยังมาพร้อมความละเอียดระดับ HD ทำให้มันดูไม่เชยเลย และหากคุณเคยเล่นเกมของปู่นินมานานคงจะรู้ว่ากราฟิกมันมาจากภาค The Legend of Zelda: Link’s Awakening Remake ที่วางขายบน Nintendo Switch ไปในปี 2018
โดยรวมแล้วกราฟิกทำออกมาดีดูไม่เชยไม่ได้มาแนวย้อนยุค แม้จะเล่นในยุคนี้ก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นของเก่า แต่มันอาจจะไม่ได้แตกต่างจาก Zelda: Link’s Awakening แต่ที่ทำให้มันดูแย่คือเฟรมเรตในบางฉากดูแย่กว่า Link’s Awakening เสียอีก แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายจนเล่นไม่ได้ เพราะเกมเพลย์ในฉากยังคงเป็น 2 มิติ มันจะเกิดเหตุกระตุกเวลามีสิ่งของและตัวละครในฉากจำนวนมาก
ส่วนเพลงประกอบถือว่าเป็นข้อดีเพราะมีการแต่งเพลงออกมาให้เข้ากับเกมซีรีส์ Zelda มีเพลงธีมที่ดูเข้ากับตัวเอกที่เป็นผู้หญิง มีการลงทุนแต่งเพลงใหม่ไม่ใช้ของเดิม และยังเสริมความลึกลับในฉากดันเจี้ยนโดยรวมสอบผ่านแบบไม่มีอะไรให้ติ และแน่นอนว่ามันไม่มีเสียงพากย์ใส่เข้ามาทำให้ใครอยากให้มันยกระดับแบบภาค Breath of the wild, Tears of the Kingdom ต้องผิดหวังเล็กน้อย
เกมเพลย์สนุกและไม่ใช่ภาคเสริม
เชื่อว่าแฟนเกมที่เห็นตัวอย่างแรกที่เปิดตัวออกมาคงจะคิดว่ามันไม่ได้เป็นภาคหลักที่ปู่นินจะลงทุนอะไรมากนัก จนมีหลายคนดูแคลนว่า Zelda: Echoes of Wisdom มันก็แค่ภาคเสริมฆ่าเวลารอหว่างรอเล่นภาคหลักมาเท่านั้น แต่พอได้สัมผัสแล้วไม่ใช่เลย เพราะมันมีทุกอย่างที่ควรมีในซีรีส์ The Legend of Zelda ใส่เข้ามาครบถ้วนไม่ได้ตัดทิ้ง
โดยอย่างแรกคือเกมเพลย์ที่มาแนวแอ็กชัน 2 มิติมุมมองด้านบน และมีบางฉากเป็น 2D มุมมองด้านข้าง ที่มีความโดดเด่นที่ฉากในเกมที่มีความกว้างมาก และจะแบ่งเป็นส่วน ๆ ตามดินแดนที่มีภูมิประเทศที่แตกต่างกัน และมีการใส่ตัวละครที่แฟน ๆ คุ้นหน้าคุ้นตาเข้ามาครบ เราจะได้เล่นเป็น Zelda ที่จะได้ท่องไปทั่วดินแดน Hyrule และต้องแก้ปริศนาเพื่อปลดล็อกทางเข้าไปในโลก Still World เพื่อหาทางแก้ไขซ่อมรอยแยกเพื่อให้โลกกลับมาเหมือนเดิม
ตรงส่วนนีมีทั้งดันเจี้ยนย่อย และดันเจี้ยนหลักที่เต็มไปด้วยปริศนาให้เราแก้กันจนปวดหัวเหมือนเดิม และมีภารกิจย่อยซ่อนอยู่ในฉากจำนวนมาก ซึ่งหากจะวัดขนาดแผนที่กันจริง ๆ Zelda: Echoes of Wisdom มีฉากที่กว้างใหญ่กว่า Zelda: Link’s Awakening Remake มาก ดังนั้นใครคิดว่ามันเป็นแค่ภาคเสริมก็บอกได้เลยว่าคุณคิดผิด
ลูกเล่นใหม่สร้างสิ่งต่าง ๆ ได้ตามใจและมีอิสระมาก
จุดเด่นและลูกเล่นใหม่ของภาคนี้คือไม้เท้า Tri Rod ที่ Zelda สามารถใช้เพื่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ได้มากมายไล่ตั้งแต่สิ่งของง่าย ๆ เช่นโต๊ะหรือเตียงนอน และยังสามารถสร้างพวกมาช่วยต่อสู้ได้ด้วย โดยเราสามารถเรียนรู้สิ่งของใหม่ ๆ ได้จากการก็อปปี้สิ่งของในฉากรวมทั้งศัตรูที่เมื่อเรากำจัดมันได้ก็จะสามารถก็อปร่างมันมาใช้งานได้
ตรงนี้เองทำให้เกมสนุกและแตกต่างมาก เพราะเจ้าหญิง Zelda ไม่สามารถต่อสู้ได้โดยตรง ทำให้ต้องเรียกพวกมาช่วย และเราต้องเลือกใช้ให้ถูกประเภทเช่น มอนสเตอร์ที่บินได้เพื่อต่อสู้กลางอากาศ หรือเลือกประเภทปลาเพื่อต่อสู้ในน้ำ และยังมีสัตว์ประหลาดที่มีทั้งพลังที่แข็งแกร่งมาก แต่จะเรียกออกมาช่วยได้จำนวนจำกัดกว่า โดยจะมีค่าพลังกำหนดว่าตัวไหนสามารถเรียกออกมาได้กี่ตัว และในส่วนของไอเทมที่เป็นสิ่งของก็จะถูกจำกัดด้วยรูปแบบเดียวกัน นอกจากนี้นางฟ้า Tri ยังสามารถช่วยยกสิ่งของได้ด้วย ส่วนนี้ช่วยในการแก้ปริศนาที่ใส่เข้ามาให้เราแก้กันตลอดเกม
แม้เจ้าหญิง Zelda จะไม่สามารถจับดาบต่อสู้กับศัตรูโดยตรงได้ แต่ในเกมจะเสริมด้วยการ ใช้พลังพิเศษของ Link ทำให้ Zelda แปลงร่างแล้วจะใช้ดาบและธนูแบบ Link ได้แต่จะมีเวลาจำกัดมาก ทำให้ต้องวางแผนกันให้ดี เพราะในการต่อสู้กับศัตรูระดับบอสมันไม่ง่าย เพราะผู้สร้างจัดเต็มเทียบเท่ากับภาคหลัก แต่จะต่างกันตรงที่เจ้าหญิง Zelda ผู้เล่นต้องใช้สมองมากกว่ากำลัง
มีอิสระกว่าเกม Zelda ภาค 2 มิติในอดีต
จุดเด่นสุด ๆ ของภาคนี้คือแม้ว่ามันจะนำเสนอแบบ 2 มิติเหมือนกับ Zelda ภาคคลาสสิก แต่ปริศนาในเกมไม่ได้มาแนวทางเดิมแบบ Zelda ภาคเก่าแบบ 2 มิติมีวิธีแก้ปริศนาจำกัด แต่ในภาคนี้ปริศนาเดียวผู้เล่นสามารถใช้วิธีได้หลากหลายในการผ่านแบบเดียวกับภาค Breath of the Wild ยกตัวอย่างเช่นการปีนขึ้นไปที่สูงที่สามารถเลือกใช้โต๊ะหรือกล่องไม้มาเรียกต่อกัน หรือจะใช้ไอเทมที่สร้างน้ำแล้วว่ายขึ้นไปก็ได้ หรือการนำเตียงนอนมาเรียงต่อกันเป็นสะพาน ซึ่งทำให้เราสามารถคิดได้อย่างอิสระกว่าเดิม
ส่วนเสริมที่ทำให้เกมสนุกคือบางไอเทมมีความพิเศษเฉพาะตัว เช่นเตียงนอนที่สามารถใช้นอนได้จริง ๆ แล้วพลังชีวิตจะเพิ่มขึ้น และยังมาพร้อมกับระบบธาตุเช่นการใช้ไฟเผาฉากที่พบเห็นได้ใน Zelda ภาคหลัง ๆ รวมทั้งระบบการสร้างของกินที่ในภาคนี้จะเปลี่ยนเป็นการผสมน้ำปั่นแบบเดียวกับการทำอาหารของ Link ที่ช่วยเพิ่มค่าพลังในส่วนต่าง ๆ นอกจากพลังชีวิตได้ด้วย
อย่างที่บอกไปว่า The Legend of Zelda: Echoes of Wisdom คือเกมซีรีส์ Zelda อย่างแท้จริงไม่ใช่ภาคที่สร้างมาให้เล่นขำ ๆ ฆ่าเวลา แม้ว่าในส่วนของแอ็กชันจะแตกต่างเพราะเจ้าหญิงของเราไม่สามารถสู้โดยตรงได้แบบเต็ม 100 แต่ก็ทดแทนด้วยลูกเล่นในการสร้างสิ่งต่าง ๆ และอิสระที่เปิดให้ผู้เล่นคิดได้หลากหลาย ทำให้มันเป็นหนึ่งในเกมระดับ AAA บน Nintendo Switch ที่ไม่อยากให้พลาดไป