รีวิว Astro Bot เมื่อ PlayStation สร้างคู่แข่งมาริโอที่สนุกมาก!
Our score
9.1

Astro Bot

เกม 3D Platformer บน PlayStation ที่เจ๋งที่สุด

Astro Bot รวมความเจ๋งทั้งการออกแบบฉากที่ละเอียด ภาพที่สวยงาม ดนตรีที่ติดหู ร่วมกับประวัติศาสตร์ 30 ปีของ PlayStation อย่างสนุก แฟนเกมหน้าใหม่และหน้าเก่าไม่ควรพลาด

จุดเด่น

  1. รูปแบบการเล่นเกมแนว 3D Platformer ที่ขัดเกลามาอย่างดี มีทั้งด่านง่ายชวนผ่อนคลาย และด่านโคตรยากระดับหัวร้อน
  2. การสู้กับบอสที่ยิ่งใหญ่ อลังการ มีการโจมตีหลากหลาย มีหลายเวฟ
  3. VIP Bot จากเกมต่าง ๆ เป็นร้อยตัว ที่ชวนคิดถึงสำหรับเกมเมอร์รุ่นเก๋า
  4. การสำรวจบนดาวจุดเครื่องตกแบบ Open World เล็ก ๆ และการสำรวจอวกาศหาด่านลับที่สนุก
  5. มีไอเท็มให้ซื้อเพิ่มจากเหรียญทองในเกมเพียบ เล่นจบก็ยังตามเก็บของกันสนุก
  6. ดนตรีทำได้ติดหู กราฟิกทำได้ชัดเจน สะอาดตา ออกแบบตัวละครหุ่นยนต์ได้น่ารัก มีรายละเอียด

จุดสังเกต

  1. ด้วยความที่เป็นเกม 3D Platformer บางทีก็ดูตำแหน่งตกของแอสโตรยาก จนบางด่านก็หัวร้อนเพราะตกเหวตายบ่อย ๆ
  • กราฟิก

    8.5

  • ดนตรี

    9.5

  • เกมเพลย์

    9.5

  • ความคุ้มค่า

    9.0

ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้แม้ Sony PlayStation จะเป็นแบรนด์เกมที่แข็งแรงมาก อยู่ในตลาดมา 30 ปีแล้ว มีตัวละครจากเกมมากมายที่หลายคนจำได้ แต่ก็ยังขาดตัวละครที่เป็นมิตรกับทุกเพศทุกวัย และเกมลักษณะมาริโอของนินเทนโดที่แข็งแรงอยู่ดี (ก่อนหน้านี้มี Ratchet & Clank กับ Crash Bandicoot ที่เกือบไปถึงระดับนั้น แต่ไม่ได้ออกต่อเนื่องและรู้จักวงกว้างมากนัก) จนตอนนี้เราคิดว่ามี Astro Bot นี่แหละที่เป็นคู่แข่งกับมาริโออย่างสมศักดิ์ศรี

ทำไม Astro Bot ถึงดังขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว สาเหตุหลักคือ Astro’s Playroom ภาคก่อนหน้านี้เป็นเกมแถมของ PlayStation 5 เพราะฉะนั้นทุกคนที่ซื้อเครื่อง จะต้องเคยเล่นเกมนี้ ผู้เล่น PS5 ทุกคนจึงรู้จักตัวละครนี้ แล้วเกมนี้ก็ทำออกมาได้ดีมากด้วย ผสมองค์ประกอบของเกม 3D Platformer เข้ากับความคิดสร้างสรรค์ และมรดกของ PlayStation ได้อย่างลงตัว ซึ่งสิ่งดีงามของ Astro’s Playroom ก็ได้รับการสานต่อให้ดีขึ้นอีกใน Astro Bot จากเกมแจกฟรีกลายเป็นเกมขายจริง ผู้พัฒนาจึงใส่ความสนุกได้จัดเต็มกว่าเดิม

รูปแบบการเล่น Astro Bot

ถ้าใครเคยเล่น Astro’s Playroom มาก่อน Astro Bot คือเล่นเหมือนกันเลยครับ คือเราต้องบังคับน้อนแอสโตรลุยด่านแบบเกม 3D Platformer ที่ใช้ก้านโยกซ้ายวิ่งไปได้รอบ ส่วนก้านโยกขวาใช้หมุนเปลี่ยนมุมกล้อง สามารถกระโดดแล้วกดค้างเพื่อปล่อยเลเซอร์ออกจากเท้าเพื่อให้ตกช้าลง และเลเซอร์ที่ปล่อยออกมายังทำลายศัตรูด้านล่างได้ด้วย ส่วนการโจมตีหลักของ Astro คือวิ่งเข้าไปต่อย และสามารถกดชาร์จเพื่อปล่อยท่าต่อยหมุนตัวเป็นพายุได้

จรวดรูปไก่

ความสนุกของ Astro Bot ที่พัฒนาจากภาคก่อนหน้านี้คือชิ้นส่วนเสริมพลังของน้อนแอสโตร ที่ทำให้รูปแบบเกมในแต่ละฉากสามารถต่างกันได้มากมาย แต่ละฉากไม่ได้แค่เดิน ๆ กระโดด ๆ เหมือนกันไปหมด จากภาคเดิมที่มีพลังเสริมอยู่ไม่กี่แบบ แต่ภาคนี้มีชิ้นส่วนเสริมพลังเพียบ คือ

  • บอลลูนปลาหมึก ทำให้ลอยกลางอากาศได้พักหนึ่ง
  • หมัดกบยางยืดดด เหมือนพลังของลูฟี่ครับ น้อนแอสโตรจะต่อยไกลได้
  • จรวดรูปหมาบูลด็อก ใช้พุ่งชนกลางอากาศได้
  • ลิงนักปีน ทำให้มีแขนเกาะแล้วปีนได้
  • หนูย่อส่วน เหมือนไฟฉายตัวจิ๋วของโดเรมอน ทำให้ย่อขนาดตัวได้
  • ช้างดูดน้ำ ใช้ดูดน้ำมาทำลูกเล่นสารพัดในฉาก
  • แว่น Slo-mo ใช้แล้วฉากจะวิ่งช้าลง
  • ฟองน้ำแอสโตร ซับน้ำแล้วเดินไปบีบน้ำใส่จุดอื่น
  • จรวดรูปไก่ ใช้บินขึ้นตรงๆ
  • เพนกวิน ทำให้ว่ายน้ำได้เร็วขึ้น

ศัตรูในเกมนี้ก็แตกต่างกันเยอะมาก ตั้งแต่ศัตรูเบสิกที่ต่อยเอาก็จบ ศัตรูตัวหนามที่ควรใช้เลเซอร์ที่ขาจัดการดีกว่า ศัตรูตัวน็อตที่ต้องใช้ท่าต่อยหมุนตัวจนน็อตหลุด หรือศัตรูที่เป็นลูกไฟ ต้องบีบน้ำใส่ให้ดับ

และสิ่งที่ทำให้เกมแนว Platformer สนุกคือบอสที่อลังการ เกมนี้บอสตัวใหญ่มากครับ ใหญ่เกินฉาก แน่นอนว่าเราต้องสังเกตการต่อสู้เพื่อหาจุดอ่อน เช่นบอสปลาหมึก มีการเอาหนวดมากัน เราก็เอาหมัดกบยางยืดยิงไปที่หนวด 2 ข้าง แล้วดีดตัวเอาหัวพุ่งชน (เอ๊ะ ทำไมเหมือนลูฟี่) หรือลิงกอริล่าที่มีการเอาซากตึกมากวาดเรา ก็ต้องวิ่งไปตรงกระจกของตึกให้ทันแล้วใช้จรวดหมาบลูด็อกพุ่งทะลุไป

ด่านที่โคตรยาก โคตรอันตราย

ซึ่งด่านแรก ๆ ของเกมนั้นจะง่ายจนคิดว่าเป็นเกมสำหรับเด็ก แต่พอถึงสักแดนที่ 3 กว่าจะผ่านแต่ละฉากใช้เวลานานอยู่ครับ มันยากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วยิ่งด่านพิเศษสั้น ๆ อันนี้ต้องเล่นกันหลายสิบรอบกว่าจะผ่าน เพราะต้องอาศัยจังหวะการเล่นที่แม่นยำทุกจุด (เหมือนเล่นมาริโอด่านยากพิเศษ) และน้อนแอสโตรคือโดนศัตรูโจมตีครั้งเดียวก็ตายแล้วครับ เล่นใหม่วนเวียนกันไปอย่างนั้น

ฉากท่องอวกาศ

นอกจากนี้ฉากการท่องอวกาศยังสนุก เพราะมีความลับให้บินตามหาฉากลับที่ซ่อนอยู่ และยังมีด่านลับที่จะเจอจากการเก็บประตูวาร์ปในฉากเพื่อบินไปในกาแลคซี่ที่สาบสูญได้

เพียงแต่ว่าปัญหาของเกมแนว 3D Platformer ซึ่ง Astro Bot ก็เป็นคือ บางทีก็มองฉากยากครับ ว่าเราจะตกไปตรงไหนของฉากกันแน่ เพราะเราไม่ได้เห็นภาพเป็น 3 มิติ เห็นความลึกของฉากได้เหมือนใช้ตา 2 ข้างมองจริง ๆ โดยเฉพาะฉากพิเศษแสนท้าทายที่เรามีเวลาเลือกจุดที่จะกระโดดลงไปเพียงเสี้ยววินาที ก็ต้องอาศัยความเคยชินไปสักพักครับ ซึ่งก่อนจะเคยชิน ก็ต้องหัวร้อนก่อน

ใช้ลูกเล่นจอยจัดเต็ม

แปลงร่างเป็นฟองน้ำ ซับน้ำไปใช้

เอกลักษณ์ที่สานต่อมาจากภาคที่แล้วที่ Astro’s Playroom เหมือนเป็น Tech Demo โชว์ศักยภาพจอย DualSense ของ PS5 ภาคนี้ก็จัดเต็มยิ่งกว่าเดิม เท่าที่เราเล่นเกมบน PlayStation 5 มา Astro Bot เป็นเกมที่ใช้ลูกเล่นจอยเยอะที่สุด และใช้ตลอดเวลาที่เล่นเกม ตั้งแต่เดินธรรมดาก็มีการสั่นเบา ๆ ตามจังหวะก้าวเดินตลอด เวลาเดินผ่านหญ้าหรือสิ่งต่าง ๆ จอยก็จะสั่นให้รู้สึกเหมือนกำลังเดินผ่านอยู่จริง ๆ แถมยังมีพัซเซิลในเกมที่ผู้เล่นต้องจับการสั่นที่แปลกกว่าการสั่นปกติเพียงน้อยนิด เพื่อหาว่ากำแพงจุดไหนที่สามารถกดเข้าไปได้ นอกจากนี้ยังใช้ลำโพงในจอยเยอะมาก เสียงยิงปืน เสียงยิงหมัดกบ สารพัดเสียงที่ออกจากจอย ให้ความรู้สึกใกล้ชิดมากกว่าเสียงปกติที่ออกจากลำโพงทีวี

การเล่น Astro Bot ให้สนุกที่สุดคือการเล่นหน้าจอทีวีหรือมอนิเตอร์แล้วใช้จอย DualSense เล่น ถ้าเล่นผ่าน Remote Play แล้วใช้จอยที่ฟังก์ชันไม่ครบเล่น ความสนุกจะลดลงไปเยอะ

นอกจากนี้การบังคับยาน Dual Speeder (ยานรูปจอย DualSense ของน้อนแอสโตร) ยังใช้ Gyro ของจอยที่เอียงจอยไปมาเพื่อเลี้ยวซ้าย-ขวา และฟังก์ชัน Adaptive Triggers ที่ปุ่ม L2, R2 ก็ใช้คุ้มค่าในเกมนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเร่งความเร็วยาน การใช้พลังเสริมที่ต้องกด L2-R2 มันจะมีแรงต้านที่ปุ่มอยู่เสมอ ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในโลกของแอสโตรอยู่จริง ๆ สุดท้ายคือไมค์ที่จอยครับ ก็ยังใช้ได้พวกเป่าลมต่าง ๆ สรุปแล้วฟังก์ชัน DualSense มีกี่อย่าง เกมนี้ดึงมาเกือบหมด!

มรดก 30 ปีของ PlayStation ใน Astro Bot

แม้ว่า Astro Bot จะไม่ได้เล่นเพื่อเก็บชิ้นส่วนอุปกรณ์เสริมเครื่อง PlayStation เหมือน Astro’s Playroom แล้ว (เพราะถ้าต้องการเก็บอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ก็กลับไปเล่นภาคเดิมได้เสมอ มีอัปเดตเรื่อย ๆ เติมอุปกรณ์ใหม่ด้วย) แต่ Astro Bot ทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันคือการตามหาบอตเพื่อนของน้อนแอสโตรให้ครบ ซึ่งมีบอตพิเศษหรือ VIP Bot เป็นร้อย ๆ ตัวที่คอสเพลย์เป็นตัวละครต่าง ๆ จากเกมที่ลงบนเครื่อง PlayStation ซึ่งเมื่อเจอบอตเหล่านี้เกมก็จะไม่บอกตรง ๆ ด้วยว่าเป็นตัวละครไหนจากเกมอะไร แต่จะให้เป็นคำใบ้ไว้ เช่นนิสัย ภารกิจ หรือสิ่งที่ตัวละครนั้นทำในเกม ซึ่งถ้าใครเคยเล่นเกมนั้นมาก็จะรู้ทันทีว่าคือตัวอะไร (ส่วนใครไม่เคยเล่นก็จะงงไปว่านี่ใครฟระ)

ซึ่งการตามหาบอตให้ครบในแต่ละฉากก็เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง เพราะผู้เล่นจะต้องหมุนกล้องสำรวจทุกซอกมุมของฉากว่ามีจุดแปลก ๆ ที่ปีนขึ้นไป หรือกระโดดลงไปได้ไหม บางทีอาจต้องกวาดพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้เพื่อหาจุดที่สามารถหมุนตัวควงสว่านเจาะลงไปได้ โชคดีที่เกมจะบอกตลอดว่าเราพลาดเจอบอตตัวไหน ทำให้เรายังย้อนกลับไปตามหาได้เวลาพลาดตัวไหนไป แล้วถ้าเล่นจนจบฉากแล้วยังหาบอตหรือชิ้นส่วนจิกซอว์ไม่ครบ ก็สามารถกลับมาเล่นใหม่ได้เสมอ ซึ่งรอบนี้จะสามารถใช้ตัวช่วยเป็นนกที่คอยแจ้งตำแหน่งของที่พลาดไปในฉากได้ เพียงแค่เสียเงิน 200 เหรียญทองเท่านั้น

เหรียญทองที่เก็บในเกมไม่เคยพอ เพราะเอามาหมุนตู้กาชา หาไอเท็มให้ VIP Bot กันสนุกสนาน

หมุนตู้กาชา

ความสนุกของ VIP Bot พวกนี้ยังไม่จบ เมื่อเราช่วยพวกเขาได้แล้ว บอตทั้งหมดจะไปรวมกันที่ดาวที่เป็นจุดที่เครื่อง PlayStation 5 ในเกมตก เพื่อทำภารกิจต่อ เมื่อสะสมชิ้นส่วนจิกซอว์มากพอจะเป็นใช้ตู้กาชาปองได้ เราจะสามารถใช้เงิน 100 เหรียญทองเพื่อหมุนตู้กาชา เพื่อหาไอเท็มประกอบสารพัด VIP Bot ได้ เช่นค้อนจาก God of War หรือหุ่นยนต์เพื่อนน้องแมวใน Stray ทำให้บอตพิเศษที่รวมตัวอยู่ในดาวจุดเครื่องตก มีเรื่องราวมากขึ้น เช่นบอตของ Claire Redfield จาก Resident Evil จะมีไอเท็มประกอบฉากเป็นประตูในเกม ซึ่งเราสามารถไปต่อยที่ตัวบอตให้แสดงแอคชันซีนนั้น ๆ ได้ด้วย ซึ่ง VIP Bot เหล่านี้จะมีอัปเดตเพิ่มขึ้นอีกด้วย อย่างล่าสุดจะเพิ่มบอต Eve จากเกม Stellar Blade

ลีออนและแคลร์
ตัวละครจาก God of War

แล้วสำหรับ VIP Bot บางตัว เราจะได้เล่นฉากพิเศษที่เป็นตัวนั้นด้วย เช่นบอตของ Nathan Drake จาก Uncharted จะมีฉากพิเศษที่จะได้เล่นเป็น Drake ยิงปืนกันสนุกสนานในฉากนี้

แล้วที่ดาวจุดเครื่องตกยังมีกิจกรรมให้ทำอีกเพียบ คือเมื่อรวบรวมบอตได้ถึงจำนวนแล้ว สามารถเรียกรวมพลเพื่อให้ผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ได้ เช่นบอต 100 ตัว ต่อตัวกันเพื่อเป็นสะพานให้เราข้ามไปเก็บไอเท็ม หรือตามหาบอตที่อยู่ในดาวได้เพิ่มเติมอีก หรือถ้าเก็บชิ้นส่วนจิกซอว์ได้เพิ่ม ก็จะสร้างห้องเปลี่ยนชุดน้อนแอสโตร หรือห้องเปลี่ยนสียาน Dual Speeder ก็ได้ ซึ่งดาวจุดเครื่องตกนี้เหมือนเป็นฉาก Open World ย่อม ๆ ให้ได้สำรวจกัน

ตัวละครมากมายเป็นมรดก 30 ปีของ PlayStation ที่อัดแน่นในเกมนี้ ทำให้เกมเมอร์รุ่นเก่าสนุกกับการย้อนอดีต คิดถึงเกมที่เคยเล่นเมื่อก่อน ส่วนเกมเมอร์รุ่นใหม่แม้อาจไม่รู้จักตัวละครเหล่านี้ แต่ก็ยังสนุกกับเกมเพลย์ของ Astro Bot ได้อยู่ดี

กราฟิกจัดเต็ม

หน้ากาก Slow-motion

แม้ว่าทั้ง Astro’s Playroom และ Astro Bot จะเป็นเกมสำหรับ PlayStation 5 เหมือนกัน แต่ Astro Bot มีรายละเอียดภาพที่ดีกว่าอย่างชัดเจนครับ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นกราฟิกแนวสมจริงเหมือนเกมอย่าง Horizon Zero Dawn แต่ก็เป็นกราฟิกเหมือนการ์ตูน 3 มิติที่เต็มไปด้วยดีเทล ฉากหลากหลายทั้งท้องทะเล ทะเลทราย ป่า โลกหิมะ โลกจิ๋ว ตึกรามบ้านช่อง ดวงดาว แถมตัวละครประกอบฉากพวกสัตว์หุ่นยนต์ต่าง ๆ ก็ออกแบบน่าสนใจ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ซึ่งเราเล่นเกมนี้บน PlayStation 5 รุ่นอ้วน ผ่านทีวี 4K HDR ก็เห็นรายละเอียดภาพที่ชัดเจน แสดงขอบเขตสีสันได้กว้างขวาง รู้สึกว่าเป็นภาพแบบ HDR ชัดเจน ให้เฟรมเรตนิ่ง ๆ ไม่รู้สึกว่าเกมสะดุดอะไรเวลาที่ต้องเคลื่อนไหวฉากเร็ว ๆ

ดนตรีที่ติดหู

ต้นไม้ร้องเพลงเพราะ ๆ

หนึ่งในจุดสังเกตของเกมยุคใหม่คือไม่ค่อยมีเพลงที่ติดหูเท่าเกมสมัยก่อน เพราะดนตรีสมัยใหม่มักเรียบเรียงเสียงให้มีความซับซ้อนเกินไป จนโมโลดี้ติดหูยากขึ้น แต่สำหรับเกม Astro Bot เพลงนั้นติดหูง่ายเลยครับ ตั้งแต่เพลงแรกในหน้าไตเติ้ลที่ร้องว่า Astro Bot~~~ หรือเพลงในฉากต่าง ๆ โดยเฉพาะฉากที่มีเห็ดเต้น เมโลดี้น่าจดจำมาก หรือฉากต้นไม้ใหญ่ร้องเพลงก็เป็นการจัดเต็มการร้องเพลงอีกครั้งในเกม โดยรวมแล้วเป็นดนตรีที่ทำให้อารมณ์ดี ยิ่งถ้าเอาไปรวมกับท่าเต้นกวน ๆ ของเหล่าบอตเวลาอยู่รวมกันแล้วยิ่งเฮฮาเข้าไปใหญ่

Astro Bot คู่แข่งมาริโอที่ร่วมกันดันวงการ

ฉากใต้น้ำที่รายละเอียดเพียบ

Astro Bot เป็นเกมที่คนชอบเกมแนว 3D Platformer ต้องชอบแน่ ๆ ตอบโจทย์ทั้งคนอยากได้เกมเล่นง่าย เพลิน ๆ ไปจนถึงคนที่ต้องการความท้าทาย เพราะด่านที่ยากคือยากแบบหัวร้อนจริง จังหวะเล่นต้องแม่นยำที่สุด นอกจากนี้ยังเล่นสนุกทั้งเกมเมอร์หน้าใหม่กับระบบเกมที่สนุก และเกมเมอร์รุ่นเก๋าที่เห็นตัวละครต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ PlayStation ออกมาโลดแล่นอีกครั้ง ซึ่งนี่เป็นสิ่ง Team ASOBI ผู้สร้างเกมชุดสุดท้ายของ Japan Studio ทำได้ดีมากในการรักษารายละเอียดต่าง ๆ และขัดเกลารูปแบบการเล่นจนสมบูรณ์ครับ

สนใจแล้วก็ซื้อได้เลย บน PlayStation 5 เท่านั้น ราคาเปิดตัว 1,990 บาท ซึ่งคงไม่ลง PC มั้งครับ เพราะมันต้องใช้ความสามารถของ DualSense เยอะมากจริง ๆ