Our score
8.0PlayStation Portal
เครื่องสตรีมเกมพกพา ที่ยังมีช่องว่างให้ปรับปรุง
PS Portal ไม่ใช่เครื่องเล่นเกมพกพาเต็มตัว แต่ผู้ใช้ต้องมี PlayStation 5 และอินเทอร์เน็ตด้วยถึงจะใช้งานได้ ซึ่งประสบการณ์การเล่นเกมบน Portal นั้นใกล้เคียงกับการเล่นตรง ๆ กับเครื่อง PS5 ที่สุดแล้ว
จุดเด่น
- เอาความสามารถของจอย DualSense มาเล่นพกพาได้ ให้สัมผัสในการเล่นใกล้เคียงกับการถือจอยเล่น PlayStation 5 หน้าทีวี
- หน้าจอใหญ่ สีสันสดใส สัดส่วนภาพ 16:9 ถูกต้อง
- น้ำหนักแค่ 530 กรัม ถือว่าเบาสำหรับเครื่องเล่นเกมพกพาที่ใหญ่ประมาณนี้
- มีช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5 mm ที่รองรับหูฟังมีไมค์ด้วย
- เล่นเกมต่อเนื่องได้นานพอสำหรับเกมเมอร์ทั่วไป
จุดสังเกต
- จำเป็นต้องเชื่อมต่อ PlayStation 5 เสมอ ถ้าต่อเน็ตไม่ได้ ก็ทำอะไรไม่ได้เลย
- ไม่รองรับภาพแบบ HDR และไม่สามารถปรับโดยตรงผ่าน Portal ได้
- หน้าจอเป็นแบบ LCD ที่สีดำไม่ได้ดำลงลึก
- ไม่สามารถต่อหูฟัง Bluetooth, หูฟังแบบ USB-C และหูฟัง Pulse 3D ได้
- ลำโพงเป็นแบบยิงขึ้นด้านบน ไม่ได้หันหน้าเข้าหาผู้ใช้
-
ดีไซน์
8.5
-
คุณภาพหน้าจอ
7.5
-
คุณภาพลำโพง
7.0
-
ประสบการณ์การเล่นเกม
8.0
-
ความคุ้มค่า
9.0
PlayStation Portal นั้นเป็นอุปกรณ์เสริมของ Sony PlayStation 5 ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงนะครับ แม้ว่าจะออกมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2023 แต่ผ่านมาเกือบปีก็ยังหาซื้อได้ยากเย็น จนโซนี่ไทยได้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 ตุลาคม 2024 ที่ผ่านมา เราจึงได้มีโอกาสรีวิว PS Portal เครื่องจริงที่ขายในไทยครับ ซึ่งก็เป็นอุปกรณ์เสริมที่ดีของ PlayStation 5 แต่โซนี่ยังสามารถทำให้มันดีได้มากกว่านี้นะ
เข้าใจตรงกันนะ Portal ใช้สตรีมเกมมาเล่นเท่านั้น
สิ่งหนึ่งที่คนไม่ได้ตามข่าวสารในวงการเกมอาจเข้าใจผิดคือ PlayStation Portal นั้นไม่ใช่เครื่องเกมพกพาแบบ Standalone ที่จะสามารถเล่นเกมได้ในตัวนะครับ
ถ้าคุณไม่มีเครื่อง PlayStation 5 หรือไม่ได้ต่ออินเทอร์เน็ต เจ้า Portal จะทำอะไรไม่ได้เลย เป็นแค่ที่ทับกระดาษเฉย ๆ
และแม้คุณต่ออินเทอร์เน็ตได้ แต่เชื่อมต่อ PlayStation 5 ของคุณไม่ได้ มันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ไม่สามารถลงแอปฯ YouTube, Netflix หรือเปิดเว็บเพื่อดูอะไรได้ เพราะหน้าที่ของมันมีเพียงอย่างเดียวคือ สตรีมเกมจากเครื่อง PS5 ของคุณผ่านเครือข่ายมาเล่นนอกสถานที่ หรือเวลาทีวีโดนยึดไป ก็ยังสามารถเอาเกมของคุณมาเล่นที่ไหนในบ้านก็ได้ ใครอยากเล่นเกม PS5 บนที่นอน PS Portal คือคำตอบครับ
สิ่งดีงามของ PS Portal คือ DualSense พร้อมจอ
จุดเด่นของ PlayStation 5 คือจอย DualSense ที่เสริมสัมผัสในการเล่นเกมได้ดีมาก ทั้งการสั่นที่คมและละเอียดจนสามารถใช้สร้างเป็นปริศนาที่ให้ผู้เล่นจับการสั่นของจอยที่เปลี่ยนไปได้ รวมถึง Adaptive Triggers ที่ปุ่ม L2, R2 มีแรงต้านการกด เพื่อให้เวลายิงปืน หรือกดใช้งานต่าง ๆ ในเกม มีแรงต้านที่นิ้วจำลองการกระทำนั้นจริง ๆ ซึ่งพอ PS Portal ถอดความสามารถของ DualSense ออกมาทั้งหมดเลย มันเลยดีงามมาก ทั้งไฟสี ๆ ที่จอย ซิงก์กับการเล่นเกม, แตะหน้าจอแทน Touchpad ที่จอยก็ได้ แถมเอียงเครื่องไปมาได้ด้วย Gyro มันจึงสามารถเล่นเกม PlayStation 5 ได้ด้วยความรู้สึกเหมือนจับจอย DualSense เล่นอยู่หน้าเครื่องจริง ๆ
แม้เราจะใช้มือถือ หรือเครื่องเล่นเกมพกพาอื่น ๆ ลงแอปฯ เพื่อเล่น Remote Play ของ PS5 ได้ แต่ไม่มีอุปกรณ์ไหนที่เล่นแล้วให้ความรู้สึกที่มือเหมือนเล่นบนเครื่อง PS5 จริง ๆ เท่าการเล่นผ่าน PS Portal
แม้ว่า PS Portal จะเป็นอุปกรณ์ที่ใกล้เคียงจอย DualSense มากที่สุดแล้ว แต่ก็ยังมีความแตกต่างอยู่บ้างคือ
- การสั่นยังไม่ละเอียดสุดเท่าจอยตัวจริง เพราะเครื่อง Portal หนักกว่าจอย ทำให้สั่นยากกว่า การสั่นเล็ก ๆ จึงไม่ค่อยรู้สึก
- ไม่รู้สึกถึงเสียงที่ออกจากลำโพงของจอย DualSense เพราะใน PS Portal มีลำโพงชุดเดียว ไม่ได้มีลำโพงแยกสำหรับเสียงที่จอย
- ก้านโยกของจอยสูงและแป้นโยกเล็กกว่าจอย DualSense ตัวจริง ส่วนตัวผู้เขียนไม่มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้ แต่บางคนที่สัมผัสไว ก็ต้องปรับตัวบ้าง
- การจับจอยในรูปแบบจอย DualSense แต่เวลาจับระยะห่างจากมือซ้ายและมือขวาจะกว้างกว่าถือจอยปกติ สำหรับบางคนอาจจะเมื่อยเร็ว
หน้าจอของ PS Portal เรื่องนี้เราต้องคุยกัน
ตัวหน้าจอของเครื่องนั้นมีขนาด 8 นิ้ว สัดส่วนภาพ 16:9 ให้ความละเอียด 1080p รองรับเฟรมเรต 60 Hz ซึ่งก็เป็นตัวเลขสเปกในฝันที่น่าจะให้ประสบการณ์เล่นเกม PS5 ได้ดีที่สุด แต่จากที่เราได้ทดสอบมา หน้าจอนี้ก็มีทั้งจุดที่ทำได้ดีและจุดที่ต้องปรับปรุงครับ
จุดที่ทำได้ดีของหน้าจอ PS Portal คือมันเป็นจอบนเครื่องพกพาที่ถือว่าใหญ่มากเมื่อเทียบกับน้ำหนักเครื่องแค่ 530 กรัม ทำให้แม้เล่นเกม PlayStation ที่ออกแบบมาสำหรับเล่นบนทีวีขนาดใหญ่ ก็ไม่ค่อยเจอปัญหาตัวอักษรหรือ UI ของเกมเล็กจนเล่นไม่ได้ นอกจากนี้จอยังให้ภาพที่ละเอียด ลื่นไหล สีสันสดใส หน้าจอสู้แสงพอที่จะเล่นในห้องที่สว่างได้ไม่มีปัญหา (แต่ไม่มีปรับความสว่างอัตโนมัตินะ ต้องปรับเอง) และให้สัดส่วนถูกต้องสำหรับการเล่นเกม PS5 ภาพเกมที่เล่นบนเครื่องนี้จะไม่มีขอบดำในด้านไหนเลย
ถ้าใครรู้สึกว่า PS Portal แสดงภาพขาววอกไป ลองปิดการแสดงผล HDR จากเครื่อง PS5 ดูก่อน
แต่จุดที่ต้องปรับปรุงคือการรองรับ HDR (High Dynamic Range) ที่หน้าจอของ Portal นั้นไม่รองรับขอบเขตสีและแสงแบบ HDR ซึ่งจะมีปัญหากับคนที่เล่น PlayStation 5 บนทีวีที่รองรับ HDR ที่ปกติเราก็จะตั้งค่าเครื่องให้แสดงภาพแบบ HDR เพื่อให้แสงสีบนทีวีนั้นสวยที่สุด แต่เวลาส่งภาพมาเล่นบน Portal จะเจอปัญหาภาพสว่างกว่าความเป็นจริง และรายละเอียดภาพในส่วนสว่างหายไป (Washed Out) ทำให้เมื่อผู้เล่นต้องการเล่นผ่าน Portal ก็ต้องไปปิดตัวเลือก HDR ใน PS5 ให้สัญญาณภาพกลายเป็น SDR (Standard Dynamic Range) ก่อนที่จะใช้งานบน Portal ถึงจะเล่นได้โดยไม่มีปัญหารายละเอียดของภาพหายครับ
ที่จริงประเด็นนี้จะไม่มีปัญหาเลยถ้าซอฟต์แวร์ของ PlayStation 5 สามารถตรวจได้ว่านี่คือการเชื่อมต่อจาก Portal และปรับสัญญาณภาพที่สตรีมไปให้กลายเป็น SDR อัตโนมัติ แต่ในเฟิร์มแวร์ล่าสุดที่เราทดสอบคือ 3.0.1 บน Portal และ 24.06 บนเครื่อง PlayStation 5 เท่าที่เราเทสต์มา ยังไม่ได้ปรับอัตโนมัติครับ ผู้เล่นต้องปรับรูปแบบสัญญาณภาพด้วยตัวเอง แถมต้องปรับบนทีวีให้เสร็จก่อนเชื่อมต่อด้วย เพราะตัวเลือกนี้ไม่สามารถปรับผ่าน Portal ที่รีโมตเข้าไปได้
และธรรมชาติของจอ LCD คือไม่สามารถแสดงผลสีดำได้ดีนัก ถ้าคุณเล่นเกมมืด ๆ (เช่น Until Dawn) เวลากลางคืนที่ปิดไฟ หน้าจอของ PS Portal จะให้สีดำเป็นสีเทา จะไม่เหมือนภาพในสมาร์ตโฟนยุคใหม่ ๆ ที่เป็นจอ OLED ที่ให้สีดำแบบดำสนิทจริง ๆ แต่เรื่องนี้ก็เข้าใจได้เพราะว่า PS Portal มีราคาแค่ 7,790 บาทเท่านั้นเอง (ถ้าคุณไม่ได้ไปซื้อเครื่องหิ้วมานะ) จึงใส่จอระดับ OLED ไม่ได้
ประสิทธิภาพในการสตรีมเกม
PlayStation Portal สตรีมเกมจาก PS5 ได้ดีครับ (แน่แหละ มันเป็นความสามารถอย่างเดียวของมันนะ) แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าภาพที่เล่นบน Portal มันไม่ลื่นเท่าเล่นบน PS5 แบบแม้ว่าเรานั่งอยู่ข้างเราเตอร์อินเทอร์เน็ตในบ้านแล้ว ภาพที่ได้ก็ดูไม่ได้ลื่นแบบ 60 fps เราต้องปรับแต่งเครื่อง PlayStation 5 นิดหน่อยเพื่อช่วยมันครับ
- ลดความละเอียดภาพของ PlayStation 5 ลงจาก 4K เหลือ 1080p หรือ Full HD เท่ากับจอของ Portal
- มีรายงานว่า การปิดตัวเลือก HDCP (High-bandwidth Digital Content Protection) ในการตั้งค่า -> ระบบ -> HDMI จะช่วยเรื่องภาพไม่ลื่นไหลได้ โดย HDCP จะมีผลเฉพาะคนดู Netflix ผ่าน PS5 ที่จำเป็นจะต้องเปิดตัวเลือกนี้ไว้ (แต่ถึงเปิดไว้เราก็ไม่สามารถดู Netflix บน Portal แบบสตรีมมาจาก PS5 ได้อยู่ดี) สำหรับเกมเมอร์ส่วนใหญ่การปิด HDCP จะไม่ส่งผลเสียใด ๆ กับการเล่นเกม
ส่วนถ้ามีปัญหาภาพแตก ภาพกระตุก อันนี้เป็นปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อแล้ว ซึ่งเราจะเล่าในหัวข้อถัดไป
การเล่นนอกสถานที่ ต้องทดสอบเยอะ
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้นเป็นหัวใจสำคัญของการเล่นเกมผ่าน PS Portal เลย เราจึงแนะนำว่าทำยังไงก็ได้ให้เครื่อง PlayStation 5 ต่ออินเทอร์เน็ตให้เสถียรที่สุด ถ้าสามารถต่อสายแลนจากเราเตอร์เข้า PS5 ได้ ก็ควรทำครับ
Sony แนะนำว่าความเร็วอินเทอร์เน็ตขั้นต่ำที่ใช้ Portal ได้คือ 5 Mbps แต่แนะนำที่ความเร็ว 15 Mbps เพื่อความลื่นไหล ซึ่งความเร็วระดับนี้ การเชื่อมต่อในบ้านที่ Portal และ PS5 อยู่ในวงเน็ตเวิร์กเดียวกันจะไม่ค่อยมีปัญหาครับ ขอแค่จับสัญญาณ Wi-Fi ในบ้านพอประมาณ ก็เล่นได้ลื่นไหลแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับอุปกรณ์อย่างมือถือหรือเครื่องเล่นเกมพกพาตัวอื่น ๆ PS Portal จะจับสัญญาณ Wi-Fi ได้แย่กว่านิดหน่อย (อันนี้เราดูข้อมูลจากหน้าการเชื่อมต่อของเราเตอร์มา) แถมสเปกยังรองรับแค่ Wi-Fi 5 แทนที่จะเป็น Wi-Fi 6 ทำให้ในบางกรณีที่เราอยู่ห่างจากเราเตอร์มากหน่อย มีโอกาสเจอสัญญาณกระตุกได้ง่ายกว่าสตรีมเกมผ่านอุปกรณ์อื่นครับ
ส่วนเรื่องการเล่นนอกสถานที่ อันนี้ประเด็นใหญ่เลยครับ ผู้เขียนไม่สามารถการันตีได้เลยว่าคุณจะเล่นเกม PS5 บน PS Portal นอกบ้านได้หรือไม่ เพราะมันเกี่ยวข้องกับสัญญาณอินเทอร์เน็ตและการตั้งค่าของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตล้วน ๆ ใครที่สนใจประเด็นนี้ ต้องการซื้อ PS Portal เพื่อเล่นเกม PS5 นอกบ้าน ก็แนะนำว่าให้โหลดแอปฯ PS Remote Play มาลองในมือถือก่อน ว่าเวลาอยู่นอกบ้านสามารถเชื่อมต่อ PS5 ที่บ้านได้หรือไม่ ถ้าเชื่อมต่อไม่ได้ หรือเชื่อมต่อแล้วกระตุกมาก ให้โทรหาผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของคุณ บอกว่าคุณต้องการเล่น PlayStation นอกบ้าน เพื่อให้เขาช่วยตั้งค่าอินเทอร์เน็ตให้คุณ (ซึ่งเท่าที่รู้คือเปิด Upnp ในเราเตอร์จะช่วยให้เชื่อมต่อได้ แต่ถ้าจะให้ลื่นไหลขึ้นต้องทำ Port Forward ช่วย) ซึ่งถ้าทดลองผ่านแอปฯ มือถือได้จนพอใจแล้วค่อยซื้อ PS Portal ครับ
และการเชื่อมต่อกับ PS5 นั้นเครื่องจะต้องอยู่ในสถานะเปิด (ไฟเป็นสีขาว) หรือ Stand By (ไฟกะพริบเป็นสีส้ม) นะครับ ไม่สามารถปิด PS5 แล้วสั่งเปิดระยะไกลได้นะ
ว่าด้วยเรื่องของเสียง
PlayStation Portal นั้นมีลำโพง 2 ตัวอยู่ด้านบนของเครื่องที่ยิงเสียงไปด้านบนของเครื่อง ไม่ใช่ลำโพงแบบหันหน้าเข้าหาผู้เล่น เพราะฉะนั้นเวลาเล่นเกมผ่านลำโพงก็ต้องระวังคนรอบข้างรำคาญเสียงเกมนิดหนึ่ง ซึ่งลำโพงตัวนี้ก็ให้เสียงได้ดีในระดับหนึ่ง ก็ถ้าอยากได้เสียงดีกว่านี้และไม่รบกวนคนรอบข้างก็ให้ใส่หูฟังครับ
Portal นั้นรองรับหูฟัง 2 รูปแบบ คือหูฟังสายแบบ 3.5 mm ซึ่งใช้กับหูฟังสายแบบที่มีไมค์ในตัวก็ได้ เสียบได้เลยจากด้านหลังเครื่อง และหูฟังไร้สายที่รองรับเทคโนโลยี PlayStation Link ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 รุ่นคือ PULSE Explore หูฟังตัวเล็กแบบ TWS และ PULSE Elite หูฟังครอบหูตัวท็อปของ Sony PlayStation
ส่วนที่ไม่รองรับคือหูฟัง Bluetooth ทั้งหมด แล้วก็หูฟังสายแบบที่เสียบผ่าน USB-C ก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน และอีกตัวคือหูฟัง PULSE 3D ที่ออกมาพร้อม PS5 ก็ไม่รองรับครับ (เสียดายตรงนี้)
แล้วใช้ต่อเนื่องได้ยาวแค่ไหน
อายุแบตเตอรี่ของ PS Portal นั้นค่อนข้างกว้างครับ เท่าที่ทดสอบและหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตสามารถเล่นในช่วง 3-7 ชั่วโมง ส่วนโซนี่เคลมตัวเลขที่ 7-9 ชั่วโมง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสว่างของหน้าจอ ความแรงของสัญญาณอินเทอร์เน็ต และปฏิกิริยาจอย ถ้าสั่นเยอะ ทริกเกอร์ทำงานหนัก ออกแรงต้านเยอะ ชั่วโมงก็จะลดลงบ้างครับ แต่อายุแบตฯ หลัก ๆ จะขึ้นอยู่กับความสว่างจอมากกว่า
ส่วนการชาร์จกลับจนเต็มจะใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงครับ โดยเราใช้ตัววัดกระแสไฟพบว่า Portal สามารถรับไฟได้สูงสุดที่ 15 W จากหัวชาร์จกำลังไฟ 65 W ซึ่งจะเป็นการจ่ายไฟในระดับ 5v 2.9a เท่านั้น ไม่รองรับการชาร์จเร็วในมาตรฐาน USB-PD แต่อย่างใด
สรุป PS Portal คุ้มค่าไหม
PlayStation Portal ตั้งราคาอย่างเป็นทางการในไทยไว้ที่ 7,790 บาท ถ้าเทียบว่าจอย DualSense มีราคา 2,590 บาทแล้ว นี่เพิ่มไปราว 5,000 บาทได้จอใหญ่ 8 นิ้วมาเล่นเกมรีโมตได้ด้วย ก็ถือว่าเป็นราคาที่ไม่แพง เพียงแต่ว่าก่อนซื้อ Portal คุณต้องเข้าใจข้อจำกัดของมัน โดยเฉพาะคนที่หวังซื้อไปเพื่อเล่น PlayStation 5 นอกบ้านก็ควรเทสต์การเชื่อมต่อผ่านแอปฯ ก่อน จะได้ไม่เสียความรู้สึกว่าซื้อ Portal มาแล้วเล่นเกมนอกบ้านไม่ได้ครับ
แต่เราก็คิดนะว่าถ้ามันขายแพงอีกขึ้นสักพันบาท แล้วสามารถปรับจอเป็น OLED ได้ หรืออัปเกรด Wi-Fi ให้รองรับ Wi-Fi 6 และจับสัญญาณได้ดีกว่านี้ หรือรองรับหูฟัง Bluetooth มันจะปิดจุดอ่อนได้เยอะเลย