Our score
9.0Dragon Quest 3 HD-2D Remake
จุดเด่น
- กราฟิกแบบ HD-2D ที่ดูดีและคงความคลาสสิก
- รูปแบบการเล่นที่ยังคงสนุก
- มีการปรับให้ทันสมัยขึ้น
- เพลงประกอบยอดเยี่ยมและมีการทำดนตรีใหม่
จุดสังเกต
- ราคาแพงไปหน่อย
-
กราฟิก
8.5
-
รูปแบบการเล่น
9.5
-
ความคุ้มค่า
9.0
-
ภาพรวม
9.0
หนึ่งในรูปแบบการนำเกมเก่ามาสร้างใหม่ที่ได้รับความนิยมในตอนนี้คือการสร้างด้วยกราฟิกแบบ HD-2D ที่สามารถจำลองความคลาสสิกของเกมเก่ายุคที่กราฟิกเป็นพิกเซลมาอยู่ในยุค HD ได้ โดยมีจุดเริ่มต้นจากเกม Octopath Traveler ที่เป็นเกมใหม่แต่เอากราฟิกแบบย้อนยุคมาใช้ และมีการสานต่อกับเกมในตำนานยุค 16Bit อย่าง Live A Live (Remake) ที่ประสบความสำเร็จขายได้ดีกว่าที่คาดไว้
และล่าสุดมีการสานต่อความสำเร็จกับ Dragon Quest 3 HD-2D Remake ที่วางขายบนคอนโซล Nintendo Switch, PlayStation 5, Xbox Series X/S และบน PC ซึ่งเป็นการสร้างใหม่จากตำนานที่ออกบน Famicom ในปี 1988 แม้ว่าสำหรับแฟนซีรีส์ Dragon Quest อาจจะไม่ประหลาดใจในการหยิบมาสร้างใหม่ เพราะภาค 3 ถูกนำมาปัดฝุ่นสร้างมาแล้วหลายรอบ แต่คราวนี้ถือว่าลงทุนมากสุดและภาพในเกมเป็นระดับ HD
เนื้อเรื่องใน Dragon Quest 3 HD-2D Remake จะเหมือนต้นฉบับทำให้มันดูเชยหากเทียบกับมาตรฐานเกมในยุคนี้ แต่มันก็ยังคงคลาสสิกและเรียบง่าย โดยจะเกิดในโลกเดียวกับ 2 ภาคแรก ที่กำลังถูกปีศาจ Baramos คุกคาม เราจะรับบทเป็นผู้กล้าที่ถูกเลือก และเมื่ออายุครบ 16 ปี จะถูกพระราชาเรียกตัวไปที่ปราสาท และมอบหมายภารกิจออกไปปราบ Baramos เพื่อกอบกู้โลก แม้จะดูเชยแต่การนำเสนอมีการอัปเกรด มีการลงทุนใส่คัตซีนใหม่เข้าให้ชมในหลายฉากแม้จะกราฟิกเป็นพิกเซลอยู่ก็ตาม
กราฟิก HD-2D ที่ดูดีและยังคงความคลาสสิก
ตามชื่อเกมที่ภาพในเกมจะใช้ HD-2D ที่ภาพในเกมสร้างโดยพิกเซล แต่มีความละเอียดสูงแบบ HD และยังใส่รายละเอียดเสริมเข้าไปทั้งแสงเงาแบบเกมยุคใหม่เข้าไป และใน Dragon Quest 3 HD-2D Remake ทำออกมาได้ดีมาตรฐาน เพราะมันคล้ายกับเกมที่ใช้ภาพ HD-2D ทั่วไป และยังมีการสร้างฉากบางส่วนใหม่มีทำให้มันมิติมากกว่าต้นฉบับที่เป็น 2D จนเป็นภาพแบบ 2.5D และยังคงไม่สามารถปรับมุมกล้องได้เหมือนเดิม
อย่างไรก็ตามการนำเสนอในส่วนของการเล่าเรื่องทำได้ดีมาก เพราะมีการลงทุนใส่คัตซีนมาให้ชม และยังมาพร้อมกับเสียงพากย์ที่เลือกได้ทั้งญี่ปุ่นและอังกฤษ ส่วนเพลงประกอบถือเป็นไฮไลท์ เพราะยังคงนำผลงานของตำนานผู้ล่วงลับอย่าง โคอิจิ ซูงิยามะ (Koichi Sugiyama) มาใช้งานเหมือนเดิม และมีการทำดนตรีใหม่เป็นแบบออร์เคสตร้าเต็มวง ทำให้มันดูยิ่งใหญ่อลังการกว่าเดิม และยังคงเป็นจุดเด่นของเกม รวมทั้งเสียงประกอบที่นำต้นฉบับมาปรับแต่งใหม่ด้วย
เกมเพลย์เทิร์นเบสแบบคลาสสิก
รูปแบบการเล่นยังคงเป็น RPG เทิร์นเบสแบบใส่คำสั่งแล้วต้องรอเทิร์นแบบไม่ได้เป็นแบบเรียลไทม์ และเจอศัตรูบนฉากแบบสุ่มที่มีฉากเป็นหมู่บ้าน, ปราสาท และฉากดันเจี้ยนรวมทั้งมีแผนที่โลกเหมือนดิม แต่พอ Remake ได้ปรับให้ดูมีมิติมากขึ้นจนคล้ายกับการใช้มุมมองแบบ 2.5D ทำให้มันไม่ดูเชยจนเกินไป และมันยังทำให้ฉากดูซับซ้อนกว่าเดิมด้วย
ทำให้มองภายนอกอาจจะดูเชยสำหรับผู้ที่ไม่เคยเล่น แต่หากคุณเป็นแฟน Dragon Quest มายาวในมันคือความสนุกแบบคลาสสิกที่นำมาเล่นตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกว่าเชย เพราะว่ามีการออกแบบระบบให้ผู้เล่นต้องคิดวางแผนกันตลอด ไม่ว่าจะเป็นเลือกประเภทการโจมตี ที่ต้องใช้ท่าไม้ตายและเวทมนตร์ให้ตรงกับจุดอ่อนของศัตรู
นอกจากนี้ต้องวางแผนการต่อสู้ด้วยการเสริมด้วยการใช้คาถาเพื่อเพิ่มค่าของตัวละครในทีมของเรา และยังต้องใช่เวทเพื่อทำให้ศัตรูอ่อนกำลังลง ซึ่งมันจำเป็นอย่างมากต่อการเล่น เพราะตั้งแต่ต้นฉบับเกมมีระดับความยากที่ค่อนข้างสูง เพราะศัตรูมาแบบจัดเต็มทั้งโจมตีได้แรงและมีท่าพิเศษมากมาย จนผู้เล่นต้องคิดวางแผนและปรับเปลี่ยนกันตลอด ซึ่งในภาค Remake ก็ยังคงใส่มาแบบเดิม
ระบบปรับแต่งยังมีเหมือนเสริมด้วยสิ่งใหม่
โดยระบบปรับแต่งอัปเกรดตัวละครอย่างระบบอาชีพจากต้นฉบับก็ยังใส่มา ที่ผู้เล่นต้องอัปเลเวลให้ถึง 20 ก่อนถึงจะเปลี่ยนได้ที่วิหารดราม่า ซึ่งหากเปลี่ยนอาชีพแล้วตัวละครก็จะกลับไปเลเวล 1 อีกครั้ง ทำให้เราสามารถเก็บเอาสกิลหรือเวทมนตร์ได้ และเมื่อเปลี่ยนอาชีพอีกครั้งความสามารถที่เคยเก็บไว้ก็ยังคงอยู่ หมายความว่าผู้เล่นสามารถสร้างตัวละครให้เก่งกาจได้ตามใจ ถือเป็นระบบที้่ล้ำสมัยมากในยุค 80S ส่วนภาค HD-2D Remake ได้เพิ่มอาชีพใหม่อย่าง Monster Wrangler มาให้ใช้งาน และยังมี Thief อาชีพที่มีมาบนภาครีเมกบน Super Famicom ใส่เข้ามาด้วย
ส่วนลานประลองมอนสเตอร์ก็ยังคงใส่เข้ามาเหมือนเดิม โดยผู้เล่นจะต้องออกไปค้นหามอนสเตอร์ที่ซ่อนอยู่ในฉากแล้วเอามาร่ามทีม แล้วนำไปต่อสู้ในสังเวียน และหากชนะจะได้รับรางวัลเป็นเงินและไอเทมหายาก นอกจากนี้ระบบเหรียญเล็กก็ยังคงมี เรียกว่าของเดิมที่จำเป็นมากันครบหมด อย่างไรก็ตามแม้จะคงของเดิมไว้แต่ผู้สร้างได้ปรับแต่งเพิ่มสิ่งใหม่ ๆ เข้าไปได้อย่างลงตัว
เพราะใน HD-2D Remake เพิ่มระบบ Auto Save ทำให้ไม่ต้องเริ่มใหม่ไกล เพราะภาคต้นฉบับ Dragon Quest ต้อง Save เกมที่โบสถ์ ทำให้หากพลาดตายต้องเริ่มใหม่ไกล นอกจากนี้ยังมีระบบปรับความเร็วฉากต่อสู้ได้และเลือกได้หลายระดับด้วยทำให้มันดูไม่เชย และสำหรับมือใหม่ยังมาพร้อมกับโหมดปรับระดับความยากได้ และหากเลือกแบบง่ายสุดตัวละครของเราจะเป็นอมตะไม่มีวันตายทำให้เล่นยังไงก็จบ
การกลับมาของตำนานอย่าง Dragon Quest 3 HD-2D Remake ถือว่าทำออกมาได้ดีกว่าที่คาด เพราะนอกจากจะคงความคลาสสิกของเกมเพลย์ไว้ได้ ภาพในเกมก็สามารถถ่ายทอดตำนานเกม RPG ออกมาให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสโดยไม่รู้สึกว่าเชย เพราะมีการปรับทั้งระบบเมนู เพิ่มระบบ Auto Save และยังมีโหมดง่ายด้วย ใครที่ไม่เคยเล่นซีรีส์ Dragon Quest มาก่อนจะเริ่มกับภาคนี้ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี ส่วนขาประจำหรือแฟนตัวจริงถือว่าห้ามพลาดเพราะมันถูกสร้างมาเพื่อคุณ